ตอนที่แล้วบทที่ 38: ดวงอาทิตย์บนฝ่ามือ  
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 40: ปลอดภัยมาตั้งนานแล้ว เหยื่อภัยสงคราม

บทที่ 39: แขกจากแดนไกล


บทที่ 39: แขกจากแดนไกล

“ฟู่ว!”

ซุยเฮ็งรีบพ่นลมหายใจออกมาเพื่อดับเปลวเพลิงลูกเล็กๆ บนฝ่ามือของเขา พูดตามตรง เขาก็ค่อนข้างประหลาดใจ

เขารู้สึกสงสัยเล็กน้อยในเคล็ดวิชาที่ฮุ่ยฉีได้เขียนไว้ ดังนั้นเขาจึงลองปล่อยพลังออกมาตามความเข้าใจของเขาดู

เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าเขาจะสามารถจุดเปลวเพลิงที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้ในทันที

ในชั่วพริบตา เปลวเพลิงที่มีอุณหภูมิสูงจนสามารถเผาสำนักงานเทศมณฑลให้วอดวายกลายเป็นเถ้าถ่านได้ก็ได้ดับลง

หากความร้อนนี้ถูกปล่อยออกไปข้างนอก มณฑลจูเหอทั้งหมดก็คงจะวอดวายกลายเป็นผุยผงแน่

และทั้งหมดนั่นก็เป็นผลมาจากการที่เขาจุดไฟด้วยพลังปราณอ่อนๆ ของเขา!

“การใช้พลังปราณนั้นช่างลึกล้ำจริงๆ นี่มันแข็งแกร่งยิ่งกว่าตอนที่ฉันใช้พลังปราณเพื่อใช้วิชากระบี่ซะอีก”

ซุยเฮ็งประมาณการณ์ว่าถ้าเขาใช้พลังปราณทั้งหมดของเขาเพื่อจุดเปลวเพลิงขึ้นมา มันก็จะต้องเป็นเปลวเพลิงขนาดมหึมาอย่างแน่นอน และบางที เขาก็อาจจะสามารถเผาภูเขาและทำทะเลให้เดือดได้!

แน่นอนว่าเขายังไม่สามารถยืนยันมันได้จนกว่าเขาจะได้ใช้มันจริงๆ

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ตั้งหน้าตั้งตารอว่าคาถาเวทย์ที่แท้จริงนั้นจะเป็นยังไง

ท้ายที่สุดแล้ว ในบรรดาวิธีการที่เขาได้เรียนรู้มาในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการควบแน่นพลังปราณเข้ากับกระบี่หรือการจุดเปลวเพลิงขึ้นมา พวกมันก็มีประโยชน์แค่สำหรับใช้ในการต่อสู้เท่านั้น มันยังไม่ใช่คาถาเวทย์ที่แท้จริง

[ เงิน : 348.21 ]

ซุยเฮ็งมองไปที่ยอดเงินของเขา ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถอนุมานคาถาเวทย์ได้สามคาถาแล้ว

อย่างไรก็ตาม หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจล้มเลิกความคิดนี้ไป เงินนั้นมีค่าและสามารถใช้ประโยชน์ได้มากมาย ยิ่งไปกว่านั้น มันก็ยังเป็นไม้เด็ดในการช่วยชีวิต

เขาไม่ได้มีความจำเป็นเร่งด่วนอะไรสำหรับคาถาเวทย์ในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะรอมันต่อไปก่อน

ยิ่งไปกว่านั้น เคล็ดวิชายุทธ์ที่ฮุ่ยฉีได้คัดลอกมานั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับเขาที่จะหาวิธีใหม่ๆ ในการใช้พลังปราณของเขา

“ท่านผู้ว่าการ เมื่อกี้ท่าน…” เมื่อเห็นว่าซุยเฮ็งไม่ได้พูด ในที่สุดฮุ่ยฉีก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “นั่นคือวิชาเซียนหรอ?”

“มันก็แค่ลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ จากการทดสอบน่ะ” ซุยเฮ็งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าไปได้แล้ว”

“รับทราบแล้ว” ฮุ่ยฉีโค้งคำนับด้วยความเคารพและเดินจากไป

หลังจากเดินออกมาจากสำนักงานเทศมณฑลเสร็จ เขาก็รีบวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ต้นหนึ่ง เขาวางมือลงแนบหัวใจและหายใจแรง แผ่นหลังของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็สามารถระงับความกลัวลงได้ในที่สุด

ลูกบอลเพลิงขนาดเล็กเมื่อกี้ทำให้ฮุ่ยฉีรู้สึกราวกับว่าดวงอาทิตย์ได้ปรากฎขึ้นที่บนฝ่ามือของซุยเฮ็ง หากมันเกิดการระเบิดขึ้น มันก็คงจะเป็นจุดจบของโลก

“นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว นั่นคือพลังของท่านผู้ว่าการอย่างงั้นหรอ?” ฮุ่ยฉีรู้สึกตกใจมาก

“นี่เขายังเป็นมนุษย์อยู่จริงๆ หรอ?”

สามวันต่อมา

พื้นถนนถูกเคลียร์โล่งและเวทีก็ได้ถูกตั้งไว้บนถนนหน้าสำนักงานเทศมณฑล

พลเมืองจำนวนนับไม่ถ้วนกรูกันเข้ามาล้อมรอบสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม เพราะมีฮุ่ยฉีทำหน้าที่เป็นองครักษ์รักษาการณ์อยู่ ที่นี่จึงไม่มีความวุ่นวายใดๆ

ชายชราและหญิงสาวถูกวางไว้ข้างหน้า ตามด้วยคนที่มีเด็ก หลายคนปล่อยให้ลูกๆ ขี่คอพวกเขาเพราะพวกเขาต่างก็ต้องการจะดูว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น

งานชุมนุมร้องทุกข์กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า

“ท่านเทพสวรรค์ของเราจะต้องเป็นเซียนตัวจริงเสียงจริงอย่างแน่นอน เขาถึงได้สามารถคิดค้นวิธีการดังกล่าวเพื่อตัดสินโทษไอ้แก่หวงนั่นได้”

“ถูกต้อง ข้าอยากจะดูเหลือเกินว่าจุดจบของตระกูลหวงมันจะเป็นยังไง!”

“ยอดเยี่ยม! ในที่สุดเราก็จะได้มีชีวิตที่ดีในอนาคต ตระกูลหวงกดขี่พวกเรามานานเกินไปแล้ว และมันก็ถึงเวลาตายของพวกมันแล้ว! ขอบคุณท่านเทพสวรรค์!”

พลเมืองหลายส่วนกล่าวสรรเสริญชื่นชมซุยเฮ็ง ขณะที่อีกส่วนที่เหลือก็กล่าวด่าทอสาปแช่งตระกูลหวงและจินตนาการถึงอนาคตอันสวยงามของพวกเขา

ในไม่ช้า สมาชิกในตระกูลหวงก็ได้ถูกเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งควบคุมตัวขึ้นมาบนเวที

คนที่เดินนำหน้าสุดคือผู้เฒ่าหวง หวงชิซาน

เมื่อเห็นอีกฝ่ายปรากฎตัวขึ้น ฝูงชนก็ส่งเสียงดังลั่นในทันที

“ฆ่ามัน! ฆ่าไอ้แก่หวงเดี๋ยวนี้เลย!”

“มันจะต้องตายด้วยบาดแผลนับพัน! มันสมควรจะตายด้วยบาดแผลนับพัน! ข้าอยากจะกินเนื้อและดื่มเลือดของมัน! ข้าจะให้ 20 ตำลึงสำหรับคนที่สามารถเอาเนื้อและเลือดของมันมาให้ข้าได้!”

“ถลกหนังมันทั้งเป็นแล้วจับโยนลงกระทะทองแดงไปเลย! ทำให้มันต้องทนทุกข์ทรมาน!”

เสียงตะโกนด่าทอคำสาปแช่งที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธดังลั่นเมืองราวกับเสียงฟ้าผ่า

ถ้าไม่ใช่เพราะฮุ่ยฉีที่ยืนอยู่ด้านหน้าเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ประชาชนเหล่านี้ก็คงจะรีบวิ่งกรูกันเข้าไปทุบตีตระกูลหวงทั้งหมดจนเสียชีวิตแล้ว

อย่างไรก็ดี เหล่าเจ้าหน้าที่และฮุ่ยฉีก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความดุร้ายและความโกรธเกรี้ยวอย่างใหญ่หลวงของเหล่าประชาชน

ตระกูลหวงได้ก่อกรรมทำชั่วเอาไว้มากมาย พวกเขาสมควรตาย

“ทุกคน!”

ด้วยความช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่ทางการทั้งสี่ จ้าวกวงก็คว้าตัวหวงชิซานและเดินขึ้นไปบนเวที เขาตะโกนว่า “นี่คือผู้เฒ่าหวง หวงชิซาน  ผู้ร้ายที่รังแกพวกเราเหล่าสามัญชน!”

“ท่านผู้ว่าการไม่เกรงกลัวอำนาจ และเพราะเห็นแก่พวกเราเหล่าสามัญชน เขาจึงได้กำจัดตระกูลหวงซึ่งได้ก่อกรรมทำชั่วเอาไว้ทุกรูปแบบลง และตอนนี้ เขาก็ได้จัดงานชุมนุมร้องทุกข์นี้ขึ้นมาเพื่อต้องการจะให้เราอธิบายอย่างชัดเจนว่าตระกูลหวงรังแกเราอย่างไร!”

“จงแสดงความทุกข์ของพวกเจ้าออกมา  และต่อจากนี้ไป ทุกคนจะสามารถพูดอะไรก็ได้ตามที่พวกเจ้าต้องการ!”

จ้าวกวงเคยออกเดินทางร่อนเร่พเนจรไปทั่วและประทังชีวิตด้วยการขอทาน ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงค่อนข้างมีทักษะการพูดติดตัวและทำให้เขาเหมาะมากที่จะเป็นเจ้าภาพในการจัดงานชุมนุมร้องทุกข์ครั้งนี้

และทันทีที่เขาพูดจบ—

บู้มมม!

ฝูงชนระเบิดความโกรธเกรี้ยวออกมาในทันที ประชาชนทุกคนจ้องมองไปที่หวงชิซานด้วยดวงตาสีแดงก่ำ

“ไอ้เหี้ยหวง! บรรพบุรุษของมึงมันเลวทั้งชั่วโคตร! ปีที่แล้วเกิดภัยแล้งหนัก พืชผลไม่พอจ่ายค่าเช่า เจ้าเลยส่งคนมาจับภรรยาและลูกสาวของข้าและฆ่าพวกนางทั้งคู่ทิ้งต่อหน้าข้า! เจ้ามันสมควรตาย! ไอ้แก่ชาติหมา!”

“สามีที่น่าสงสารของข้า เขาอายุ 60 ปีแล้ว และปีที่แล้วเขาก็ป่วยหนัก ดังนั้นเขาเลยทำนาไม่ได้สองวัน แต่กระนั้น เจ้าแก่หวงคนนี้ก็ยังส่งคนมาจับตัวเขาไปกระทืบจนเขาตายคาฝ่าเท้าของพวกมัน!”

“ตระกูลหวงสมควรตายอย่างสยดสยอง! ปีที่แล้วในตอนที่ลูกสาวของข้ากำลังจะแต่งงาน คนรับใช้คนหนึ่งของตระกูลหวงก็ได้บุกเข้ามาและข่มขืนนาง และในคืนเดียวกัน… ลูกสาวผู้น่าสงสารของข้าก็แขวนคอตายเพราะทนความอัปยศไม่ไหว! บัดสบจริงๆ!”

งานชุมนุมร้องทุกข์กินเวลาสามวันสามคืน และลำพังแค่คดีของเฒ่าหวงเพียงคนเดียวก็กินเวลาไปแล้วสองวันหนึ่งคืน

ในท้ายที่สุด ตระกูลหวงผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งได้ทำนาบนหลังคนก็ได้ถูกตัดสินโทษประหารและทำการประหารชีวิตบนเวทีต่อหน้าฝูงชน

มิฉะนั้นแล้ว การร้องทุกข์นี้ก็อาจจะกินเวลานานต่อไปเป็นเดือน

หลังจากงานชุมนุมร้องทุกข์จบลง มันก็ถึงเวลาแจกจ่ายที่ดินและทรัพย์สินของตระกูลหวงให้กับประชาชน

สิ่งนี้ทำให้ผู้คนในมณฑลจูเหอบูชากราบไหว้ซุยเฮ็งเป็นเหมือนดังเทพเจ้า

ในความเป็นจริง หลายคนก็ถึงกับกราบไหว้บูชารูปเหมือนของซุยเฮ็งที่บ้านและอธิษฐานถึงเขาทั้งกลางวันและกลางคืน

หลังจากที่ตระกูลหวงถูกกำจัดออกไป ปวงประชาก็ได้รับที่ดินและทรัพย์สินเป็นของตนเองเช่นกัน

มณฑลจูเหอทั้งหมดก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

อย่างไรก็ตาม ในบรรยากาศที่สุขสมอารมณ์ชื่นเช่นนี้ ข่าวชิ้นหนึ่งก็ได้เกาะกุมหัวใจของทุกคนราวกับหมอกควัน มันทำให้พวกเขากลับมาไม่สบายใจอีกครั้ง

มันคือข่าวที่กองทัพของราชาหยานผู้ก่อการกบฏกำลังจะมาโจมตีมณฑลจูเหอในไม่ช้า!

ในวันนี้ มีคนสองคนมาที่มณฑลจูเหอ

คนหนึ่งเป็นหญิงสาวที่ดูเหมือนจะอายุยี่สิบ และอีกคนเป็นเด็กสาวที่เพิ่งจะอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลายเท่านั้น พวกเธอทั้งคู่เป็นศิษย์ของศาลากระบี่ยู่หัวซึ่งเป็นสำนักใหญ่ในมณฑลลู่

หญิงสาวมีลักษณะที่งดงามและสวมชุดสีเหลือง เธอตัวเล็ก สวยงาม และมีชีวิตชีวา ดวงตาที่สดใสและมีชีวิตชีวาของเธอมองไปรอบๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น เมื่อเธอเห็นแผงขายขนมขบเคี้ยวบนริมถนน เธอก็อดไม่ได้ที่จะหยุดดู

“ศิษย์พี่ มณฑลจูเหอแห่งนี้มีชีวิตชีวาและมีกลิ่นหอมมากเลย” เธอค่อยๆ ดึงชายเสื้อของหญิงสาวและถามเบาๆ ว่า “ท่านไม่ได้บอกว่ามันมีผู้ว่าการที่น่ากลัวปกครองที่นี่อยู่และเหล่าประชาชนกำลังตกอยู่ในนรกกันหรอกหรอ?”

หญิงสาวมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์ และรูปลักษณ์ที่สดใสสวยงาม ออร่าของเธอนั้นสง่างามและดูมั่นคง มันให้ความรู้สึกเหมือนกับเธอเป็นบัณฑิต

“มันแตกต่างจากที่เรารู้มาก่อนหน้านี้จริงๆ” เธอเองก็ยังประหลาดใจเมื่อเห็นสถานการณ์ภายในเมือง เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยและคิดว่า “ดูเหมือนว่ามันจะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เราไม่รู้เกิดขึ้นนะ”

“ในโลกที่วุ่นวายใบนี้ มันก็มีสถานที่ไม่มากนักที่ผู้คนจะสามารถใช้ชีวิตและทำงานอย่างสงบสุขได้ มันคงจะน่าเสียดายหากพวกเขาต้องถูกทำลายลงโดยกองทัพของราชาหยาน ครั้งนี้เราจะต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อช่วยเหลือและป้องกันไม่ให้สถานที่แห่งนี้ถูกทำลาย”

“เราจะไปตามหาผู้ว่าการกันตอนนี้เลยไหม?” หญิงสาวถาม แต่สายตาของเธอก็ยังคงจับจ้องไปที่แผงขนมริมทาง

“ไม่” หญิงสาวพูดพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ “เราต้องลองสอบถามข้อมูลจากคนที่นี่ดูก่อน”

5 1 โหวต
Article Rating
3 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด