บทที่ 34: แสงเจ็ดสีของเจ็ดอารมณ์ ปรมาจารย์เซียนกลายเป็นเจ้าเมือง!
บทที่ 34: แสงเจ็ดสีของเจ็ดอารมณ์ ปรมาจารย์เซียนกลายเป็นเจ้าเมือง!
ซุยเฮ็งนั่งขัดสมาธิ จิตจมลงสู่กาย
แก่นแท้ทองคำที่มั่นคง ไร้เทียมทาน และสมบูรณ์แบบปรากฏขึ้นในการรับรู้ของซุยเฮ็ง
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ออกจากพื้นที่มิติสำหรับผู้เริ่มต้นมาเป็นเวลานานแล้ว แต่เขาก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าแก่นแท้ทองคำได้เริ่มพัฒนาจิตวิญญาณอันละเอียดอ่อนขึ้นมาแล้ว
นอกจากนี้ มันก็ยังดูเหมือนว่ามันจะกำลังเปลี่ยนจากวัตถุที่ไม่มีชีวิตเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างช้าๆ!
สิ่งนี้ต้องขอบคุณประสบการณ์ทางอารมณ์ทั้งเจ็ดที่เขาได้เก็บรวบรวมมาตลอดสองวันที่ผ่านมา
ในตอนนี้ ซุยเฮ็งก็ต้องการจะสรุปวิธีการและทิศทางในการสัมผัสกับอารมณ์ทั้งเจ็ดให้ดีขึ้น เพื่อที่เส้นทางการฝึกตนของเขาจะได้ราบรื่นขึ้นในอนาคต
ความสุข, ความโกรธ, ความเศร้า, ความกลัว, ความรัก, ความรังเกียจและความโล�
ธรรมชาติของทุกอารมณ์เป็นอย่างไร? แล้วทำอย่างไรจึงจะรวบรวมมันได้? แล้วเมื่อใดมันจึงจะถือว่าสมบูรณ์?
ซุยเฮ็งจมอยู่ในความคิด
ในเวลาเดียวกัน การรับรู้ของเขาก็ครอบคลุมทั่วทั้งแก่นแท้ทองคำและเข้าถึงจิตวิญญาณอันละเอียดอ่อนในแก่นแท้ทองคำ จากนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงลูกบอลแสงเจ็ดสีลูกเล็กๆ
สีแดง สีม่วง สีเทา สีเขียว สีขาว สีดำ และสีเหลือง
แสงเหล่านี้เป็นตัวแทนของอารมณ์ทั้งเจ็ด สีแดงแสดงถึงความสุข สีม่วงแทนความโกรธ สีเทาแทนความเศร้า สีเขียวแทนความกลัว สีขาวแทนความรัก สีดำแทนความรังเกียจ และสีเหลืองแทนความโล�
เมื่อซุยเฮ็งสัมผัสได้ถึงแสงทั้งเจ็ดสีของอารมณ์ทั้งเจ็ด เขาก็เข้าใจอะไรได้บางอย่าง
ตราบใดที่เขาสามารถรวบรวมอารมณ์ทั้งเจ็ดของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดได้ เขาก็จะสามารถเพิ่มความสว่างของแสงทั้งเจ็ดได้
เมื่อแสงสีทั้งเจ็ดเติบโตจนสว่างมากถึงเจ็ดจุด เขาก็จะนับได้ว่าอยู่ในขอบเขตแก่นแท้ทองคำขั้นสมบูรณ์ได้อย่างแท้จริง และในเวลานั้น เขาก็จำเป็นจะต้องนั่งสมาธิอย่างสันโดษอีกเพียง 49 วันก่อนที่เขาจะสามารถให้กำเนิดจิตวิญญาณและทะลวงสู่ขอบเขตถัดไปได้
ในบรรดาแสงทั้งเจ็ดสี แสงสีเขียวที่แสดงถึงความกลัวก็ส่องสว่างมากที่สุด มันเกือบจะสว่างถึง 30% ของเจ็ดจุดแล้ว
ส่วนใหญ่เกิดจากความกลัวของผู้คนที่ได้เห็นความแข็งแกร่งของเขา
ถัดมาเป็นสีเทาที่แสดงถึงความเศร้า มันสว่างกว่าหนึ่งจุดเล็กน้อย มันคือความรู้สึกสิ้นหวังและคร่ำครวญที่เขาได้รวบรวมมาจากตอนที่อยู่ในคุกใต้ดิน
สีแดงที่แสดงถึงความสุขเองก็มีอยู่เช่นกัน แต่มันก็เล็กมาก มันสว่างไม่ถึงจุดด้วยซ้ำ ซึ่งความสุขเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ได้มาจากตอนงานเลี้ยงแต่งงานของตระกูลหลี่
นอกจากนี้ก็ยังมีสีม่วงซึ่งแสดงถึงความโกรธและสีดำซึ่งแสดงถึงความรังเกียจอย่างละเล็กละน้อย อย่างไรก็ดี มันก็ยังน้อยกว่าแสงสีแดง อาจเป็นเพราะความโกรธและความรังเกียจที่ผู้คนรู้สึกต่อเขานั้นมักจะเปลี่ยนเป็นความกลัวอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่ไร้สาระยิ่งกว่าคือความปรารถนาสีเหลืองเองก็มีเล็กน้อยเช่นกัน!
เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะหล่อเกินไปจนเผลอไปทำให้คนอื่นๆ รู้สึกปราถนาในตัวเขา?
นอกจากนี้ก็ยังมีแสงสีขาวที่เป็นตัวแทนของความรัก แม้ว่ามันจะถูกเรียกว่าสีขาว แต่มันก็เหมือนกับแสงหยกขาวอันบริสุทธิ์มากกว่า มันช่างนุ่มนวลและชวนให้รู้สึกดี
อย่างไรก็ดี เขาก็ไม่มีแสงสีนี้เลย นั่นเป็นเพราะซุยเฮ็งยังไม่ได้รวบรวมอารมณ์แห่งความรัก
เขาสัมผัสได้ถึงแสงสว่างนี้ผ่านจิตใจของเขาเท่านั้น
“ความสุข ความโกรธ ความเศร้า ความกลัว ความรังเกียจ และความปรารถนา มันง่ายมากในการเก็บรวบรวมอารมณ์ทั้งหกนี้ อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องความรักแล้ว ฉันก็ไม่มีเงื่อนงำใดๆ เลย” ซุยเฮ็งคิด “บางทีฉันอาจจะได้รับแนวคิดบางอย่างมาเมื่อฉันจัดการคดีต่างๆ ในฐานะผู้ว่าการมณฑลเรียบร้อยแล้ว”
จากนั้นเขาก็หยิบ “เคล็ดวิชาลับกระบี่โผนอรุณ” ที่เขาได้รับจากฮุ่ยฉีออกมา หลังจากพลิกดูมันเล็กน้อยแล้ว เขาก็ยืนยันได้ว่านี่คือ “ศาสตร์กระบี่เซียนอรุณ” เวอร์ชั่นที่ด้อยลงมา
อย่างไรก็ตาม “ศาสตร์กระบี่เซียนอรุณ” ดั้งเดิมก็ไม่ได้ถูกแบ่งออกเป็นขอบเขต
กลับกัน มันมีการแบ่งขอบเขตการฝึกตนอย่างละเอียดในเคล็ดวิชาลับกระบี่โผนอรุณ มันเป็นเหมือนกับขอบเขตการฝึกตนที่เป่ยฉิงซูและหลี่หมิงเฉียงเคยอธิบาย
ขอบเขตปรับแต่งรากฐาน, ขอบเขตบำรุงกายา, ขอบเขตสัมผัสปราณ, ขอบเขตสะสมปราณ, ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น, ขอบเขตชำระไขกระดูก, ขอบเขตควบรวมปราณ, ขอบเขตเปลี่ยนปราณ, ขอบเขตประตูลึกล้ำ, ขอบเขตเซียนเทียน, ขอบเขตสัมผัสโลกา
ผู้ฝึกตนขอบเขตเปลี่ยนปราณสามารถเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์
ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูลึกล้ำสามารถเรียกได้ว่าเป็นยอดปรมาจารย์
ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเทียนก็เรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์เซียนเทียน
ผู้ฝึกตนขอบเขตสัมผัสโลกาเป็นจุดสุดยอดของโลกยุทธ์และอาจกล่าวได้ว่าอยู่ยงคงกระพัน
“มันไม่มีขอบเขตเทพ เซียนมนุษย์ หรือเซียนปฐพีเลย…” ดวงตาของซุยเฮ็งกะพริบ เขารู้สึกว่ามันมีบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีข้อมูลน้อยเกินไป เขาจึงไม่สามารถสรุปได้ว่ามันมีปัญหาอะไร
นอกจากนี้ มันก็ยังมีอย่างอื่นที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจ
จากคำอธิบายของเคล็ดวิชาลับนี้ ขอบเขต “สัมผัสโลกา” ก็ดูเหมือนจะเทียบเท่ากับขอบเขตสกัดปราณขั้นหกเท่านั้น
มันห่างไกลจากขอบเขตที่เขาประเมินเอาไว้ก่อนหน้านี้มาก
“เป็นไปได้ไหมว่าขอบเขตสมบัติเทวะจะยังเทียบได้เพียงแค่ขอบเขตสกัดปราณขั้นเจ็ดถึงเก้าเท่านั้น?” ซุยเฮ็งขมวดคิ้วเล็กน้อยและคิดกับตัวเอง “หรือว่า…”
…
ในขณะที่ซุยเฮ็งกำลังคิดเรื่องราวต่างๆ ลู่เจิงหมิงก็เริ่มทำงานของเขาแล้ว
แม้ว่าวรยุทธ์ของเขาจะพิการไปนานแล้ว แต่ภายใต้การรักษาจากซุยเฮ็ง การฝึกตนของเขาจึงได้ฟื้นคืนสู่สถานะสูงสุดอีกครั้ง ซึ่งมันก็คือขอบเขตควบรวมปราณ
สิ่งนี้ทำให้ลู่เจิงหมิงรู้สึกขอบคุณซุยเฮ็งเป็นอย่างมาก และหลังจากเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปหา “ผู้มีพระคุณ” ของเขาในทันที
ผู้ว่าการมณฑลต้องการจะจัดงานพิธีต้อนรับเพื่อให้ทุกคนในมณฑลรู้ว่าผู้ว่าการมณฑลคนใหม่ได้มาถึงแล้ว แน่นอนว่าสิ่งนี้ย่อมต้องทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในเมือง
พิธีดังกล่าวจำเป็นจะต้องใช้เงิน และแน่นอนว่ามันจะต้องใช้เงินมากๆ!
อย่างไรก็ตาม ลู่เจิงหมิงก็ไม่มีเงินเลย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงมองหาอดีตเพื่อนร่วมห้องขังเท่านั้น
ในช่วงนี้ จ้าวกวงก็อารมณ์ดีเป็นพิเศษ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะทุกคนที่ปล้นสุสานกับเขาได้ถูกฆ่าตายไปหมดแล้ว มันไม่มีใครอีกแล้วบนโลกที่จะรู้ว่าเขาเป็นโจรปล้นสุสาน
และจากนี้ไป เขาก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสงบสุข!
ในคืนนั้น จ้าวกวงลากไหเหล้าในมือของเขาไปนอนบนเก้าอี้โยก เขาร่ำสุราอย่างสบายใจและเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศท้องฟ้ายามค่ำคืน
อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้นจู่ๆ เงาดำก็บินเข้ามาจากข้างนอกกำแพงและลงจอดข้างๆ เขา เงานั้นคว้าไหเหล้าออกมาจากมือของจ้าวกวงและยิ้ม “จ้าวซานเอ๋อ เจ้ายังจำข้าได้ไหม?”
ปัง!
เมื่อได้ยินเสียงนี้ จ้าวกวงก็สูญเสียการทรงตัวและล้มลงกับพื้น
เขาสร่างเมาในทันทีและมองไปที่เงาดำด้วยความงุนงง เขาพูดด้วยความตกใจว่า “ท่านปู่ลู่! ท่านออกมาจากคุกได้อย่างไรกัน?”
เมื่อสามปีที่แล้ว ในตอนที่เขามาถึงมณฑลจูเหอเป็นครั้งแรก เขาก็ได้ขโมยขนมปังสองก้อนไปกินเพราะความหิวโหย
อย่างไรก็ดี ในวันเดียวกันนั้นเอง เขาก็ได้ถูกจับและถูกขังไว้ในห้องขังข้างๆ ลู่เจิงหมิง
หลังจากที่ลู่เจิงหมิงสอนเคล็ดลับบางอย่างให้กับเขาแล้ว เขาก็ประสบความสำเร็จในการหลบหนีออกมาจากคุก
“เรื่องมันยาว แต่เป็นเพราะข้าได้รับความช่วยเหลือจากผู้มีพระคุณท่านหนึ่ง จากนี้ไป ข้าก็จะเป็นรองผู้ว่าการมณฑลจูเหอ” ลู่เจิงหมิงหัวเราะเบาๆ เขาดูค่อนข้างภูมิใจกับตำแหน่งในปัจจุบันของเขา
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ภูมิใจที่ได้เป็นรองผู้ว่าการมณฑลเล็กๆ แต่เขารู้สึกภูมิใจที่ได้ทำงานภายใต้ซุยเฮ็ง
“ขอแสดงความยินดีด้วยท่านปู่ลู่! ถ้าท่านต้องการอะไรในอนาคต โปรดอย่าลังเลที่จะมองหาข้า ข้าไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเงินแล้ว ฮ่าฮ่า!” จ้าวกวงรีบพยักหน้าและกล่าวแสดงความยินดี
เขาไม่เคยลืมบุญคุณคนที่เคยช่วยเขาไว้ ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงจะต้องตอบแทนลู่เจิงหมิงสำหรับพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาอยู่แล้ว
สำหรับเรื่องที่ว่าทำไมอาชญากรตัวเป้งอย่างลู่เจิงหมิงจึงสามารถกลายมาเป็นรองผู้ว่าการมณฑลได้นั้น แม้ว่าเขาจะอยากรู้อยากเห็น แต่เขาก็ไม่คิดที่จะถาม
“อย่าพูดแบบนั้นเลย ข้าไม่ได้ช่วยอะไรเจ้ามากขนาดนั้นหรอก” ลู่เจิงหมิงหัวเราะเสียงดัง จากนั้นเขาก็ตบไหล่ของจ้าวกวงและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อย่างไรก็ตาม ในคราวนี้ ข้าก็มีเรื่องให้ต้องใช้เงินจริงๆ”
“ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ผู้ว่าการมณฑลคนใหม่ก็จะเข้ามารับตำแหน่งแล้ว เราจะต้องจัดพิธีการต้อนรับให้ใหญ่โตมโหฬาร นอกจากนี้ มันก็จะสมบูรณ์แบบมากถ้าทุกคนในมณฑลรับรู้เรื่องนี้ ดังนั้นแล้ว ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เราก็จะออกไปป่าวประกาศมันด้วยกัน!”
“ห้ะ?” จ้าวกวงตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้สงสัยอะไรมากนัก เขาพยักหน้าและพูดว่า “ตกลง! ท่านไม่ต้องกังวล ข้ามีเงินมากมาย ข้าสัญญาว่าข้าจะทำมันให้ออกมายิ่งใหญ่และทำให้ท่านพึงพอใจได้อย่างแน่นอน!”
“ผิดแล้ว” ลู่เจิงหมิงส่ายหัวและยิ้ม “ต้องทำให้ท่านผู้ว่าการมณฑลพึงพอใจต่างหาก”
…
สามวันต่อมา
ซุยเฮ็งสวมชุดข้าราชการแฟนซีและขี่ม้าขาวตรงไปยังสำนักงานเทศมณฑล
พิธีการทั้งหมดนี้ถูกจัดโดยลู่เจิงหมิง
เนื่องจากเป็นพิธีต้อนรับ ดังนั้นผู้ว่าการมณฑลคนใหม่จึงต้องเดินทางเข้ามาจากข้างนอกเมืองเพื่อทำให้มันเป็นทางการ
ในขณะเดียวกัน หน้าทางเข้าเมืองก็เต็มไปด้วยเสียงฆ้อง กลอง และประทัด ธงแดงโบกสะบัดไปมาในอากาศและท้องถนนก็คับคั่งไปด้วยผู้คน
ภายใต้การฟาดเงินฟาดทองของลู่เจิงหมิงและจ้าวกวง พวกเขาก็สามารถหลอกล่อหน้าม้าให้มาร่วมงานได้มากถึงสี่พันกว่าคน!
เขายืนอยู่ที่ด้านหน้าของทีมต้อนรับโดยมีจ้าวกวงยืนอยู่ข้างๆ
ทั้งสองคนโบกธงอย่างกระตือรือร้นและเตรียมพร้อมที่จะทำการต้อนรับซุยเฮ็งเข้าสู่ตำแหน่ง
สายตาของลู่เจิงหมิงนั้นเฉียบคมมาก เมื่อเขาเห็นซุยเฮ็งขี่ม้าขาวมาจากระยะไกล เขาก็ตะโกนขึ้นทันทีว่า “เร็วเข้า ตะโกนร่วมกับข้า! ยินดีต้อนรับท่านผู้ว่าการมณฑล! ด้วยการมาถึงของท่าน จูเหอจึงจะสงบสุข! ท้องฟ้าจะกลายเป็นสดใส!”
“ยินดีต้อนรับท่านผู้ว่าการมณฑล! ด้วยการมาถึงของท่าน จูเหอจึงจะสงบสุข! ท้องฟ้าจะกลายเป็นสดใส!”
“ยินดีต้อนรับท่านผู้ว่าการมณฑล! ด้วยการมาถึงของท่าน จูเหอจึงจะสงบสุข! ท้องฟ้าจะกลายเป็นสดใส!”
ประชาชนหลายพันคนโห่ร้องพร้อมเพรียงกัน เสียงของพวกเขาดังก้องสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสวรรค์
เดิมที จ้าวกวงก็ส่งเสียงเชียร์ด้วยเช่นกัน เขาต้องการจะสร้างความประทับใจและความสัมพันธ์อันดีกับท่านผู้ว่าการมณฑลคนใหม่
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นร่างบนหลังม้า เขาก็ตัวสั่นในทันที ทันใดนั้นเสียงของเขาก็หยุดชะงักลงและเข่าของเขาก็ทรุดลงกับพื้นพร้อมกับเสียงดังตุ๊บ!
“ปะ… ปรมาจารย์เซียน!!!”