ตอนที่แล้วบทที่ 9 อร่อยมาก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 11 มหาคัมภีร์เป็นตาย

บทที่ 10 ภาพทิวทัศน์การปรุงยา


“วิชาหัวบิน!!”

ลู่อวิ๋นคำรามต่ำเมื่อเห็นภาพที่เก่อหลงขว้างศีรษะตัวเองออกไป

เจ้าคนนี้เป็นคนหรือผีกันแน่เนี่ย?

กระทั่งผีดิบก็ไม่สามารถขยับตัวได้หากไร้ศีรษะ แต่เก่อหลงดันเอามาใช้เป็นอาวุธ!

แต่ในตอนนี้ ลู่อวิ๋นไม่มีเวลาจะมาจัดการกับเรื่องนี้ เขารีบอุ้มว่านเฟิงแล้วรีบออกไปจากห้องศิลาอย่างรวดเร็ว

ด้านนอกห้องศิลามีแต่ความมืดมิดไร้แสงไฟ

ด้านหลัง มีเสียงกระพือปีกของแมลงวันซากศพตามมาติดๆ

ลู่อวิ๋นพร้อมสาวใช้ในมือก้าวเดินต่อไป แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกราวกับมีลมพัดเข้ามาที่หน้าจนหน้าชา ทันใดนั้นเขาก็ปล่อยมือและทิ้งว่านเฟิงลงกับพื้น ก่อนจะหันหลังวิ่งกลับไปในทันที

“นายท่าน มันเจ็บนะเจ้าคะ!” เสียงโอดโอยของว่านเฟิงดังขึ้นมาจากความมืด

“เจ้าไม่ใช่ว่านเฟิง!” ลู่อวิ๋นตะโกน เขาต้องรีบกลับไปที่ห้องศิลา

“ถ้าไม่ใช่ว่านเฟิงข้าจะเป็นใครกันไปได้เล่า?” เสียงนั้นใกล้ ราวกับอยู่ข้างๆ เขา

“ว่านเฟิงยังมีชีวิต แต่เจ้าไม่!” ก่อนหน้านี้ ลู่อวิ๋นบังเอิญไปโดนมือของว่านเฟิง และแม้ว่ามือของนางจะอุ่น แต่ว่ามันไม่มีชีพจร

ไม่มีชีพจรนั่นหมายความว่าคนตาย!

คนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่านเฟิงแน่ๆ

ว่านเฟิงตัวจริงหายไปไหนกัน?

ลู่อวิ๋นขนหัวลุก

แม้ว่าในห้องศิลาจะมีแมลงวันซากศพจำนวนนับไม่ถ้วนและผีดิบพันปีอยู่ในนั้น แต่อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสรอดเพราะมีเก่อหลงอยู่ในนั้น

แต่หากต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่รู้จักในความมืดเช่นนี้ มีแต่ตายกับตาย

“ผู้ฝึกยุทธ์… ผู้ฝึกยุทธ์! ข้าจะกลัวไอ้เจ้าพวกนั้นหรือเปล่าถ้าข้าได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์?”

แม้ว่าสุสานโบราณบนโลกนั้นอาจแปลกประหลาด แต่การได้เจอผีดิบสักตัวก็เหมือนกับได้รางวัลที่หนึ่ง แต่ว่าในโลกนี้กลับเต็มไปด้วยสิ่งแปลกประหลาดนับไม่ถ้วน!

ถ้าลู่อวิ๋นมีความสามารถพอๆ กับว่านเฟิง เขาก็คงไม่ไร้ประโยชน์เช่นนี้

“หรือว่ามันจะเป็นผีร้าย?”

เขากัดฟันแน่นและเร่งฝีเท้า

แต่เขาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าห้องศิลาที่อยู่เพียงเอื้อมนั้นกลับส่งแสงสีเขียวออกมาและเริ่มถอยห่างไกลออกไป

ไม่ว่าจะวิ่งเร็วแค่ไหนก็ไม่สามารถไปถึงห้องศิลาได้

"ผีชนกำแพง!"

ลู่อวิ๋นหยุดฝีเท้าใจหายวาบ

ผีชนกำแพงนั้นคือพื้นฐานฮวงจุ้ยที่บิดเบือนประสาทสัมผัสของคน ทำให้คนๆ นั้นเดินวนอยู่กับที่

ว่ากันกันว่า… ภาพลวงตานั้นเกิดจากที่ผีร้ายคอยบังตาบิดเบือนประสาทสัมผัส

ผีชนกำแพงธรรมดานั้นไม่สามารถดักลู่อวิ๋นได้แม้แต่น้อย… ดังนั้นแล้วจึงมีอีกเหตุผลนั้นคือบางสิ่งในความมืดนั้นบิดเบือนประสาทสัมผัสของเขา

“นายท่าน ท่านไม่ต้องการสาวใช้คนนี้แล้วหรือ?”

เสียงบิดเบี้ยวดังขึ้นมาในหู พร้อมกับกลิ่นเหม็นหืนที่แทงเข้ามาในจมูก

ลู่อวิ๋นถอยหลังโดยไม่รู้ตัว แต่ว่าสิ่งที่อยู่ในความมืดนั้นก็ตามติดเป็นเงา

ทันใดนั้นลู่อวิ๋นก็ได้กลิ่นเหม็นหืนเหมือนของเน่าที่แรงขึ้นกว่าเดิม ราวกับว่าอะไรบางอย่างนั้นอ้าปาก

“ในเมื่อนายท่านไม่ต้องการสาวใช้คนนี้อีกต่อไป ถ้าเช่นนั้นแล้วข้าจะกินเจ้าก็แล้วกัน? เจ้าดูน่ากินจริงๆ!”

อย่างที่เก่อหลงพูดเมื่อก่อนหน้า เจ้าสิ่งนี้มันอยู่ข้างๆ ลู่อวิ๋นตลอดที่ผ่านมา!

ฟุบ!

ทันใดนั้น กระบี่สีฟ้าครามก็เรืองแสงในความมืด

“อ๊า!――”

เจ้าสิ่งนั้นสิ่งเสียงกรีดร้อง

ประกายไฟปรากฏขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด ว่านเฟิงกระโดดมาอยู่ข้างๆ ลู่อวิ๋น หน้าของนางซีดเผือด

“นายท่าน ตอนที่ท่านโยนข้ามันเจ็บจริงๆ นะเจ้าคะ” สาวใช้ลูบก้นและมองมาที่ลู่อวิ๋นด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“ข้าโดนมันหลอก!”

เขารู้ตัวในทันที ที่เขาอุ้มมานั้นคือว่านเฟิงจริงๆ แต่ว่าเจ้าสิ่งที่อยู่ในความมืดนั่นหลอกประสาทสัมผัสของเขา ทำให้เขาโยนว่านเฟิงทิ้งไป

เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว ว่านเฟิงก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ในเขตแดนแก่นแท้ ด้วยความแข็งแกร่งที่ทัดเทียม ดังนั้นเจ้าสิ่งปริศนานั้นจึงไม่มีโอกาสจะจู่โจมลู่อวิ๋นโดยมีนางอยู่ใกล้ๆ นั่นคงเป็นเหตุผลว่าทำไมมันจึงเลือกบิดเบือนประสาทสัมผัสของลู่อวิ๋นและทิ้งนางไป

“ก่อนหน้านี้ข้าผิดเอง ข้าดันไปตกหลุมพรางสัตว์ประหลาดนั่น”

ลู่อวิ๋นรีบปลอบใจ

ว่านเฟิงงุนงง นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินลู่อวิ๋นขอโทษกับนาง

ว่านเฟิงหน้าแดง และดูเหมือนจะเขินอายขึ้นมา

“ไม่ไม่ ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของข้าเองเจ้าค่ะ ข้ากลัวเก่อหลงนั่นจนหมดสติไป”

เหมือนว่าเจ้าสิ่งที่อยู่ในความมืดนั่นหนีหายไปหลังจากถูกว่านเฟิงโจมตี

“แล้วเมื่อก่อนหน้านี้มันอะไรกัน? ทำไมอะไรก็ตามที่อยู่ในนี้ชอบเลียนแบบเสียงของข้าเหลือเกิน?”

ว่านเฟิงอยากจะร้องไห้จริงๆ

“ข้าว่ามันน่าจะเป็นผีร้าย แต่… เหมือนว่ามันจะไม่ได้เกิดมาจากสุสานเซียนนี้” ลู่อวิ๋นผ่อนคลายลงเมื่อเห็นว่าว่านเฟิงนั้นไม่เป็นอะไร

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้มันทำให้ใจเขาหายวูบ

ในสุสานนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศของความเน่าเปื่อย และวิญญาณเมื่อก่อนหน้านี้นั้นดูจะไม่เข้ากันกับบรรยากาศของสุสานแห่งนี้ เป็นไปได้ว่ามันน่าจะมาจากข้างนอก

“มีอะไรอย่างอื่นเข้ามาอย่างนั้นหรือ? หรือว่าจะเป็นวิญญาณแค้นของคนที่ตายในทางทิศใต้ของภูเขาชื่อฉวน?”

ลู่อวิ๋นสังหรณ์ใจไม่ดี

แมลงวันซากศพจำนวนมหาศาลหลังจากหายเข้าไปในความมืดแล้วก็ไม่โผล่มาอีก

“ที่นี่ที่ไหน?”

ลู่อวิ๋นเบิกตา พยายามจะมองไปรอบๆ ที่มืดๆ ด้วยแสงไฟดวงน้อย

แต่เปลวไฟในมือของว่านเฟิงนั้นเล็กไป ทำให้เขาเห็นเพียงแค่มุมห้องเท่านั้น

เหมือนว่าจะเป็นห้องนะ?

“นายท่… คุณชาย เหมือนว่านี่จะเป็นห้องนอนผู้หญิงเจ้าค่ะ”

ว่านเฟิงกล่าว

ต้องขอบคุณที่ประสาทสัมผัสของว่านเฟิงนั้นดีกว่าเพราะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ จึงทำให้สายตาของนางดีกว่าลู่อวิ๋น

“ห้องนอน?”

ลู่อวิ๋นหัวหมุน

หากห้องนอนในสุสาน แปลว่ามันคงเป็นที่ที่เจ้าของสุสานเดิมอาศัยอยู่ตอนยังมีชีวิต และคนสร้างสุสานนี้ก็ลอกตามแบบมา

“คุณชาย ทางนี้! ตรงนี้มีภาพวาดด้วย!”

จู่ๆ ว่านเฟิงก็รุดไปที่มุมห้องและจ้องตรงไปยังภาพวาดที่แขวนไว้บนผนัง

“สวยจริงๆ…”

ว่านเฟิงมองไปที่ภาพวาดและพึมพำ

ลู่อวิ๋นเดินไปข้างๆ ว่านเฟิงและมองดูรูปภาพด้วยแสงไฟจากนาง

บนภาพนั้นเป็นภาพของสาวงามอายุประมาณ 28 ปีในชุดสีขาวกระจ่างปลิวไปตามสายลม นางยืนอยู่บนกระบี่พร้อมกับม้วนคัมภีร์ในมือ

ลู่อวิ๋นมองไปที่สาวงามชุดขาวก็อดหัวใจเต้นแรงไม่ได้

สวยมาก!

แม้ว่าจะเป็นเพียงภาพวาด แต่หน้าตาของนาง อารมณ์ และท่าทางที่บนรูปภาพนั้น มันทำให้ดูราวกับว่ามีสาวงามไร้ที่เทียบยืนอยู่ตรงหน้าเขาจริงๆ ไม่ใช่แค่เพียงภาพวาด

“แด่เซียนโอสถ ยู่หยิง จากเทียนหยาซือ”

ลู่อวิ๋นสังเกตเห็นตัวอักษรเล็กๆ เขียนเอาไว้ที่มุมภาพ

“เสี่ยวจ้วน?”

เสี่ยวจ้วนนั้นเป็นวิธีการเขียนที่ใช้กันบ่อยในราชวงศ์ฮั่นและฉิน ในฐานะที่เป็นนักล่าสุสานที่มีความรู้ในด้านประวัติศาสตร์จีนเป็นอย่างดี เขาจึงอ่านมันออกได้อย่างง่ายดาย

“แสดงว่าการเขียนตัวอักษรในโลกนี้คือเสี่ยวจ้วน”

แม้ว่ามันจะเกินความคาดหมายไปบ้าง แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขาสบายใจที่มันช่วยลดโอกาสที่เขาจะถูกเปิดเผยตัว

“เซียนโอสถยู่หยิง? เทียนหยาซือ?” เขาพึมพำชื่อบนภาพ “หรือว่าผู้หญิงในรูปคนนี้จะเป็นคนที่ถูกฝังในสุสานนี้กัน?”

“เซียนโอสถยู่หยิง?!” ว่านเฟิงเบิกตากว้าง “เป็นนางได้อย่างไรกัน?”

“เจ้ารู้จักนางหรือ?”

ลู่อวิ๋นถาม

"เจ้าค่ะ!"

ว่านเฟิงพยักหน้า “เซียนโอสถยู่หยิงคือวีรสตรีเมื่อหลายพันปีก่อน นางเป็นผู้ว่าราชการคนที่แปดของเฉวียนโจว!”

“ว่ากันว่านางเป็นคนที่งดงามเหนือกว่าใครในรุ่นเดียวกัน นางหลอมสร้างโอสถเซียนได้ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดา แต่ว่านางถูกคนลอบโจมตีระหว่างบททดสอบทัณฑ์สวรรค์และไม่รอดชีวิต… ใครจะไปคิดกันว่านี่เป็นสุสานของเซียนโอสถยู่หยิง”

“นายน้อย!”

ว่านเฟิงตื่นเต้นจนตัวลอย “ในเมื่อนี่คือสุสานของเซียนโอสถ อาจเป็นไปได้ว่าที่นี่จะมีโอสถทองคำเก้าทวารอยู่… อาจจะมีวิธีการหลอมสร้างด้วยซ้ำ!”

“จริงหรือ?”

ลู่อวิ๋นตาเป็นประกาย หัวใจเต้นระรัว

หากมีโอสถทองคำเก้าทวาร เขาก็จะสามารถฝึกฝนวิชายุทธ์ได้อย่างว่านเฟิง!

เขาอาจจะทำหน้าที่เป็นผู้ว่าของเฉวียนโจวได้ต่ออีกด้วยซ้ำ… แม้ว่าเฉวียนโจวนั้นจะย่ำแย่ แต่เขาก็แค่ต้องเปลี่ยนรูปแบบของเก้ามังกรแบกโลง เฉวียนโจวก็จะรุ่งเรือง

ลู่อวิ๋นใจเต้น

ฟู่ว!

ทันใดนั้นเอง ก็มีลมพัดมาจากทางข้างหลัง ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างกระโจนใส่เขา

“กำลังรอเจ้าอยู่เลย!”

ทันใดนั้นว่านเฟิงก็หันกลับไป!

นางชักกระบี่ในมือออกมาและแทงเข้าใส่สิ่งที่อยู่ในความมืดนั่น

ฟุบ!

ราวกับว่ามีอะไรถูกแทง ลู่อวิ๋นรู้สึกราวกับว่ามีของเหนียวๆ กระเด็นมาทางเขา

กลึกๆ

มีศีรษะกลิ้งมาทางพวกเขา มันเน่าเละจนดูไม่ออกว่าคืออะไร ลูกตาของมันหลุดออกมาจากเบ้าพร้อมกับมีรูที่ทะลุผ่านหน้าผากดังเช่นเก่อหลง แต่ว่าปากของมันยังอ้าพะงาบๆ ราวกับต้องการจะงับอะไรบางอย่าง

“ว่านเฟิงผ่าครึ่งมันซะ!”

ลู่อวิ๋นถอยไปสองสามก้าวด้วยความตกใจ

"เจ้าค่ะ!"

หลังจากที่ได้เข้ามาในสุสาน ว่านเฟิงเองก็เติบโตขึ้น และเริ่มที่จะเด็ดขาด

นางชูกระบี่ขึ้น แสงส่องออกมาจากกระบี่และฟาดลงไปที่ศีรษะหัวนั้น สับมันกลายเป็นชิ้นๆ

“กล้าดียังไงมาเลียนแบบข้า! กล้าดียังไง!”

ขณะที่สับ ว่านเฟิงก็พึมพำเสียงต่ำ

……

ลึกลงไปในสุสานเซียน ห้องฝังศพหลัก

โลงศพขนาดใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศ ข้างใต้นั้น มีเปลวเพลิงสีเขียวส่องแสงอย่างแผ่วเบา

เปลวไฟนี้ดูงดงามและว่องไว ราวกับมีวิญญาณอยู่ในนั้น มันแตกต่างจากเปลวไฟสีเขียวที่ลู่อวิ๋นและว่านเฟิงเคยเห็นมาก

รอบๆ โลงศพ มีคนในชุดดำแปดคนยืนอยู่ในทิศทั้งแปด พวกเขายกมือขึ้น ราวกับกำลังบูชาอะไรบางอย่าง

ทันใดนั้นสีหน้าของหนึ่งในคนในชุดดำก็เปลี่ยนไป

“หุ่นเชิดศพของข้าตายแล้ว มีคนเข้ามาในสุสานนี้”

เสียงแหบแห้งแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้พูดมาเป็นเวลานาน

“มาได้พอดี”

คนในชุดดำอีกคนกล่าว “เราใช้พวกมันเป็นเครื่องสังเวยได้ เราต้องเปิดโลงศพของยู่หยิงให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้และเอา”ภาพทิวทัศน์การปรุงยา“ออกมาให้ได้ นิกายของเราวางแผนมาหลายพันปีเพื่อสิ่งๆ นี้ จะมีอะไรผิดพลาดไปไม่ได้!”

“น่าแค้นใจนักที่เจ้าเทียนหยาซือฝังร่างของยู่หยิงไปพร้อมกับภาพทิวทัศน์การปรุงยาไว้ในสุสานนี้! เจ้านั่นทำให้พวกเราต้องเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์”

……

“มันจะไม่ฟื้นกลับมาอีกใช่ไหม?”

ว่านเฟิงมองดูเศษชิ้นเนื้อบนพื้น นางเบะปากด้วยความขยะแขยง ก่อนที่เปลวเพลิงจากนิ้วของนางจะเผาให้มันกลายเป็นขี้เถ้า

เห็นได้ชัดว่าการที่เก่อหลงฟื้นคืนชีพมานั้นยังฝังใจนาง

“ไม่แล้วล่ะ”

ลู่อวิ๋นส่ายหน้าเมื่อเห็นดังนั้น “แต่ว่านี่มันอะไรกัน? มันบิดเบือนประสาทสัมผัสของข้าแล้วก็พยายามจะกินข้า”

“แต่มันถูกฆ่าได้แสดงว่าไม่น่าจะใช่ผีร้าย มันต้องเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาด ไม่ก็ผีดิบ”

ลู่อวิ๋นถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก

“ห้องนี้น่าจะเป็นโถงส่วนหน้า หากข้าเดาถูก ห้องฝังศพหลักน่าจะอยู่หลังห้องนี้”

“ว่านเฟิง ทำไฟให้ใหญ่กว่านี้ ทำให้มันสว่างขึ้น”

ลู่อวิ๋นกล่าว

"เจ้าค่ะ"

ว่านเฟิงกางนิ้วออก

ฟู่ว!

เปลวเพลิงเล็กๆ เมื่อก่อนหน้าลุกโชนขึ้นกลายเป็นขนาดเท่าศีรษะคน ส่องสว่างพื้นที่โดยรอบ

“เป็นห้องนอนผู้หญิงจริงๆ!”

ลู่อวิ๋นมองไปมา

แม้ว่าจะผ่านไปนานหลายพันปี แต่ว่ามันกลับสะอาดสะอ้านไม่มีแม้แต่รอยฝุ่น ผังห้องนั้นเรียบหรูและงดงาม เห็นได้ชัดว่าเจ้าของห้องนี้เป็นผู้หญิงที่จิตใจงดงาม

แต่ว่าห้องนี้มีสี่ประตู แยกออกไปทั้งสี่ทิศ

“ผังอีกแล้ว!”

ภาพที่อยู่ตรงหน้านั้นทำให้ลู่อวิ๋นต้องครุ่นคิด

“นี่เป็นผังของสี่รูป… พวกเราพึ่งจะมาจากทางทิศใต้ ซึ่งมีไฟเป็นใหญ่ แสดงว่านี่คือต้นเหตุของไฟสีเขียวพวกนั้น แล้วที่ผีดิบพันปีทำลายผนังได้ก็เพราะไฟ”

“ตะวันตกทองเป็นใหญ่ และมันจะเป็นทิศแห่งความตายหากเข้าไป เหนือน้ำเป็นใหญ่ ดังนั้นน่าจะมีบึงอยู่ด้านหลังนั่น”

“แสดงว่าห้องฝังศพหลักควรต้องอยู่ทางทิศตะวันออก!”

หลังจากที่คิดคำนวณ ลู่อวิ๋นก็มองไปทางประตูทิศตะวันออกและเดินตรงไปหา

“นายน้อย รอข้าด้วย!”

ว่านเฟิงรีบตามไป

เมื่อลู่อวิ๋นเดินไปถึงประตู เขาก็ดันมันเบาๆ มีประกายแสงวูบขึ้นก่อนที่ร่างของลู่อวิ๋นจะหายไป

“นายน้อย?!”

ว่านเฟิงตกใจ และแม้ว่านางจะผลักประตูอย่างเต็มแรง แต่ประตูก็ไม่ขยับเขยื้อน

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด