ตอนที่ 447-3 ไม่มีชื่อตอน
ทันใดนั้นถังเทียนปลดปล่อยวิชากระบี่บางอย่างทำให้เขารู้สึกสงสัย แต่นั่นคือความลับของถังเทียนและเขาไม่มีเจตนาจะถาม แต่เพราะถังเทียนกล้าใช้วิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณ มันทำให้เขาสั่นสะท้านถึงขั้วหัวใจ
แค่เพียงสองจุดนี้ แต่เขาก็กล้าหาญอย่างแท้จริง!
แม้แต่เยี่ยนหย่งเลี่ยที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้กล้าในอดีตที่ผ่านมา แต่เขาคงไม่กล้าใช้วิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณเป็นแน่
ร้ายกาจมาก!
นี่เป็นครั้งแรกที่เหลียงฟงรู้สึกนับถือมาก ก่อนนั้นเขาต้องการอาศัยถังเทียนเพราะสถานการณ์จำเป็นต้องรอบคอบมากขึ้น แต่ในช่วงเวลานั้นเขามีความนับถือต่อถังเทียนด้วยความรู้สึกที่นักสู้จะพึงมีต่อกัน
ด้วยความกล้าหาญและความสามารถเต็มกำลังเขาย่อมมีโอกาสอย่างไม่จำกัดแน่! อนาคตของกลุ่มดาวหมีใหญ่สดใสมากจริงๆ
เหลียงฟงมั่นใจในอนาคตทันที
มันคือวิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณแท้จริง....
ถังเทียน (อีกคนหนึ่ง) เจ็บปวดมาก เขากำลังขมวดคิ้วรู้สึกว่าสติของเขาเลือนรางอย่างรวดเร็ว เขารู้ว่า เขากำลังจะจมลงสู่ห้วงนิทรา
ปากของเขายิ้มทันที
เจ้าโง่เอ๊ย, เจ้าจงสนุกกับมันเสียเถอะ...
ถังเทียน (คนเดิม) ค่อยๆ ฟื้นสติกลับคืนมาความเจ็บปวดเกินจะพรรณนาพรั่งพรูออกมาจากเพลิงจิตวิญญาณส่งผ่านไปทั่วทุกอณูของร่างกาย
“อ๊า อ๊า อ๊า อ๊า.....”
เสียงร้องโหยหวนสะท้านใจดังก้องกระจายไปทั่วไข่หมี
*******************
เมืองพญาหมีใหม่รุ่งเรืองเฟื่องฟูมากขึ้นเมื่อผ่านไปในแต่ละวัน ตำแหน่งของเมืองอยู่ห่างจากไข่หมีไปห้าสิบลี้กฎและคำสั่งในเมืองพญาหมีนั้นดี ประชาชนในเมืองทั้งหมดเป็นชาวเมืองพญาหมีทั้งหมด
เพื่อควบคุมกระบวนการนี้หลงโส่วจิงพานักสู้ระดับทองสองสามคนไปคุกคามพวกตระกูลที่ไม่ซื่อดึงหัวหน้าตระกูลออกมาโดยตรง ทำให้พวกที่เหลือได้แต่เงียบด้วยความกลัว
หลงโส่วจิงเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินงานในเมืองพญาหมีตามมาด้วยการอัดฉีดจากสมาคมหอการค้านางฟ้า พญาหมีเมืองใหม่จึงเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและการค้าการตลาดเริ่มคึกคักขึ้นเรื่อยๆ
นักสู้ที่เหลืออยู่ทุกคนเป็นนักสู้ที่ฝึกทำงานและวิธีการใช้งานพวกเขา ทางหอการค้านางฟ้ามีประสบการณ์มากมาย
แต่เร็วๆนี้มีหัวข้อที่พูดถึงกันมากที่สุดก็คือเรื่องราวของพญาหมี
แน่นอนว่านักสู้ของกลุ่มดาวหมีใหญ่จำนวนมากไม่ยินดีกับการใช้ชื่อนั้นตามมาด้วยข่าวลือแพร่กระจายและเรื่องความระห่ำของถังเทียน พวกเขาเรียกถังเทียนว่า“พญาหมีงี่เง่า”
มีพวกว่างงานสองสามคนนั่งดื่มชาสนทนากันในร้านน้ำชา
“หึหึ,กี่วันเข้าไปแล้วนั่น?” ชายชราซดน้ำชาในจอกและถามโดยไม่เงยหน้า เสียงร้องโหยหวนทุกข์ทรมานจากสถาบันไข่หมีสามารถได้ยินกันได้เรื่องที่เจ้ากลุ่มดาวจอมงี่เง่าใช้วิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณแพร่กระจายไปทั่วเมืองศีรษะพญาหมีกลายเป็นหัวข้อสนทนายอดนิยมในโรงร้านน้ำชา
“วันที่หกแล้ว” ชายชราอีกคนกล่าว
“แม้ว่าเจ้ากลุ่มดาวจอมงี่เง่าจะโง่ก็ตาม แต่ด้วยความสามารถขนาดนั้นเขาก็ยังนับได้ว่าแข็งแกร่งมาก วิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณครั้งล่าสุดกี่ปีมาแล้วนะที่มีคนใช้?”
“เป็นเวลาหลายปีมาก แต่เราต้องรอและดู ถ้าสามารถอดทนผ่านไปได้ นั่นนับว่าเป็นลูกผู้ชายตัวจริง!”
“ใช่แล้วต้องคอยดูกันต่อไป ถ้าเขาสามารถอดทนผ่านไปได้ บัลลังก์พญาหมี เขาก็สามารถรับเอาไว้ได้อย่างแน่นอน”
“เฒ่าเหมียว! เจ้าหมายความว่ายังไง? เป็นไปได้หรือนี่ เจ้าลืมเจ้ากลุ่มดาวท่านหย่งเลี่ยได้เร็วขนาดนี้เชียวหรือ?”
“ผู้แซ่เหอ อย่ามาขึ้นเสียงแบบนั้นกับข้า ใครก็ตามที่รับตำแหน่งพญาหมี สำหรับตาเฒ่าผู้นี้แล้ว ก็เป็นแบบนั้นแหละ ข้าไม่มีความสามารถอะไรมาก แต่ข้าเชื่อมั่นในลูกผู้ชายตัวจริง! ถ้าเจ้าปกครองผู้โง่เขลาผู้นั้นสามารถผ่านเรื่องนี้ไปได้ ท่านเจ้าหย่งเลี่ยก็แพ้เขาอย่างมิอาจโต้เถียงได้! เขาแพ้วีรบุรุษตัวจริงแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”
คนที่อยู่รอบๆ เขาผงกศีรษะ “ใช่ ใช่แล้ว!”
……
ในห้องส่วนบุคคลชั้นบนมีนักสู้แต่งตัวธรรมดาสามคนอยู่ด้วยกัน ได้ยินคนข้างล่างคุยกันอย่างชัดเจน
บุรุษสอง สตรีหนึ่ง นักสู้ทั้งสามคนนั่นหันหน้าเข้าหากัน
“วิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณเจ้าถังเทียนนั่นหาเรื่องตายแท้ๆ” บุรุษคิ้วหยาบศีรษะล้านกล่าว เขามีท่าทีซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา “อาจเป็นไปได้ว่าเขารู้ว่าเราจะลงมือ? และใช้วิธีนี้ป้องกันตัวเองกระมัง?”
“เป็นไปไม่ได้”สตรีชุดขาวรูปร่างงดงาม แต่สีหน้าของนางเย็นชา “เราไม่อาจดูแคลนเขาได้ เขาคือพญาหมีคนใหม่ ถ้าเขาได้รับข้อมูลนี้ ทำไมเขาถึงยังไม่ลงมือ? นอกจากนี้เขายังมีเหลียงฟง”
“ใช่แล้ว”บัณฑิตวัยกลางคนนั่งอยู่ตรงข้ามกับสตรีชุดขาวกล่าว“นั่นหมายความว่าเขาใช้วิชานั้นด้วยตัวเอง วิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณ กี่ปีมาแล้วนะ ที่ข้าได้ยินว่ามีคนใช้กัน? บุคลิกที่ดุดันอย่างนั้นถ้าเราไม่กำจัดเขาในตอนนี้ เราจะต้องมีศัตรูใหญ่ในอนาคตแน่”
“เราจะทำแบบนั้นได้ยังไง?” บุรุษศีรษะโล้นแค่นเสียง “พลังดวงดาวทั่วทั้งกลุ่มดาวหมีใหญ่มาบรรจบรวมที่ตัวเขาและโคจรอยู่รอบๆตัวเขา และรังสีกระบี่มีอยู่กี่ชั้น? เจ้าเป็นมือกระบี่ เจ้าบอกข้ามา”
บัณฑิตวัยกลางคนมีท่าทีจนใจ “รังสีกระบี่รอบตัวเขาอย่างน้อยหนาหกสิบเมตร”
บุรุษศีรษะโล้นโบกมือ “ระยะขนาดนั้น เราไม่ควรเข้าไปยุ่ง นอกจากนี้สนามพลังวิญญาณของข้าไม่สามารถต้านทานมันได้แน่”
สตรีชุดขาวมีสีหน้าประหลาดใจ “หนาหกสิบเมตรวิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณหนามากขนาดนั้นได้ยังไง? ถ้าข้าจำได้ไม่ผิดวังวนกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างน้อยก็หนาเพียงสิบห้าเมตร”
“ไม่” บัณฑิตวัยกลางคนส่ายศีรษะ “แค่เพียงยี่สิบเอ็ดเมตรเมื่อเจ็ดร้อยปีที่แล้ว คนที่ใช้คือเซียนกระบี่คลั่งหลินเจ้ากวง”
ทั้งสามคนนิ่งอึ้งไปสักพัก ทุกคนรู้สึกไม่สบายใจ
หลังจากนั้นชั่วครู่บัณฑิตวัยกลางคนฝืนหัวเราะ “ดูเหมือนเราคงได้แต่หวังว่าเขาคงถูกบดจนพังทลายไป”
บุรุษศีรษะล้านแค่นเสียง “อย่าฝันไปเลย ข้ายังได้ยินเสียงร้อยโหยหวนจากระยะยี่สิบลี้อยู่เลย”
ทั้งสามคนเงียบอีกครั้ง พวกเขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
ณ สถาบันไข่หมี
“อ๊าาาาาา....”
เสียงกรีดร้องโหยหวนของถังเทียนดังก้องไปทั่วสถาบันไข่หมี
นักสู้ชาวหมาป่าทุกคนนั่งฝึกอยู่เชือกขึงอย่างสุดความสามารถของพวกเขา หลิวจงกวงคอยตะโกนปลุกใจเป็นระยะๆ
“ฟังสิ ฟังให้ดี เสียงร้องโหยหวนนั่นต้องใช้ความกล้าหาญมากเพียงไหน! พวกเจ้าทุกคนจงตั้งใจให้ดีราชาหมาป่าของพวกเจ้ากำลังแสดงความกล้าหาญ พวกเจ้ามีเหตุผลพอจะเกียจคร้านอยู่อีกหรือ?”
“วิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณ เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าคือวิธีขัดเกลาวิญญาณที่โหดร้ายอำมหิตที่สุดราชาหมาป่าของพวกเจ้ายอมรับเอาความเจ็บปวดเช่นนั้นไว้ ความเจ็บปวดเช่นนั้นรุนแรงยิ่งกว่าที่พวกเจ้าเจอมากมายนัก! ของพวกเจ้าทุกคนก็แค่เจ็บๆ คันๆ!ผิดแล้ว! ไม่สามารถเอามาเทียบกับอาการเจ็บๆ คันๆ ได้! จงรู้สึกละอาย, จงรู้สึกละอายบ้าง จงให้เลือดลมเจ้าพลุกพล่านแล้วฝึกต่อไปมีแต่ฝึกอย่างสุดกำลังของพวกเจ้าเท่านั้น ฝึกอย่างเป็นบ้าเป็นหลังฝึกอย่างต่อเนื่องแล้วพวกเจ้าทุกคนจึงจะมีสิทธิ์ขึ้นไปอยู่กับราชาหมาป่าของพวกเจ้า!”
หลิวจงกวงดูเหมือนเปลี่ยนไปเป็นมนุษย์หมาป่าแล้ว เขาเดี๋ยวกระโดดขึ้น เดี๋ยวกระโดดลงคอยดูแลตรวจสอบและตะโกนอย่างต่อเนื่อง
อาเดรียนยืนอยู่ที่ทางเข้าด้านหนึ่งมองดูกลุ่มนักสู้ชาวหมาป่ามากมาย เขาถามโดยไม่หันหน้ามามอง “พลังดวงดาวหนาแน่นเท่าใด?”
อาซิ่วมองดูตัวเลขและตอบอย่างใจเย็น “เกือบร้อยละสี่สิบแล้วในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นสูงมาก ดูเหมือนวิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณจะมีผลต่อการเพิ่มขึ้นของพลังดวงดาว”
“เป็นเรื่องปกติ” อาเดรียนผงกศีรษะ เขามีประสบการณ์และสามารถบอกได้ด้วยชำเลืองมองทีเดียว “ก่อนนี้การรวบรวมพลังดวงดาวทำโดยกระดูกหมีเดียวดาย แต่แรงดึงดูดไม่แข็งแกร่ง กระแสหมุนวนจากวังวนกระบี่ทำให้การบรรจบรวมชัดเจนยิ่งขึ้น พลังดวงดาวทั้งหมดรวมกันอยู่ที่นี่ ดังนั้นพลังดวงดาวด้านนอกจะลดลงแน่นอน”
อาซิ่วประหลาดใจ “นั่นก็หมายความว่า นี่เป็นการเพิ่มระดับขึ้นชั่วคราวใช่ไหม?”
“ถูกแล้ว ดังนั้นจึงทำให้จงกวงกังวลมากขึ้นทันทีที่เวลาช่วงนี้ผ่านไปแล้ว ก็คงยากจะได้เจอกับเหตุการณ์นี้อีกในอนาคต”อาเดรียนแนะนำ
อาเดรียนเหลือบมองนักสู้ชาวหมาป่าที่อยู่รอบๆและพูดทันที “ไม่จำเป็นพวกเขาทุกคนทุ่มเททุกอย่างที่พวกเขามีอยู่แล้ว ความจริง แม้ว่าพรสวรรค์ของนักสู้ชาวหมาป่าถือว่าอยู่ในระดับทั่วไป แต่พวกเขาขยันขันแข็งกันมากข้าเดินทางไปมาหลายกลุ่มดาวแล้ว แต่ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน”
อาซิ่วก็มีสีหน้าชื่นชมนักสู้ชาวหมาป่าทุกคนพยายามอย่างหนักและมีความอดทนต่อความยากลำบาก
ทุกคนมีพื้นที่การฝึกคนละนิดเดียวสภาพแวดล้อมที่ฝึกฝนอย่างยากลำบากเช่นนั้น ถ้าพวกเขาอยู่ในที่อื่น นักเรียนจะพร่ำบ่นร้องขอห้องฝึกเงียบๆขอจ่ายเงินเพิ่มเพื่อให้ได้เงื่อนไขการฝึกฝนที่ดีกว่า แต่นักสู้ชาวหมาป่าไม่มีใครหงุดหงิด ทุกคนนั่งอยู่บนเชือกได้ทั้งวัน ถ้าพวกเขาหิว พวกเขาจะกินอาหารแห้งถ้าพวกเขากระหาย พวกเขาจะดื่มน้ำจากกระติกน้ำ
ไม่มีการหยุดพักหรือนอนหลับอาซิ่วเคยเห็นตารางการฝึกฝนที่บ้าคลั่งอย่างนั้นมาก่อนทุกสถาบันจะมีคนอยู่ไม่กี่คนที่มีการฝึกฝนที่บ้าคลั่งอย่างนั้นซึ่งดูแล้วไม่น่าแปลกใจ
แต่เพราะคนล้านคนทำอย่างนั้น ฉากภาพดังกล่าวจึงมีผลกระทบตามมาอย่างไม่มีใดเทียบ
เป็นกลุ่มคนที่น่ากลัวอย่างแท้จริง
พวกเขาเงียบกันทุกคน นอกจากฝึกกันเงียบๆ คุยกันน้อยมากแต่ทุกครั้งที่พวกเขาลืมตา พวกเขามักมีความกระตือรือร้นอยากจะฝึก อาซิ่วมักจะรู้สึกถึงแรงกดดันไร้รูป
แรงกดดันที่ไร้ลักษณ์นี้ทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้าน
การฝึกที่บ้าคลั่งนั้น แม้แต่ผู้มีพรสวรรค์ธรรมดาที่สุดก็สามารถเก็บพลังไว้ได้ และเมื่อคนล้านคนฝึกฝนด้วยกัน นั่นจะน่ากลัวเพียงไหน
และพวกเขายังมีอีกคนหนึ่ง เป็นผู้นำที่น่ากลัวยิ่งกว่า...
สายตาของอาซิ่วมองไปที่ใจกลางร่างที่มีรังสีกระบี่ครอบคลุมเป็นชั้นๆ
เสียงร้องโหยหวนทรมานยังดังไม่หยุดหย่อน แต่หน้าอาซิ่วไม่มีแววเย้ยหยันมีแต่ความเคารพ ในที่สุดเขาก็เชื่อว่าการพ่ายแพ้บุรุษผู้นั้นไม่ใช่เรื่องน่าอายแม้แต่น้อย
“อาจารย์, สิ่งนั้นจะคงอยู่อีกนานเท่าใด?” อาซิ่วอดถามไม่ได้
“ยากจะบอก” สายตาอาเดรียนยังคงมองดูถังเทียน “แต่อย่างสั้นที่สุด ก็คงเดือนหนึ่ง”
หนึ่งเดือน....
ดวงตาอาซิ่วเบิกกว้าง ความทรมานอย่างนั้น สามารถทนได้นานหนึ่งเดือน เขาเองจะสามารถทนได้ได้ไหม...
อาเดรียนเหลือบมองดูถังเทียน จากนั้นรั้งสายตากลับ “เรามาฝึกของเรากันเถอะ พลังดวงดาวที่หนาแน่นถึง 40%นั่นเทียบได้ระดับเดียวกับกลุ่มดาวระนาบสุริยคลาสแล้ว ในเดือนหนึ่งถ้าเราไม่ได้ผลการฝึกที่ดี นั่นนับเป็นเรื่องน่าขายหน้า”
อาซิ่วสะดุ้ง แต่ก็พยักหน้าเช่นกัน “อาจารย์สั่งสอนถูก”
การสอนนักเรียนไม่ใช่เรื่องง่าย ต่างคนต่างมีความเชี่ยวชาญและเติบโตต่างกัน และอาจารย์ที่ดีจะสามารถสอนในแนวทางที่สอดคล้องเข้ากันได้กับนักเรียนทุกคน
อาเดรียนมีประสบการณ์มากมาย แต่เมื่อเขารู้ว่า เขาต้องดูแลคนถึงล้านคนสิ่งแรกที่เขาทำก็คือเลือกอาจารย์ของนักสู้ชาวหมาป่า
เป็นเรื่องที่สะดวกมาก เขาเพียงแต่ต้องเลือกผู้อาวุโสที่น่าเชื่อถือ
โดยพื้นฐานเขาไม่ต้องกังวลเรื่องว่าพวกเขาจะไม่เชื่อฟังคำสั่ง นักสู้หมาป่าทุกคนเชื่อฟังเป็นอย่างดีจนดูเหมือนกับเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่ว่าต้องการจะให้พวกเขาทำอะไร พวกเขาจะทำโดยไม่อิดออดหรือถามหาเหตุผล
ถ้าเป็นวันเวลาทั่วไปของเขา อาเดรียนคงไม่ชอบนักเรียนแบบนั้น แต่เมื่อพบกับนักเรียนถึงล้านคนในช่วงเวลาสั้นๆ แบบนั้นเขากลับสบายใจ
เขาเตรียมการทดสอบง่ายๆและจากนั้นแบ่งนักสู้ชาวหมาป่าออกเป็นสองสามประเภทใหญ่ๆและจากนั้นกำหนดหลักสูตรฝึกฝนที่แตกต่างกันไป
นอกจากนักสู้หมาป่าแล้ว เขาไม่มั่นใจว่าจะมีนักสู้แข็งแกร่งหรือเซียนนักสู้ปรากฏตัวมากเท่าใด
แต่เขามีความเชื่อมั่นอย่างเพียงพอว่าจะสามารถยกมาตรฐานพวกเขาได้ถึงสองระดับ เขาไม่ได้หยิ่งหรือย่ามใจแม้แต่น้อย ขอเพียงคนได้ศึกษาหรือมีประสบการณ์ก็สามารถทำได้ ชาวหมาป่ามีความอดทนและขยันหมั่นเพียรอย่างแท้จริง ดังนั้นสิ่งที่เขาทำได้ก็คือช่วยย่นระยะเวลาฝึกฝน
ยกให้ได้สองระดับ...
อาเดรียนรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ราวกับว่าเขากำลังเฝ้าดูคลื่นชาวหมาป่ากลืนกินสวรรค์วิถี