ตอนที่แล้ววันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0131
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปวันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0133

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0132


บทที่ 41 ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ, เดินทางไกล (1)

* * *

โดจุนฮยอกกำลังเดินไปบนถนนเบสแคมป์พร้อมกับซอจีอา

เขารู้สึกว่าตนไม่ควรเข้าไปแทรกแซงเหตุการณ์ดังกล่าว

ซอจีอาจ้องใบหน้าเจือความตื่นเต้นของโดจุนฮยอก

ที่พวกฮาวนด์เฒ่านำฮาวนด์หนุ่มคนนี้ไปไว้ในตำแหน่งรองประธาน เพราะเขาแสดงอาการตื่นเต้นไม่บ่อยนัก

แต่แน่นอน เหตุผลสำคัญคือการที่โดจุนฮยอกมีใบหน้าหล่อเหลาและว่านอนสอนง่าย เหมาะแก่การเป็นหน้าเป็นตาให้องค์กร

ทว่า คนแบบนั้นกำลังตกตะลึงสุดขีด หลังจากได้เจอคังซอนฮูแค่ไม่กี่นาที

“คุณซอนฮูพูดภาษาต่างโลกได้ด้วยหรือ”

“คล่องมากเลยล่ะ ฉันเห็นครั้งแรกยังตกใจ”

โดจุนฮยอกมองเฮดโฟนที่ซอจีอาสามเป็นประจำ ภายในใจจมอยู่กับความคิด

“รุ่นพี่… ช่วงนี้มีข่าวลือใหม่ๆ ในวงการบ้างไหม? ดูเหมือนรุ่นพี่จะไม่ค่อยได้ทำงานเท่าไร”

“ไม่เลย ใกล้จะวางมือแล้วล่ะ”

“มีข่าวลือว่าคังซอนฮูไม่ใช่ชาวโลก”

“นายคิดว่าเขาเป็นคนต่างโลก?”

โดจุนฮยอกพยักหน้าขึงขัง ไม่ใช่การเล่นมุกหรือเปรียบเปรย

ข่าวลือดังกล่าวแพร่กระจายไปทั่ววงการฮาวนด์ ทั้งเรื่องที่ชายแปลกหน้ารายนี้ รู้สึกผ่อนคลายในต่างโลกมากกว่าในกรุงโซล แถมยังได้รับการปฏิบัติแบบพิเศษจาก OWIC รวมถึงความสำเร็จและข่าวลือจำนวนมากในช่วงเวลาไม่ถึงครึ่งปี

“ตอนแรกผมก็คิดว่าเป็นแค่ข่าวลือ แต่… พอได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง ความคิดผมเปลี่ยนทันที… ต้องเป็นชาวโลกแบบไหนกัน ถึงสามารถสร้างเครือข่ายกับชาวต่างโลกได้? แถมยังไม่ใช่แค่คนรู้จัก แต่อีกฝ่ายคุกเข่าให้!”

ฉากดังกล่าวเพียงพอที่จะกระตุ้นจินตนาการสุดแฟนตาซีของฮาวนด์หนุ่ม

เขารู้สึกเหมือนได้พบเจอตัวละครในนิยาย ไม่ใช่คนจริง

“ผมไม่มีทางเลือกนอกจากเชื่อว่าข่าวลือเป็นจริง”

“เหลวไหลน่า”

ซอจีอาชำเลืองโดจุนฮยอกก่อนจะยิ้ม

“ชาวต่างโลกจะตีเนียนเป็นชาวโลก และเข้าไปอาศัยในโลกได้ยังไง”

“…นั่นสินะครับ ที่คุณพูดมาก็จริง”

ซอจีอายิ้มพลางขยับปุ่มปรับเสียงหูฟัง

* * *

หวนนึกถึงครั้งแรกที่เอลลี่มาเยือนเบสแคมป์พร้อมกับคณะแสวงบุญ

ฉันมีความสุขที่ได้เจอกับน้องสาวของนักบุญหญิง เบลล่า·วีว่าซิสซิโม่อีกครั้ง

เธอเคยต้องทนเห็นพี่สาวตัวเองทุกข์ทรมานนานหลายปี

“หากท่านกำลังรอการมาเยือนของหนึ่งในพระองค์ตามที่ท่านอาร์ชบิชอปคาดการณ์ เรายินดีที่จะเป็นกำลังและความรู้ให้ท่าน ทุกคนมาที่นี่ภายใต้คำสั่งนั้น”

มองไปรอบตัว โดจุนฮยอกและซอจีอาบอกว่าจะกลับไปพักที่โรงแรมก่อน พวกเขาอยากหาเวลาคุยอะไรเรื่อยเปื่อย

“ได้โปรดแสดงทรรศนะของท่าน พวกเราจะปฏิบัติตาม”

“กินอะไรกันก่อนไหม”

“เอ่อ…?”

“ได้เวลามื้อเย็นพอดี ไม่แน่ใจว่าจะถูกปากไหม แต่พี่เธอชอบกินอยู่นะ รสนิยมการกินเหมือนกันใช่ไหม? หรือว่าฉันเหมารวมเกินไป”

เอลลี่ที่คุกเข่าอยู่ เงยหน้ามองฉัน

ดวงตาที่คล้ายผืนนภายามตรีเต็มไปด้วยความสงสัย

แต่ไม่นานก็ลุกขึ้นพร้อมกับยิ้ม

บรรดาอัศวินผู้พิทักษ์กล่าวว่า พวกเขาจะรออยู่ที่ลานกว้าง

จากนั้น ฉันเตรียมมื้ออาหารกับลิลี่ และเตรียมส้อมให้เอลลี่ผู้น่าจะอึดอัดกับตะเกียบ

เอลลี่ยิ้มพร้อมกับชมว่าอาหารถูกปาก

เมื่อลองสังเกตอย่างใกล้ชิด เธอเหมือนกับพี่สาวราวกับฝาแฝด ยกเว้นเรื่องที่ดวงตาเบลล่าคมกว่า และเอลลี่มีเส้นผมเหยียดตรง

ฉันมองดูเอลลี่ชิมอาหารต่างถิ่นอย่างระมัดระวังสักพัก จากนั้นก็เปิดปาก

“ศาสนจักรเทวราชามีข้อจำกัดด้านอาหารไหม? เช่นห้ามกินเนื้อประเภทไหน ฉันเคยรู้จักศาสนาที่ห้าม”

“ไม่มีการห้ามตลอดไป แต่จะสั่งห้ามในบางช่วงเวลา และบางช่วงเวลาก็ห้ามกินอะไรเลย”

“เอ่อ ฉันควรถามก่อนใช่ไหม?”

“นักบวชห้ามปฏิเสธน้ำใจ กฎข้อนี้สำคัญกว่าข้อห้ามด้านการกิน”

โชคดีที่ไม่ทำให้เดือดร้อน

ฉันนึกทบทวนเหตุการณ์ทางใต้

เบลล่าเต็มใจอุทิศชีวิตให้กับปีศาจ เพียงเพราะเหตุการณ์ถูกเขียนไว้ในคำทำนาย

ที่ต้องคาบมีดเพื่อปิดปากตัวเอง ไม่ใช่เพราะอยากหนีจากหน้าที่นักพยากรณ์

“เบลล่าเป็นยังไงบ้าง”

เอลลี่พยักหน้า

“ไม่มีนักบวชคนใดกล้าปฏิเสธนักบุญหญิงที่กลับมาพร้อมหัวใจกาลอส ท่านนักบุญได้ประกาศตนเป็นศูนย์กลางศาสนจักร และทุกคนก็เห็นพ้องตามนั้น ท่านจึงถูกแต่งตั้งให้เป็นอาร์ชบิชอป”

“กลายเป็นผู้นำไปแล้ว?”

เอลลี่พยักหน้า

“ยังคาบมีดอยู่ไหม”

“โคล์บ’ รานเดอจูคือมีดที่คาบแล้วจะไม่มีวันคายได้ ข้าเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใด ผู้ที่สามารถชำระล้างกาลอสถึงไม่ยอมชำระล้างโคล์บ’ รานเดอจูไปด้วย แต่ทุกวันนี้แทบไม่มีใครตั้งคำถามกับนักบุญหญิงอีกแล้ว”

ได้ยินมาว่า ที่เธอตัดสินใจคาบมีด ก็เพราะไม่อยากให้ผู้คนเอาแต่พึ่งพาคำทำนาย

ดูเหมือนเบลล่าจะยังปกปิดเรื่องที่โคล์บ’ รานเดอจูถูกชำระล้างเพื่อรักษาความตั้งใจเดิม

「เราไม่ใช่หมากบนกระดานของเทพ」

เจตจำนงอันแรงกล้าที่เบลล่าพูดขณะเตรียมใจตายไปพร้อมกาลอส

การที่เธอเก็บมันไว้พูดเป็นประโยคสุดท้ายของชีวิต แปลว่าเบลล่ายึดมั่นกับหลักการนี้มาก

แต่กลับยังรับตำแหน่งอาร์ชบิชอปหลังจากพูดแบบนั้น…

ฉันเองก็สงสัยว่าเบลล่ามีมุมมองเกี่ยวกับความเชื่อของตนอย่างไร

“ในอนาคตคงได้รู้เอง”

ลิลี่จ้องฉันที่จมอยู่กับความคิด พลางตักอาหารใส่ปากตัวเอง

หลังจากเสร็จมื้ออาหาร ฉันวางแก้วชาไว้ข้างหน้าและกลับเข้าประเด็นหลัก

“เอ่อ… เหยี่ยวอะไรแล้วนะ”

“เหยี่ยวที่บินมาจากอีกฟากของความมืดมิดไร้สิ้นสุด… เจ้าสมองกลวงรึไง? หรือว่าจงใจ?”

ลิลี่ข้างๆ ตอบด้วยท่าทีประหม่า คำพูดคังซอนฮูไม่ต่างอะไรกับการดูหมิ่นเทพ

“ช่างเถอะ เอาเป็นว่าพวกเธอรู้เรื่องที่ฉันกำลังตามหาเทพใช่ไหม”

“ใช่ เรามาเพื่อช่วย”

ฉันสงสัยนิดหน่อยว่าเบลล่ารู้ได้ยังไง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น

ประเด็นก็คือ ทำไมศาสนจักรเทวราชาถึงต้องช่วยฉัน?

ไม่ใช่แค่นั้น ฉันเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า จะชิงสมบัติมาจากเหยี่ยวที่บินข้ามอวกาศด้วยวิธีใด

ราวกับเอลลี่อ่านใจได้ เธอข้ามอารัมภบทและเข้าประเด็นหลักทันที

“ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือจากจุดนี้คือเทือกเขาโนมิน่า เทือกเขาที่พาดผ่านผืนทวีป เป็นพรมแดนที่กั้นแบ่งอำนาจการปกครองของจักรวรรดิ”

“โฮ่…”

“ที่นั่นมีรังของเหยี่ยวที่บินมาจากอีกฟากของความมืดมิดไร้สิ้นสุด”

“หืม…”

รังเหยี่ยว?

เรื่องราวอาจจะง่ายกว่าที่คิดก็ได้

“แค่พวกเราไปที่นั่นก็จบใช่ไหม”

เอลลี่ส่ายหน้า

“เรื่องนี้… พูดตามตรง ข้าเกรงว่าคงไม่ง่าย แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ดูเหมือนพี่สาวจะเชื่อมั่นในตัวท่านนักล่าอย่างไร้ข้อกังขา”

“ไม่เคยมีเรื่องไหนง่ายอยู่แล้ว”

เอลลี่ลังเลครู่หนึ่ง ราวกับรอดูท่าทีของฉัน จากนั้นก็เปิดปาก

“เหยี่ยวที่บินมาจากอีกฟากของความมืดมิดไร้สิ้นสุด ไม่เคยร่อนลงบนพื้นเลยสักครั้ง”

“…หือ?”

ไม่เคยร่อนลง?

“รังเป็นแค่จุดเช็กพอยต์?”

“ข้าไม่รู้ว่าเช็กพอยต์คืออะไร แต่ว่า…”

“ถ้าแค่มาแล้วกลับ แล้วจะมาทำไม?”

เอลลี่ส่ายหน้า

“อันที่จริง พระองค์ร่อนลงไม่สำเร็จ… ทุกครั้งที่ระฆังร็อกเบลล่าดังและฟ้าเปิด พระองค์จะพยายามร่อนลง”

“…แล้วทำไมถึงล้มเหลว?”

“เพราะปีศาจจะเงยหน้าขณะเหยี่ยวมาเยือน เพื่อขัดขวางการร่อนลงของพระองค์”

หลังจากฟังเรื่องราว ฉันขบคิดสักพัก

เอลลี่และลิลี่ต่างสางผมของตัวเองพลางไตร่ตรอง

“…สรุปก็คือ ปลายทางที่ฉันต้องไป คือสนามรบระหว่างเทพและปีศาจ?”

“ใช่… นั่นคือเหตุผลที่เราต้องมาช่วย กายามนุษย์ของท่านอาจตกอยู่ในอันตราย…”

“ลิลี่”

“อื้อ”

ฉันหันไปมองลิลี่

สายตาที่ลิลี่มองกลับมาแฝงด้วยอารมณ์หลากหลาย ผสมผสานเข้ากับรอยยิ้มที่ว่างเปล่าและเสียงถอนหายใจเจือความสิ้นหวัง

ลิลี่แสดงอารมณ์เก่งขึ้นมากทีเดียว

“เธอเคยเห็นไหม”

“อะไร?”

“การต่อสู้ระหว่างเทพกับปีศาจ”

“…ไม่เคย”

“ไปดูกันเถอะ”

“ไปดู?”

ฉันพยักหน้า

ลิลี่ชี้นิ้วมาทางฉันพร้อมกับหันไปหาเอลลี่ด้วยสายตาทำนองว่า ‘ช่วยห้ามมันที’

“ผู้แสวงบุญ”

เอลลี่มองหน้าลิลี่พลางกะพริบตาถี่ ราวกับไม่เข้าใจความหมาย

“เธอเล่าผิดแล้ว ถ้าไม่อยากให้ชายคนนี้มุ่งหน้าไป ก็ต้องโน้มน้าวให้เชื่อว่าที่นั่นน่าเบื่อแค่ไหน ถึงจะโกหกก็ต้องทำ”

“สถานที่… น่าเบื่อ?”

“เขาเสียสติไปแล้ว… สายไปแล้วด้วย”

เนื่องจากช่วงนี้ออกเดินทางบ่อย กระเป๋าสัมภาระจึงถูกเตรียมไว้พร้อมเสมอ ต่อให้ต้องคว้ากระเป๋าออกเดินทางทันที ก็สามารถลุยได้แทบทุกสถานการณ์

ฉันตรวจสอบสัมภาระโดยไม่สนใจคำพูดประชดประชันด้านหลัง

“เอ่อ… ท่านเข้าใจที่ข้าพูดไหม”

“ฉันจะพลาดโอกาสรับชมการต่อสู้สดๆ ระหว่างคอสมิก·แอนโดรเมดา·ฮอว์ก กับปีศาจด้วยตาเปล่าได้ยังไง…”

ลิลี่รีบวิ่งมาปิดปากฉัน

นั่นสินะ สาวกคงไม่ชอบชื่อนั้น

ฉันโล่งใจที่เอลลี่ไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้หยุดจัดกระเป๋า

* * *

เอลลี่สงสัยมาตลอด

ทำไมพี่สาวถึงเชื่อใจมนุษย์คนนี้มากขนาดนี้?

ก็เข้าใจว่าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่ระดับวีรบุรุษอาณาจักร

อย่างไรก็ดี โลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าขีดจำกัด โดยเฉพาะขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์

เอลลี่นึกทบทวนความทรงจำขณะได้รับคำสั่ง

“ท่านพี่ ไม่สิ… ท่านอาร์ชบิชอป คำสั่งคือการมุ่งหน้าลงใต้ไปพบกับมนุษย์คนนั้น เพื่อคอยให้ข้อมูลและช่วยเหลือเขา?”

“ใช่”

รีเบคก้า แวมไพร์อัศวินผู้พิทักษ์ที่สามารถสื่อสารกับนักบุญหญิงคาบมีด พยักหน้ารับ

“…ต่อให้คนผู้นั้นมีข้อมูล แล้วจะมีสิ่งใดเปลี่ยนไป? ข้าเข้าใจว่าเขายอดเยี่ยม แต่… นี่เป็นปรากฏการณ์ระดับตำนาน ทุกคนควรอยู่ห่างจากจุดดังกล่าวให้มากที่สุดถึงจะถูกไม่ใช่หรือ”

ขณะมองไปทางรีเบคก้า สายตาเอลลี่เจือความสงสัย

เพราะรีเบคก้ากำลังยิ้มด้วยอารมณ์ซับซ้อน

“ข้าอาจไม่ได้อยู่ในจุดที่ควรพูดอะไรมาก… แต่ก็อยากแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้”

“เชิญ”

“ในฐานะผู้ที่เคยเห็นเขาด้วยตาตัวเอง ข้าคิดว่าท่านนักบุญหญิงตัดสินใจถูกต้องแล้ว”

เอลลี่พยักหน้าโดยไม่ถามอะไรต่อ

จากนั้นก็ปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด

เมื่อลองมานึกดู ก็พอจะมีส่วนที่เธอเห็นด้วยอยู่บ้าง

‘เขาเกิดมาพร้อมกับโฉมผู้ปกครอง และในฐานะผู้ปกครอง เป็นธรรมดาที่จะไขว่คว้าสมบัติทองคำ’

ถึงจะต้องเสี่ยงชีวิต แต่ก็มิอาจเลี่ยงชะตากรรมที่ต้องรวบรวมสมบัติทองคำเพื่อมุ่งหน้าไปยังบัลลังก์

ใช่แล้ว มันคือชะตากรรมที่ต้องอุทิศชีวิตให้

เอลลี่เชื่อแบบนั้น

กลับมายังปัจจุบัน เอลลี่กำลังจ้องแผ่นหลังของมนุษย์ที่กำลังจัดกระเป๋าด้วยสายตาเหม่อลอย

ตกเย็นวันเดียวกัน คังซอนฮูพร้อมแล้วสำหรับการสำรวจเต็มรูปแบบ

“เดี๋ยว! นายจะออกเดินทาง?”

มนุษย์สตรีผู้หนึ่งที่เพิ่งมาถึง ตะโกนเรียกด้วยเสียงประหลาดใจ

“ชาโซฮี? หืม เธอรู้ได้ไงว่าฉันกำลังจะออกเดินทาง”

“ไม่ได้รู้! ฉันแค่แวะกลับบ้านไปแป๊บเดียว! ตอนนี้ฉันทำงานที่นี่นะ! …ทำไมจู่ๆ ถึงออกสำรวจอีกแล้ว?”

“พวกเขาบอกว่าเหลือเวลาอีกไม่มาก”

มนุษย์สองคนพูดภาษาที่เอลลี่ไม่เข้าใจ

เอลลี่มองแผ่นหลังคังซอนฮูและพูดเสียงเรียบ

“…เกี่ยวกับการตามหาสมบัติทองคำ ท่านวางแผนให้รัดกุมก่อนออกเดินทางดีไหม”

“สมบัติ?”

คังซอนฮูก้มมองเข็มชี้สักพักก่อนจะพูด

“ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”

“…แล้วท่านจะไปทำไม”

“เพราะฉันไม่เคยเห็นเทพด้วยตาตัวเอง”

“แค่นั้น?”

ฝ่ายที่พยักหน้าและตอบแทนคือแวมไพร์

“ถ้าเป็นเจ้านี่ เหตุผลแค่นี้ก็เพียงพอ”

“เธอมองเป็นเรื่องปกติเหมือนกันแล้วสินะ”

“ไม่! ข้ายังคิดว่าเจ้าเสียสติอยู่ดี”

“ถ้างั้นจะรออยู่บ้านไหม”

“…ข้าจะไปด้วย”

ด้วยสายตางุนงง เอลลี่ยืนมองคนทั้งสองขึ้นหลังม้าที่มีแผงขนเป็นเปลวไฟ

______________________

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (1/4)

ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:

https://www.facebook.com/bjknovel/

หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด