ตอนที่แล้วตอนที่ 447-2 ไม่มีชื่อตอน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 448 ความคาดหวังของหลงโส่วจิง

ตอนที่ 447-3 ไม่มีชื่อตอน


ทันใดนั้นถังเทียนปลดปล่อยวิชากระบี่บางอย่างทำให้เขารู้สึกสงสัย  แต่นั่นคือความลับของถังเทียนและเขาไม่มีเจตนาจะถาม แต่เพราะถังเทียนกล้าใช้วิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณ มันทำให้เขาสั่นสะท้านถึงขั้วหัวใจ

แค่เพียงสองจุดนี้ แต่เขาก็กล้าหาญอย่างแท้จริง!

แม้แต่เยี่ยนหย่งเลี่ยที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้กล้าในอดีตที่ผ่านมา แต่เขาคงไม่กล้าใช้วิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณเป็นแน่

ร้ายกาจมาก!

นี่เป็นครั้งแรกที่เหลียงฟงรู้สึกนับถือมาก  ก่อนนั้นเขาต้องการอาศัยถังเทียนเพราะสถานการณ์จำเป็นต้องรอบคอบมากขึ้น แต่ในช่วงเวลานั้นเขามีความนับถือต่อถังเทียนด้วยความรู้สึกที่นักสู้จะพึงมีต่อกัน

ด้วยความกล้าหาญและความสามารถเต็มกำลังเขาย่อมมีโอกาสอย่างไม่จำกัดแน่!  อนาคตของกลุ่มดาวหมีใหญ่สดใสมากจริงๆ

เหลียงฟงมั่นใจในอนาคตทันที

มันคือวิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณแท้จริง....

ถังเทียน (อีกคนหนึ่ง) เจ็บปวดมาก เขากำลังขมวดคิ้วรู้สึกว่าสติของเขาเลือนรางอย่างรวดเร็ว เขารู้ว่า เขากำลังจะจมลงสู่ห้วงนิทรา

ปากของเขายิ้มทันที

เจ้าโง่เอ๊ย, เจ้าจงสนุกกับมันเสียเถอะ...

ถังเทียน (คนเดิม) ค่อยๆ ฟื้นสติกลับคืนมาความเจ็บปวดเกินจะพรรณนาพรั่งพรูออกมาจากเพลิงจิตวิญญาณส่งผ่านไปทั่วทุกอณูของร่างกาย

“อ๊า อ๊า อ๊า อ๊า.....”

เสียงร้องโหยหวนสะท้านใจดังก้องกระจายไปทั่วไข่หมี

*******************

เมืองพญาหมีใหม่รุ่งเรืองเฟื่องฟูมากขึ้นเมื่อผ่านไปในแต่ละวัน  ตำแหน่งของเมืองอยู่ห่างจากไข่หมีไปห้าสิบลี้กฎและคำสั่งในเมืองพญาหมีนั้นดี ประชาชนในเมืองทั้งหมดเป็นชาวเมืองพญาหมีทั้งหมด

เพื่อควบคุมกระบวนการนี้หลงโส่วจิงพานักสู้ระดับทองสองสามคนไปคุกคามพวกตระกูลที่ไม่ซื่อดึงหัวหน้าตระกูลออกมาโดยตรง ทำให้พวกที่เหลือได้แต่เงียบด้วยความกลัว

หลงโส่วจิงเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินงานในเมืองพญาหมีตามมาด้วยการอัดฉีดจากสมาคมหอการค้านางฟ้า พญาหมีเมืองใหม่จึงเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและการค้าการตลาดเริ่มคึกคักขึ้นเรื่อยๆ

นักสู้ที่เหลืออยู่ทุกคนเป็นนักสู้ที่ฝึกทำงานและวิธีการใช้งานพวกเขา ทางหอการค้านางฟ้ามีประสบการณ์มากมาย

แต่เร็วๆนี้มีหัวข้อที่พูดถึงกันมากที่สุดก็คือเรื่องราวของพญาหมี

แน่นอนว่านักสู้ของกลุ่มดาวหมีใหญ่จำนวนมากไม่ยินดีกับการใช้ชื่อนั้นตามมาด้วยข่าวลือแพร่กระจายและเรื่องความระห่ำของถังเทียน พวกเขาเรียกถังเทียนว่า“พญาหมีงี่เง่า”

มีพวกว่างงานสองสามคนนั่งดื่มชาสนทนากันในร้านน้ำชา

“หึหึ,กี่วันเข้าไปแล้วนั่น?” ชายชราซดน้ำชาในจอกและถามโดยไม่เงยหน้า เสียงร้องโหยหวนทุกข์ทรมานจากสถาบันไข่หมีสามารถได้ยินกันได้เรื่องที่เจ้ากลุ่มดาวจอมงี่เง่าใช้วิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณแพร่กระจายไปทั่วเมืองศีรษะพญาหมีกลายเป็นหัวข้อสนทนายอดนิยมในโรงร้านน้ำชา

“วันที่หกแล้ว” ชายชราอีกคนกล่าว

“แม้ว่าเจ้ากลุ่มดาวจอมงี่เง่าจะโง่ก็ตาม  แต่ด้วยความสามารถขนาดนั้นเขาก็ยังนับได้ว่าแข็งแกร่งมาก วิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณครั้งล่าสุดกี่ปีมาแล้วนะที่มีคนใช้?”

“เป็นเวลาหลายปีมาก แต่เราต้องรอและดู ถ้าสามารถอดทนผ่านไปได้ นั่นนับว่าเป็นลูกผู้ชายตัวจริง!”

“ใช่แล้วต้องคอยดูกันต่อไป ถ้าเขาสามารถอดทนผ่านไปได้ บัลลังก์พญาหมี เขาก็สามารถรับเอาไว้ได้อย่างแน่นอน”

“เฒ่าเหมียว! เจ้าหมายความว่ายังไง? เป็นไปได้หรือนี่ เจ้าลืมเจ้ากลุ่มดาวท่านหย่งเลี่ยได้เร็วขนาดนี้เชียวหรือ?”

“ผู้แซ่เหอ  อย่ามาขึ้นเสียงแบบนั้นกับข้า  ใครก็ตามที่รับตำแหน่งพญาหมี  สำหรับตาเฒ่าผู้นี้แล้ว ก็เป็นแบบนั้นแหละ  ข้าไม่มีความสามารถอะไรมาก  แต่ข้าเชื่อมั่นในลูกผู้ชายตัวจริง!  ถ้าเจ้าปกครองผู้โง่เขลาผู้นั้นสามารถผ่านเรื่องนี้ไปได้  ท่านเจ้าหย่งเลี่ยก็แพ้เขาอย่างมิอาจโต้เถียงได้! เขาแพ้วีรบุรุษตัวจริงแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”

คนที่อยู่รอบๆ เขาผงกศีรษะ “ใช่ ใช่แล้ว!”

……

ในห้องส่วนบุคคลชั้นบนมีนักสู้แต่งตัวธรรมดาสามคนอยู่ด้วยกัน ได้ยินคนข้างล่างคุยกันอย่างชัดเจน

บุรุษสอง สตรีหนึ่ง นักสู้ทั้งสามคนนั่นหันหน้าเข้าหากัน

“วิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณเจ้าถังเทียนนั่นหาเรื่องตายแท้ๆ”  บุรุษคิ้วหยาบศีรษะล้านกล่าว  เขามีท่าทีซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา  “อาจเป็นไปได้ว่าเขารู้ว่าเราจะลงมือ? และใช้วิธีนี้ป้องกันตัวเองกระมัง?”

“เป็นไปไม่ได้”สตรีชุดขาวรูปร่างงดงาม แต่สีหน้าของนางเย็นชา “เราไม่อาจดูแคลนเขาได้ เขาคือพญาหมีคนใหม่ ถ้าเขาได้รับข้อมูลนี้ ทำไมเขาถึงยังไม่ลงมือ?  นอกจากนี้เขายังมีเหลียงฟง”

“ใช่แล้ว”บัณฑิตวัยกลางคนนั่งอยู่ตรงข้ามกับสตรีชุดขาวกล่าว“นั่นหมายความว่าเขาใช้วิชานั้นด้วยตัวเอง วิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณ กี่ปีมาแล้วนะ ที่ข้าได้ยินว่ามีคนใช้กัน?  บุคลิกที่ดุดันอย่างนั้นถ้าเราไม่กำจัดเขาในตอนนี้ เราจะต้องมีศัตรูใหญ่ในอนาคตแน่”

“เราจะทำแบบนั้นได้ยังไง?” บุรุษศีรษะโล้นแค่นเสียง “พลังดวงดาวทั่วทั้งกลุ่มดาวหมีใหญ่มาบรรจบรวมที่ตัวเขาและโคจรอยู่รอบๆตัวเขา  และรังสีกระบี่มีอยู่กี่ชั้น?  เจ้าเป็นมือกระบี่  เจ้าบอกข้ามา”

บัณฑิตวัยกลางคนมีท่าทีจนใจ  “รังสีกระบี่รอบตัวเขาอย่างน้อยหนาหกสิบเมตร”

บุรุษศีรษะโล้นโบกมือ “ระยะขนาดนั้น เราไม่ควรเข้าไปยุ่ง นอกจากนี้สนามพลังวิญญาณของข้าไม่สามารถต้านทานมันได้แน่”

สตรีชุดขาวมีสีหน้าประหลาดใจ  “หนาหกสิบเมตรวิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณหนามากขนาดนั้นได้ยังไง? ถ้าข้าจำได้ไม่ผิดวังวนกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างน้อยก็หนาเพียงสิบห้าเมตร”

“ไม่” บัณฑิตวัยกลางคนส่ายศีรษะ  “แค่เพียงยี่สิบเอ็ดเมตรเมื่อเจ็ดร้อยปีที่แล้ว คนที่ใช้คือเซียนกระบี่คลั่งหลินเจ้ากวง”

ทั้งสามคนนิ่งอึ้งไปสักพัก ทุกคนรู้สึกไม่สบายใจ

หลังจากนั้นชั่วครู่บัณฑิตวัยกลางคนฝืนหัวเราะ “ดูเหมือนเราคงได้แต่หวังว่าเขาคงถูกบดจนพังทลายไป”

บุรุษศีรษะล้านแค่นเสียง “อย่าฝันไปเลย ข้ายังได้ยินเสียงร้อยโหยหวนจากระยะยี่สิบลี้อยู่เลย”

ทั้งสามคนเงียบอีกครั้ง พวกเขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไร

ณ สถาบันไข่หมี

“อ๊าาาาาา....”

เสียงกรีดร้องโหยหวนของถังเทียนดังก้องไปทั่วสถาบันไข่หมี

นักสู้ชาวหมาป่าทุกคนนั่งฝึกอยู่เชือกขึงอย่างสุดความสามารถของพวกเขา  หลิวจงกวงคอยตะโกนปลุกใจเป็นระยะๆ

“ฟังสิ ฟังให้ดี เสียงร้องโหยหวนนั่นต้องใช้ความกล้าหาญมากเพียงไหน!  พวกเจ้าทุกคนจงตั้งใจให้ดีราชาหมาป่าของพวกเจ้ากำลังแสดงความกล้าหาญ พวกเจ้ามีเหตุผลพอจะเกียจคร้านอยู่อีกหรือ?”

“วิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณ  เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าคือวิธีขัดเกลาวิญญาณที่โหดร้ายอำมหิตที่สุดราชาหมาป่าของพวกเจ้ายอมรับเอาความเจ็บปวดเช่นนั้นไว้ ความเจ็บปวดเช่นนั้นรุนแรงยิ่งกว่าที่พวกเจ้าเจอมากมายนัก!  ของพวกเจ้าทุกคนก็แค่เจ็บๆ คันๆ!ผิดแล้ว!  ไม่สามารถเอามาเทียบกับอาการเจ็บๆ คันๆ ได้!  จงรู้สึกละอาย, จงรู้สึกละอายบ้าง จงให้เลือดลมเจ้าพลุกพล่านแล้วฝึกต่อไปมีแต่ฝึกอย่างสุดกำลังของพวกเจ้าเท่านั้น ฝึกอย่างเป็นบ้าเป็นหลังฝึกอย่างต่อเนื่องแล้วพวกเจ้าทุกคนจึงจะมีสิทธิ์ขึ้นไปอยู่กับราชาหมาป่าของพวกเจ้า!”

หลิวจงกวงดูเหมือนเปลี่ยนไปเป็นมนุษย์หมาป่าแล้ว  เขาเดี๋ยวกระโดดขึ้น เดี๋ยวกระโดดลงคอยดูแลตรวจสอบและตะโกนอย่างต่อเนื่อง

อาเดรียนยืนอยู่ที่ทางเข้าด้านหนึ่งมองดูกลุ่มนักสู้ชาวหมาป่ามากมาย เขาถามโดยไม่หันหน้ามามอง “พลังดวงดาวหนาแน่นเท่าใด?”

อาซิ่วมองดูตัวเลขและตอบอย่างใจเย็น  “เกือบร้อยละสี่สิบแล้วในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นสูงมาก ดูเหมือนวิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณจะมีผลต่อการเพิ่มขึ้นของพลังดวงดาว”

“เป็นเรื่องปกติ”  อาเดรียนผงกศีรษะ เขามีประสบการณ์และสามารถบอกได้ด้วยชำเลืองมองทีเดียว “ก่อนนี้การรวบรวมพลังดวงดาวทำโดยกระดูกหมีเดียวดาย แต่แรงดึงดูดไม่แข็งแกร่ง กระแสหมุนวนจากวังวนกระบี่ทำให้การบรรจบรวมชัดเจนยิ่งขึ้น  พลังดวงดาวทั้งหมดรวมกันอยู่ที่นี่  ดังนั้นพลังดวงดาวด้านนอกจะลดลงแน่นอน”

อาซิ่วประหลาดใจ “นั่นก็หมายความว่า นี่เป็นการเพิ่มระดับขึ้นชั่วคราวใช่ไหม?”

“ถูกแล้ว ดังนั้นจึงทำให้จงกวงกังวลมากขึ้นทันทีที่เวลาช่วงนี้ผ่านไปแล้ว ก็คงยากจะได้เจอกับเหตุการณ์นี้อีกในอนาคต”อาเดรียนแนะนำ

อาเดรียนเหลือบมองนักสู้ชาวหมาป่าที่อยู่รอบๆและพูดทันที  “ไม่จำเป็นพวกเขาทุกคนทุ่มเททุกอย่างที่พวกเขามีอยู่แล้ว ความจริง แม้ว่าพรสวรรค์ของนักสู้ชาวหมาป่าถือว่าอยู่ในระดับทั่วไป  แต่พวกเขาขยันขันแข็งกันมากข้าเดินทางไปมาหลายกลุ่มดาวแล้ว แต่ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน”

อาซิ่วก็มีสีหน้าชื่นชมนักสู้ชาวหมาป่าทุกคนพยายามอย่างหนักและมีความอดทนต่อความยากลำบาก

ทุกคนมีพื้นที่การฝึกคนละนิดเดียวสภาพแวดล้อมที่ฝึกฝนอย่างยากลำบากเช่นนั้น ถ้าพวกเขาอยู่ในที่อื่น นักเรียนจะพร่ำบ่นร้องขอห้องฝึกเงียบๆขอจ่ายเงินเพิ่มเพื่อให้ได้เงื่อนไขการฝึกฝนที่ดีกว่า  แต่นักสู้ชาวหมาป่าไม่มีใครหงุดหงิด  ทุกคนนั่งอยู่บนเชือกได้ทั้งวัน  ถ้าพวกเขาหิว พวกเขาจะกินอาหารแห้งถ้าพวกเขากระหาย พวกเขาจะดื่มน้ำจากกระติกน้ำ

ไม่มีการหยุดพักหรือนอนหลับอาซิ่วเคยเห็นตารางการฝึกฝนที่บ้าคลั่งอย่างนั้นมาก่อนทุกสถาบันจะมีคนอยู่ไม่กี่คนที่มีการฝึกฝนที่บ้าคลั่งอย่างนั้นซึ่งดูแล้วไม่น่าแปลกใจ

แต่เพราะคนล้านคนทำอย่างนั้น  ฉากภาพดังกล่าวจึงมีผลกระทบตามมาอย่างไม่มีใดเทียบ

เป็นกลุ่มคนที่น่ากลัวอย่างแท้จริง

พวกเขาเงียบกันทุกคน  นอกจากฝึกกันเงียบๆ คุยกันน้อยมากแต่ทุกครั้งที่พวกเขาลืมตา พวกเขามักมีความกระตือรือร้นอยากจะฝึก  อาซิ่วมักจะรู้สึกถึงแรงกดดันไร้รูป

แรงกดดันที่ไร้ลักษณ์นี้ทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้าน

การฝึกที่บ้าคลั่งนั้น แม้แต่ผู้มีพรสวรรค์ธรรมดาที่สุดก็สามารถเก็บพลังไว้ได้ และเมื่อคนล้านคนฝึกฝนด้วยกัน นั่นจะน่ากลัวเพียงไหน

และพวกเขายังมีอีกคนหนึ่ง เป็นผู้นำที่น่ากลัวยิ่งกว่า...

สายตาของอาซิ่วมองไปที่ใจกลางร่างที่มีรังสีกระบี่ครอบคลุมเป็นชั้นๆ

เสียงร้องโหยหวนทรมานยังดังไม่หยุดหย่อน  แต่หน้าอาซิ่วไม่มีแววเย้ยหยันมีแต่ความเคารพ ในที่สุดเขาก็เชื่อว่าการพ่ายแพ้บุรุษผู้นั้นไม่ใช่เรื่องน่าอายแม้แต่น้อย

“อาจารย์, สิ่งนั้นจะคงอยู่อีกนานเท่าใด?” อาซิ่วอดถามไม่ได้

“ยากจะบอก” สายตาอาเดรียนยังคงมองดูถังเทียน “แต่อย่างสั้นที่สุด ก็คงเดือนหนึ่ง”

หนึ่งเดือน....

ดวงตาอาซิ่วเบิกกว้าง ความทรมานอย่างนั้น สามารถทนได้นานหนึ่งเดือน เขาเองจะสามารถทนได้ได้ไหม...

อาเดรียนเหลือบมองดูถังเทียน จากนั้นรั้งสายตากลับ  “เรามาฝึกของเรากันเถอะ  พลังดวงดาวที่หนาแน่นถึง 40%นั่นเทียบได้ระดับเดียวกับกลุ่มดาวระนาบสุริยคลาสแล้ว ในเดือนหนึ่งถ้าเราไม่ได้ผลการฝึกที่ดี นั่นนับเป็นเรื่องน่าขายหน้า”

อาซิ่วสะดุ้ง แต่ก็พยักหน้าเช่นกัน “อาจารย์สั่งสอนถูก”

การสอนนักเรียนไม่ใช่เรื่องง่าย ต่างคนต่างมีความเชี่ยวชาญและเติบโตต่างกัน และอาจารย์ที่ดีจะสามารถสอนในแนวทางที่สอดคล้องเข้ากันได้กับนักเรียนทุกคน

อาเดรียนมีประสบการณ์มากมาย  แต่เมื่อเขารู้ว่า เขาต้องดูแลคนถึงล้านคนสิ่งแรกที่เขาทำก็คือเลือกอาจารย์ของนักสู้ชาวหมาป่า

เป็นเรื่องที่สะดวกมาก เขาเพียงแต่ต้องเลือกผู้อาวุโสที่น่าเชื่อถือ

โดยพื้นฐานเขาไม่ต้องกังวลเรื่องว่าพวกเขาจะไม่เชื่อฟังคำสั่ง  นักสู้หมาป่าทุกคนเชื่อฟังเป็นอย่างดีจนดูเหมือนกับเป็นเรื่องไร้สาระ  ไม่ว่าต้องการจะให้พวกเขาทำอะไร  พวกเขาจะทำโดยไม่อิดออดหรือถามหาเหตุผล

ถ้าเป็นวันเวลาทั่วไปของเขา อาเดรียนคงไม่ชอบนักเรียนแบบนั้น  แต่เมื่อพบกับนักเรียนถึงล้านคนในช่วงเวลาสั้นๆ แบบนั้นเขากลับสบายใจ

เขาเตรียมการทดสอบง่ายๆและจากนั้นแบ่งนักสู้ชาวหมาป่าออกเป็นสองสามประเภทใหญ่ๆและจากนั้นกำหนดหลักสูตรฝึกฝนที่แตกต่างกันไป

นอกจากนักสู้หมาป่าแล้ว เขาไม่มั่นใจว่าจะมีนักสู้แข็งแกร่งหรือเซียนนักสู้ปรากฏตัวมากเท่าใด

แต่เขามีความเชื่อมั่นอย่างเพียงพอว่าจะสามารถยกมาตรฐานพวกเขาได้ถึงสองระดับ  เขาไม่ได้หยิ่งหรือย่ามใจแม้แต่น้อย ขอเพียงคนได้ศึกษาหรือมีประสบการณ์ก็สามารถทำได้  ชาวหมาป่ามีความอดทนและขยันหมั่นเพียรอย่างแท้จริง ดังนั้นสิ่งที่เขาทำได้ก็คือช่วยย่นระยะเวลาฝึกฝน

ยกให้ได้สองระดับ...

อาเดรียนรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก  ราวกับว่าเขากำลังเฝ้าดูคลื่นชาวหมาป่ากลืนกินสวรรค์วิถี

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด