ตอนที่แล้วบทที่ 862 การตัดสินใจของซูหยวน(ตอนฟรี)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 864 การยั่วโมโหของฉีหยางจ้าว(ตอนฟรี)

บทที่ 863 ความขัดแย้งภายใน(ตอนฟรี)


บทที่ 863 ความขัดแย้งภายใน

จากการเล่าและอธิบายอย่างคร่าวๆของจ้าวหยาฟ่าน ในที่สุดจี้เฟิงก็เข้าใจเรื่องทั้งหมด! ผ่านคำบรรยายของจ้าวหยาฟ่าน

ปรากฏว่าแก๊งตงไห่ไม่ได้ถูกกอบกู้โดยซูยาหยุนเพียงคนเดียว หลังจากที่ผู้อาวุโสซู พ่อของซูยาหยุนถูกทรยศและถูกฆ่าโดยซูหลง หมาป่าผู้หิวโหยและเป็นลูกเขยของเขาเอง ซูยาหยุนก็ตกอยู่ในอันตราย เธอได้ถูกคุ้มครองโดยผู้ใต้บังคับบัญชาบางคนที่ภักดีต่อผู้อาวุโสซู เพื่อรักษาชื่อของแก๊งตงไห่ต่อไป และรอโอกาสที่จะแก้แค้นซูหลง

แต่นอกเหนือจากคนเหล่านี้แล้ว ยังมีบางคนที่ขัดแย้งกับซูหลงตั้งแต่สมัยที่เขาอยู่ในแก๊ง ดังนั้นหลังจากที่ซูหลงทรยศหักหลังแก๊งตงไห่ สมาชิกแก๊งดั้งเดิมจึงกลับมา

อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นซูหลงยังคงมีอำนาจเหนือกว่า แน่นอนว่าไม่เพียงแต่เขาเข้ายึดครองแก๊งตงไห่ แต่เขายังก่อตั้งแก๊งพยัคฆ์มังกรขึ้นมาด้วย มีผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าที่ติดตามเขามาและดึงคนจากแก๊งตงไห่ที่ภักดีต่อเขาเข้าแก๊งพยัคฆ์มังกร นั่นจึงทำให้เขามีกำลังคนมากมาย และในเวลานั้น แก๊งตงไห่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของแก๊งพยัคฆ์มังกรเลย

เป็นเพราะเหตุนี้ บรรดาผู้ที่ขัดแย้งกับซูหลงในตอนแรก จึงจำเป็นต้องร่วมมือกับซูยาหยุนและขอให้เธอเข้าครอบครองแก๊งตงไห่ในฐานะทายาทและกลายเป็นหัวหน้าแก๊งตงไห่อย่างเป็นทางการ

ด้วยการทำงานหนักของซูยาหยุน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลิวฉีชางกลายเป็นนักสู้อันดับหนึ่งของแก๊งตงไห่ เขาต่อสู้โดยที่ไม่เกรงกลัวความตาย แม้ว่าพวกเขาจะเสียเปรียบ แต่พวกเขาก็สามารถรักษาแก๊งตงไห่ให้อยู่รอดได้ ไม่เคยถูกแก๊งพยัคฆ์มังกรกลืนกินได้อย่างสมบูรณ์ และการเข้าร่วมของจ้าวหยาฟ่าน ได้ทำให้แก๊งตงไห่ได้ออกเดินทางครั้งใหม่

จากนั้น ความแข็งแกร่งของแก๊งตงไห่ได้พัฒนาขึ้นอย่างช้าๆ พวกเขาสามารถต่อสู้กับแก๊งพยัคฆ์มังกรได้อย่างทัดเทียมมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะเสียเปรียบมาโดยตลอด แต่ก็ไม่ได้พ่ายแพ้อย่างน่าอนาถอีกต่อไป อาจกล่าวได้ว่าแก๊งตงไห่ยังคงอ่อนแอกว่าเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ไม่มีปัญหาในการใช้ชีวิต ความทุกข์ยากได้จบลงแล้ว

ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว สมาชิกของแก๊งตงไห่ดั้งเดิมที่กลับมาเข้าแก๊งหลังจากที่ซูหลงทรยศและต้องจำใจยกซูยาหยุนขึ้นเป็นหัวหน้าแก๊งก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มเคลื่อนไหว ความทะเยอทะยานในหัวใจของพวกเขาเริ่มพองโต

ในหมู่พวกเขา คนที่แสดงออกชัดเจนที่สุดและมีภาษีดีที่สุดคือ ฉีหยางจ้าว หัวหน้ามาเฟียระดับสูงที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้อาวุโสซูมาก่อน หรือที่รู้จักกันในนาม ฉีเหล่าซาน

แน่นอนว่าฉายาฉีเหล่าซานเป็นชื่อที่ซูยาหยุนแอบเรียกเขา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีที่ผ่านมา ฉีหยางจ้าวยิ่งทำตัวหยิ่งยโสและเจ้ากี้เจ้าการมากขึ้น เขาต่อต้านความคิดเห็นของซูยาหยุนอย่างเปิดเผยในที่ประชุมหลายต่อหลายครั้ง และบางครั้งมันก็ทำให้ซูยาหยุนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและต้องคล้อยตามไปอย่างช่วยไม่ได้

ไม่เพียงแค่นั้น พี่น้องของฉีเหล่าซานที่เป็นระดับหัวหน้าทีมก็เริ่มยั่วยุคนอื่นๆ ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ บางครั้งพี่น้องที่อยู่ภายใต้สังกัดของฉีเหล่าซานจะไปที่สังกัดอื่นๆเพื่อหาเหตุผลมาทะเลาะเบาะแว้งหรือไม่ก็สร้างปัญหาบางอย่าง

นอกจากนี้ เวลาที่สังกัดอื่นๆกำลังทำธุรกิจ ข่าวก็เกิดการรั่วไหลออกมาหลายครั้งโดยไม่มีสาเหตุ และไม่ว่าคนจากแก๊งพยัคฆ์มังกรจะฉวยโอกาสนี้หรือไม่ สังกัดอื่นๆของแก๊งตงไห่ก็ถูกตำรวจจับอยู่ดีเนื่องจากพวกเขาทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม!

และเมื่อเร็วๆนี้ คนของฉีเหล่าซานก็เริ่มปล่อยข่าวลือโดยบอกว่าแก๊งตงไห่ที่ถูกควบคุมดูแลโดยผู้หญิงจะทำให้ภาพลักษณ์ของผู้อาวุโสและหัวหน้ามาเฟียระดับสูงเสียหาย เจตนานั้นเป็นอย่างไรมันชัดเจนในตัวของมันเองอยู่แล้ว!

“สรุปคือ ฉีหยางจ้าวผู้นี้ต้องการแยกตัวออกจากแก๊งตงไห่หรือไม่ก็ขึ้นเป็นหัวหน้าแก๊งซะเองเลยสินะครับ?” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยรอยยิ้ม

“ดังนั้นในการประชุมนี้ ฉีเหล่าซานคนนี้คงจะพูดเรื่องแปลกๆอีกเช่นเคย และอาจจะตั้งคำถามที่ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของบอสซูของเรา” จ้าวหยาฟ่านกล่าวว่า “นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมต้องการขอให้คุณชายจี้อยู่ต่อ และเมื่อถึงเวลาคุณจะได้เป็นพยานให้กับเราได้”

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา!” จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “แต่อย่างไรก็ตาม ฉันไม่สามารถเป็นตัวแทนของเซิ่งฉีกรุ๊ปได้ พูดกันตามตรง ฉันและเซิ่งฉีกรุ๊ปเป็นเพียงแค่หุ้นส่วนทางธุรกิจกันเท่านั้น และถ้าพวกคุณไม่ติดเรื่องที่ฉันไม่สามารถเป็นพยานให้คุณในฐานะคนจากเซิ่งฉีกรุ๊ปได้ ฉันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรที่จะเป็นพยานให้”

“หุ้นส่วน?” ซูยาหยุนอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

“ใช่แล้ว!” จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อย “เราเป็นคนจากโรงงานผลิตยาจากเจียงโจว ชื่อว่าเซียวฟามาซูติคอล และโรงงานของเรามีความสัมพันธ์กับเซิ่งฉีกรุ๊ปในรูปแบบของความร่วมมือเท่านั้น ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถเป็นตัวแทนของเซิ่งฉีกรุ๊ปได้!”

“เราก็ไม่ได้ติดปัญหาอะไรในเรื่องนี้เช่นกัน!” จ้าวหยาฟ่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท้ายที่สุดแล้วคุณชายจี้ได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้จริงๆ”

“งั้นก็ไม่ต้องห่วง เมื่อถึงเวลาจำเป็นฉันจะเป็นพยานให้หัวหน้าซูเอง!” จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อย

“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณมาก!” จ้าวหยาฟ่านพยักหน้าและยิ้ม

“อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นคนนอกแต่ฉันขอพูดตามตรงว่ามันจะเป็นการดีกว่าหากจะเอาเนื้อร้ายอย่างฉีเหล่าซานออกไปให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นก็อาจจะมีปัญหาตามมาเรื่อยๆไม่จบไม่สิ้น!” จี้เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เฮ้อ….” จ้าวหยาฟ่านถอนหายใจและส่ายหัวด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว “ผมก็คิดอย่างนั้น แต่การคิดและพูดมันง่ายกว่าทำ!”

จี้เฟิงไม่ได้ถามอะไรมากไปกว่านี้ เพราะมันอาจจะเกี่ยวข้องกับความลับของแก๊งตงไห่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่คนนอกควรจะถาม

อย่างไรก็ตาม จากสิ่งที่จ้าวหยาฟ่านพูด จี้เฟิงสามารถสรุปได้ว่า ฉีเหล่าซานคนนี้จะต้องเป็นคนอวดดีและหยิ่งผยองอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นเขาคือคนที่มีอิทธิพลอย่างมากในแก๊งตงไห่

ทุกคนรู้ดีว่าองค์กรสายสีเทาอย่างแก๊งมาเฟียนั้นมีผู้คนระดับสูงหลายตำแหน่ง แต่ละตำแหน่งมีสังกัดและผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นของตัวเองพวกเขารับผิดชอบธุรกิจที่แตกต่างกันไปหรือรับงานในแบบที่ตัวเองถนัด ดังนั้นความแข็งแกร่งของแต่ละสังกัดจึงแตกต่างกัน มีสังกัดที่รับผิดชอบหน้าที่ในการต่อสู้โดยเฉพาะ ดังนั้นความแข็งแกร่งทางด้านกำลังคนและการต่อสู้ของพวกเขาจึงแข็งแกร่งมาก และบางสังกัดมีหน้าที่รับผิดชอบการจัดการ ดังนั้นความแข็งแกร่งทางการเงินของสังกัดนี้จึงแข็งแกร่งมาก

และฉีเหล่าซานผู้นี้ก็สามารถปล่อยให้คนของเขาไปที่สังกัดอื่นเพื่อสร้างปัญหาได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสังกัดที่เขาดูแลอยู่นั้นแข็งแกร่งที่สุด

บางทีนี่อาจเป็นจุดที่จ้าวหยาฟ่านและซูยาหยุนกลัวฉีเหล่าซานมากที่สุด

ท้ายที่สุดการที่จะกำจัดผู้อาวุโสระดับสูงภายในแก๊งที่ทรงพลังมากขนาดนี้ หากทำไม่ดีมันอาจจะเป็นการทำลายกำลังสำคัญของแก๊งตงไห่ ดีไม่ดีพวกเขาอาจจะถูกฉีเหล่าซานตอบโต้กลับโดยกลายเป็นว่าพวกเขาถูกฉีเหล่าซานกลืนกินเสียเอง เมื่อถึงตอนนั้นมันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่

ในขณะที่จี้เฟิงกำลังพูดคุยกับซูยาหยุนและจ้าวหยาฟ่าน ซูหยวนที่นั่งอยู่ข้างๆไม่ได้พูดอะไร แต่มีร่องรอยของความโศกเศร้าปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ และเธอยังคงนิ่งเงียบ

จากนั้น จี้เฟิงและคนอื่นๆก็คุยกันต่อ แต่พวกเขาไม่ได้คุยเรื่องภายในของแก๊งตงไห่อีกต่อไป แต่คุยกันเรื่องทั่วไปอย่างสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังเป็นกระแส ประสบการณ์ในการจัดการบริษัท ฯลฯ

ต้องยอมรับเลยว่าจ้าวหยาฟ่านเป็นคนที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง อย่างน้อยจี้เฟิงก็รู้สึกอย่างนั้น

คนๆนี้เป็นคนสุภาพและใจเย็น แต่เขาพูดได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ  มีระเบียบและน่าเชื่อถือ ทุกประโยคสามารถพูดได้ตรงประเด็นแทบไม่มีเรื่องไร้สาระเลย

สิ่งที่ทำให้จี้เฟิงชื่นชมเขามากที่สุดคือความชัดเจนและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของเขา

ในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ทันทีหลังจากนั้นก็มีเสียงพูดที่เต็มไปด้วยความมั่นใจดังมาจากโถงทางเดิน

“บอสใหญ่ยาหยุนอยู่ไหนล่ะ? อากาศหนาวแบบนี้ยังจะให้พวกเราตื่นแต่เช้ามาเข้าร่วมประชุม มันไม่ลำบากเกินไปหน่อยเหรอ?” เขาพูดด้วยเสียงที่ดังมาก เพราะเขาต้องการให้ซูยาหยุนที่อยู่ในห้องทำงานได้ยิน “คนหนุ่มคนสาวมันก็ไม่เป็นไรหรอก แต่คนแก่ๆอย่างข้าคงทนการฝืนร่างกายแบบนี้ได้ไม่ดีนักหรอกนะ!”

“ฉีเหล่าซาน! มันจะมากเกินไปแล้ว!” ใบหน้าของซูยาหยุนเปลี่ยนไปทันที คำพูดของอีกฝ่ายสื่อความหมายได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังบอกว่าเธอเป็นเด็กน้อยที่ทำอะไรตามอำเภอใจไม่คิดถึงผู้อื่น

จ้าวหยาฟ่านรีบพูดทันทีด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “เจ๊ใหญ่ ใจเย็นๆ ไม่ต้องไปอารมณ์เสียกับคนแบบนี้หรอกครับ คิดเสียว่าเป็นแค่ลมที่พัดผ่านไป”

ปรากฏว่าเจ้าของเสียงเอะอะโวยวายที่ทางเดินห้องโถงคือฉีเหล่าซาน แต่น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยพลังฟังดูไม่เหมือนชายชราเลย

“บอกให้เขาไปรอที่ห้องประชุม!” ซูยาหยุนพูดอย่างเย็นชา

“ได้ครับ!” จ้าวหยาฟ่านยืนขึ้นทันที เขาเดินออกจากห้องรับแขกไปเปิดประตูของสำนักงานและพูดเสียงดัง “ผู้จัดการฉี ตอนนี้ประธานยาหยุนยังไม่ว่างและยังไม่มีใครมาถึง คุณไปนั่งรอที่ห้องประชุมก่อนได้เลย รอทุกคนมากันครบเมื่อไหร่ การประชุมก็จะเริ่มขึ้นทันที!”

“โอ้! ช่างเป็นเช้าที่ยุ่งวุ่นวายเสียจริง ประธานของเราทำงานหนักขนาดนี้ ระวังจะเหนื่อยเกินไปนะ!” เสียงของฉีเหล่าซานดังขึ้นอีกครั้ง

“เชิญเถอะครับผู้จัดการฉี ท่านประธานต้องการให้คุณไปรอที่ห้องประชุม!” เสียงของจ้าวหยาฟ่านแข็งขึ้นเล็กน้อย

“เฮอะ!”

ฉีเหล่าซานแค่นเสียงอย่างเย็นชา “เจ้ากำลังพูดอยู่กับใคร! ตอนที่ข้าต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับหัวหน้าแก๊งคนเก่า เจ้ายังสวมผ้าอ้อมอยู่เลยมั้ง! ไม่ต้องเจ้าหรอก แม้แต่พ่อของเจ้าก็ยังเป็นเพียงแค่คนขับรถของหัวหน้าแก๊งคนเก่าเท่านั้น!”

“ผู้จัดการฉี ผมหวังว่าคุณจะไม่ขัดขืนคำสั่งของท่านประธาน!” จ้าวหยาฟ่านพูดเสียงต่ำ เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามระงับความโกรธของเขาเอาไว้

“ปึง—!”

ประตูห้องสำนักงานถูกเปิดออก แล้วร่างสูงก็เดินเข้ามา

นี่คือชายวัยกลางคนในวัยสี่สิบต้นๆ เขามีผมหงอกขาวขึ้นแซมเล็กน้อย รูปร่างสูงใหญ่และมีใบหน้าเหลี่ยม ท่าทางภายนอกเคร่งขรึม ดูน่าเกรงขาม

ในขณะเดียวกันชายวัยกลางคนผู้นี้มีรอยยิ้มที่ดุร้ายบนใบหน้าทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจเมื่อมองเห็น ดวงตาของเขามีแสงเย็นที่มืดมน

‘นี่มันซูหลงสองชัดๆ!’ จี้เฟิงพูดกับตัวเอง

“ยาหยุน ทำไมเธอถึงได้ยุ่งแต่เช้าเลยล่ะ? ดูแลตัวเองบ้างนะ เกิดเป็นอะไรขึ้นมามันจะกลายเป็นว่าทิ้งกลุ่มอย่างไร้ความรับผิดชอบ!” ชายวัยกลางคนหัวเราะ

“ฉีหยางจ้าว คุณไม่เห็นหรือว่าฉันกำลังมีแขก!” ใบหน้าของซูยาหยุนมืดลง น้ำเสียงแสดงความตำหนิชัดเจน “มาพูดจาแบบนี้ตอนนี้ แล้วแขกจะมองเราอย่างไร? มันจะไม่ทำให้แก๊งตงไห่ของเราดูเหมือนมนุษย์ที่ไร้ซึ่งอารยะ ไม่รู้จักกาลเทศะงั้นหรือ?”

การแสดงออกของฉีหยางจ้าวเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน แสงเย็นส่องประกายในดวงตาของเขา แต่เพียงแวบเดียวเขาก็หัวเราะเบาๆ “ยาหยุน ปีกกล้าขาแข็งมากแล้วสินะตอนนี้ เจ้าคงไม่ลืมใช่มั้ยว่าข้ามาจากรุ่นพ่อของเจ้า ไม่เรียกอาไม่พอ แต่นี่ไม่เรียกชื่อตำแหน่งด้วยซ้ำ!”

“เรื่องงานเป็นเรื่องงาน เรื่องส่วนตัวเป็นเรื่องส่วนตัว ผู้จัดการฉี อย่าเอามาปนกัน!” ซูยาหยุนกล่าวด้วยใบหน้าที่สงบนิ่งและเย็นชา

“ช่างเป็นคำกล่าวที่น่าเกรงขามเสียจริง!”

ฉีหยางจ้าวหัวเราะเบาๆ อย่างเมินเฉยและกวาดสายตามองไปที่จี้เฟิงกับซูหยวน จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “พวกคุณสองคน.... จะให้ฉันเรียกพวกคุณว่าอะไร?”

จี้เฟิงชำเลืองมองเขาแต่ไม่ได้พูดอะไร

ใบหน้าของฉีหยางจ้าวมืดครึ้มลงทันที รอยยิ้มของเขาหายวับไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าเขาใกล้จะหมดความอดทนเต็มที

“ผู้จัดการฉี ฉันกำลังต้อนรับแขกอยู่ โปรดไปห้องประชุมและรอสักครู่!” ซูยาหยุนพูดเสียงเข้ม “อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำ!”

“ซูยาหยุน ในฐานะประธานกรรมการ คุณถูกสนับสนุนโอบอุ้มโดยพี่น้องทั้งหลายด้านล่าง แต่กลับปฏิบัติต่อผู้อาวุโสเช่นนี้ ความมั่นคงในความสัมพันธ์ภายในจะต้องสั่นคลอน!” ฉีหยางจ้าวพูดบางอย่างที่มีความหมาย และในขณะเดียวกันก็จ้องไปที่ซูยาหยุนและจี้เฟิงอย่างลึกซึ้งจากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อและจากไป

“เฮอะ!”

ซูยาหยุนตะคอกอย่างเย็นชา ใบหน้าของเธอบูดบึ้ง หน้าอกของเธอกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าเธอโกรธมาก

จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย และแอบพูดกับตัวเองในใจ   ‘ดูเหมือนว่าความขัดแย้งภายในของแก๊งตงไห่จะร้ายแรงกว่าที่จ้าวหยาฟ่านเล่าให้ฟัง...’

.....จบบทที่ 863 ~

—-------------------------------------------------

สวัสดีปีใหม่ ปีกระต่ายนะคะ ผู้แปลกลับมาแล้วค่าาา  (๑ ˃ᆺ˂)

เนตรนารีสีชมพู ขออวยพรให้ผู้อ่านของเนตรนารีทุกๆท่าน ประสบแต่ความสุขความเจริญ ร่ำรวยเงินทอง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ โชคดีตลอดปีตลอดไปเลยนะคะ

ขอขอบคุณทุกๆยอดอ่าน ทุกๆคอมเมนต์ มันเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดสำหรับเนตรนารีสีชมพูเลยค่ะ จะพยายามแปลให้มากขึ้น รีบจบให้ไวขึ้นนะคะ

ปล. เนตรนารีสีชมพู มีสองคนนะคะ มันเป็นฟามลับที่ปกปิดมานาน~~ (˘⌣˘) ♡ (˘⌣˘)

ปล. 2 เพราะพวกเราอยากให้ผลงานออกมาดีที่สุด เลยอาจจะช้าไปบ้าง ขอโทษตรงนี้ด้วยนะคะ แต่มาถึงตรงนี้ อะไรที่ไม่จำเป็นจะตัดออกค่ะ แล้วจะยังคงรักษาคุณภาพเอาไว้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด