ตอนที่แล้วบทที่ 861 อาจเป็นเธอ?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 863 ความขัดแย้งภายใน(ตอนฟรี)

บทที่ 862 การตัดสินใจของซูหยวน(ตอนฟรี)


ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้

ผ่านไปอีกปีแล้วนะคะ

ผู้แปลเปิดตอนฟรี เป็นของขวัญตอนรับวันปีใหม่

3 ตอนเล้ยยยยยย!!!!

ปล. ทยองลงนะคะ ขอหนีไปเที่ยวก่อนน แว่บ~~!!

บทที่ 862 การตัดสินใจของซูหยวน

สีหน้าของซูหยวนเปลี่ยนไปทันที ดวงตาของเธอฉายแววตื่นตระหนกและหันไปมองที่จี้เฟิงโดยไม่รู้ตัว และอดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทางขอความช่วยเหลืออย่างชัดเจนบนใบหน้าที่สวยคมได้รูปของเธอ

จู่ๆถูกถามคำถามนี้อย่างกะทันหัน ซูหยวนจึงไม่รู้ว่าจะตอบซูยาหยุนว่าอย่างไร

จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อยให้กับซูหยวน มันเป็นรอยยิ้มให้กำลังใจ

ไม่ว่าเธอจะทำผิดพลาดอะไร เธอจะต้องกล้าเผชิญหน้ากับมัน คนเราไม่สามารถหนีมันได้ตลอดไป เว้นเสียแต่ว่าหลังจากนี้จะไม่พบไม่เจอไม่ติดต่อกันอีกเลย!

แต่ในความคิดของจี้เฟิง เขาเดาว่าซูหยวนน่าจะไม่ได้ทำอะไรผิดต่อซูยาหยุนโดยตรง แต่เนื่องจากซูหลงเป็นพ่อของเธอ และเขาก็ได้ทำในสิ่งที่ซูยาหยุนไม่สามารถให้อภัยได้ ซูหลงได้ฆ่าพ่อของซูยาหยุนและฆ่าพี่สาวของเธอ ดังนั้นซูหยวนจึงรู้สึกละอายใจที่ต้องเผชิญหน้ากับซูยาหยุน และไม่อยากยอมรับตัวตนที่แท้จริงต่อหน้าเธอ

“หืม? คุณซู มีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ?” ท่าทีกระอักกระอ่วนของซูหยวนไม่สามารถหลบเลี่ยงสายตาของซูยาหยุนไปได้ เธอจึงถามทันทีด้วยรอยยิ้ม “ถ้าไม่สะดวกที่จะตอบก็ไม่เป็นไรนะคะ นอกจากนี้ฉันต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณรู้สึกอึดอัด”

“ไม่ค่ะ.. ฉัน.. ฉันแค่” ซูหยวนรู้สึกประหม่าจึงพูดติดๆขัดๆ แต่พอกำลังจะพูดก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเคาะประตู

“ก๊อกๆๆ—!”

“เชิญเข้ามา!” ซูยาหยุนพูดเสียงเรียบ จากนั้นก็ยืนขึ้นแล้วหันไปหาจี้เฟิงกับซูหยวนแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณสองคนรอฉันสักครู่นะคะ”

เมื่อพูดเสร็จเธอก็หันหลังกลับและเดินออกจากห้องรับแขก ทิ้งให้จี้เฟิงและซูหยวนอยู่กันตามลำพัง

“ฟู่~!” ซูหยวนถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก แต่ใบหน้าของเธอมีร่องรอยของความผิดหวังเล็กน้อย

จี้เฟิงมองซูหยวนแล้วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเอ็นดู เขาผายมือไปทางซูหยวนและหัวเราะเบาๆ “ดูคุณผู้หญิงคนนี้สิ คุณเป็นใครครับเนี่ย? ซูหยวนผู้เด็ดเดี่ยวกล้าพูดกล้าทำไปไหนแล้ว? ทำไมถึงได้อ้ำๆอึ้งๆขนาดนี้... มีอะไรอยากพูดก็พูดไปเถอะ แต่ถ้าเธอไม่อยากพูดจริงๆ ฉันจะพาเธอออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย เราจะกลับไปที่เจียงโจวและเราจะไม่ย่างกรายเข้ามาที่หางโจวอีก... เธอจะเลือกทางไหน?”

“บอส อย่ากดดันฉันนักเลย...” ซูหยวนพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น

จี้เฟิงส่ายหัวทันทีและพูดอย่างหนักแน่น “มันไม่ใช่การกดดัน แต่มันเป็นเส้นทางที่เธอต้องเลือกและต้องเลือกเดี๋ยวนี้!”

ซูหยวนอดไม่ได้ที่จะเงียบ เธอนิ่งอยู่แบบนั้นเป็นเวลานาน

จี้เฟิงไม่ได้เร่งเร้าเธอ เขาเพียงแค่ยิ้มและพูดว่า “ค่อยๆคิดได้เลยนะ เพียงแต่เธอต้องให้คำตอบก่อนที่ซูยาหยุนจะกลับมา จากนั้นไม่ว่าเธอจะเลือกทางไหน ฉันจะช่วยเติมเต็มความคิดของเธอเอง!”

จี้เฟิงมั่นใจว่าเขารู้จักนิสัยของซูหยวนดี เมื่อมองจากภายนอก ผู้หญิงคนนี้มีบุคลิกที่เข้มแข็งและเซ็กซี่ในเวลาเดียวกัน เป็นคนที่พูดจาโผงผางและมีกลิ่นอายของผู้หญิงจัดจ้าน แต่จี้เฟิงรู้ว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะการบีบบังคับของสังคม ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างซูหยวนต้องพเนจรอยู่ในสังคมตัวคนเดียว ดังนั้นเธอจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหาเลี้ยงชีพและเอาตัวรอด

ดังนั้นซูหยวนจึงสร้างตัวตนที่ดูแข็งแกร่งและแข็งกร้าวนี้ขึ้นมา

แต่แท้จริงแล้วหัวใจของเธอนั้นอ่อนแอมาก ไม่ต่างจากเด็กสาวคนอื่นๆ

ยกเว้นผู้หญิงที่พิเศษแตกต่างบางคน พวกเธอปรารถนาที่จะแข็งแกร่ง อยู่เหนือทุกคน นอกเหนือจากนั้นแล้วผู้หญิงส่วนใหญ่ล้วนต้องการมีไหล่ที่แข็งแรงไว้พึ่งพา และมือคู่หนึ่งที่คอยปกป้องเธอจากลมและฝน

ซูหยวนก็ไม่มีข้อยกเว้น

ดังนั้นหัวใจของเธอจึงไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่แสดงออกให้เห็นที่ภายนอก

ในกรณีนี้จี้เฟิงจึงต้องใช้วิธีกดดัน บีบบังคับให้เธอจนมุม เพื่อที่เธอจะได้ตัดสินใจได้เด็ดขาดกับทางเลือกของเธอ ไม่ว่าจะอยู่หรือไป ทางไหนก็ได้ แต่ต้องไม่มีคำว่า ‘ฉันจะพูดเรื่องนี้ในภายหลัง’ หรือ ‘ฉันขอเวลาคิดดูก่อน’ หรืออื่นๆ

เธอต้องถูกบังคับให้เลือก

เมื่อเห็นท่าทางคร่ำเครียดและจมอยู่กับความคิดของซูหยวน จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะแอบพยักหน้า ซูหยวนกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆ

จี้เฟิงไม่รบกวนเธออีกต่อไปและปล่อยให้เธอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างรอบคอบ ในขณะที่เขาเองก็ให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวภายนอกเพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่

เสียงแผ่วเบาดังมาจากข้างนอก “เจ๊ใหญ่ ผู้ถือหุ้นเหล่านั้นได้รับแจ้งแล้ว”

จี้เฟิงจำได้ทันทีว่าคนที่คุยกับซูยาหยุนคือจ้าวหยาฟ่าน ผู้จัดการใหญ่ของตงไห่กรุ๊ป

“อืม คนพวกนั้นยังให้ความร่วมมืออยู่หรือเปล่า” ซูยาหยุนถาม

“ส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เมื่อพวกเขารับทราบ พวกเขาบอกว่าจะรีบมาทันที แต่..” จ้าวหยาฟ่านลังเลเมื่อพูดมาถึงตรงนี้

“แต่อะไร?” เสียงของซูยาหยุนตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย “มีใครพูดอะไรแปลกๆอีกแล้วงั้นเหรอ?”

“เจ๊ใหญ่ เจ๊ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่ามีคนจากทางฝั่งฉีเหล่าซานที่กระด้างกระเดื่องต่อเรา แต่อย่างไรก็ตาม การที่ครั้งนี้เราจัดการซูหลงได้ ฉันเกรงว่าแม้แต่ฉีเหล่าซานก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ พวกเขาจะเอาข้ออ้างอะไรมาต่อว่าเราได้อีก?” จ้าวหยาฟ่านพูดในแง่บวก

“เฮอะ!” ซูยาหยุนแค่นเสียงอย่างเย็นชา “ตาเฒ่านั่น เขาคิดว่าตัวเองเป็นวีรบุรุษของแก๊งตงไห่จริงๆหรือ? เขาชอบพูดว่าตัวเองมีสิทธิ์เต็มที่ในแก๊งตงไห่! ... หยาฟ่าน จำไว้นะ การประชุมจะเริ่มตอนหกโมงครึ่ง และใครก็ตามที่มาหลังสองทุ่ม ให้ไล่กลับไปให้หมด!”

“ครับ!” จ้าวหยาฟ่านพยักหน้าทันที

“ไปเถอะ ฉันยังมีแขกอยู่!” น้ำเสียงของซูยาหยุนผ่อนคลายลงเล็กน้อย

.....

จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนว่าแก๊งตงไห่จะไม่ได้มั่นคงดั่งหินผาอย่างที่เห็นภายนอก ฉีเหล่าซานคือใคร? ดูเหมือนว่าเขาจะมีปัญหาขัดแย้งกับซูยาหยุน ถ้าคนๆนั้นไม่ได้มีบทบาทสำคัญมากพอ ซูยาหยุนคงไม่พูดออกมาแบบนี้แน่

“บอส!”

เสียงของซูหยวนดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของจี้เฟิง

จี้เฟิงหันศีรษะทันทีและถามด้วยรอยยิ้ม “ว่าไง? คิดออกแล้วเหรอ!”

“ใช่ค่ะ!”

ใบหน้าของซูหยวนดูไม่ค่อยดีนัก เห็นได้ชัดว่าเธอได้ทำการตัดสินใจที่ยากลำบากมาก “ฉันต้องการจะออกจากที่นี่และกลับไปที่เจียงโจวหลังจากดูประธานซูจัดการกับซูหลงเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็จะไม่เหยียบย่างมาที่หางโจวอีกเลย!”

“อะไรนะ?!” จี้เฟิงตกตะลึง เขาไม่คาดคิดจริงๆว่าซูหยวนจะตัดสินใจแบบนี้ มันเกินความคาดหมายของเขาจริงๆ ตอนแรกเขาคิดว่าซูหยวนจะต้องอยากพบเจอกับซูยาหยุนในฐานะญาติแน่นอน ไม่อย่างนั้นทำไมเธอถึงเลือกมาที่ตงไห่กรุ๊ปแทนที่จะกลับไปที่วิลล่ากับโจวเฟยเฟย

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะคำนวณผิด

“ไม่... แล้วทำไมเธอ...” จี้เฟิงหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ในขณะที่เขากำลังจะพูด เขาได้ยินเสียงเปิดประตู ทำให้เขาได้แต่กลืนคำพูดที่มาถึงริมฝีปากลงท้องไปก่อน เขาส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ตอนนี้เขารู้สึกงงมากจริงๆ ทำไมซูหยวนถึงตัดสินใจที่จะทำแบบนี้ล่ะ?

“แกร่ก—!”

ทันทีที่เสียงเปิดประตูดังขึ้น ซูยาหยุนและจ้าวหยาฟ่านก็เดินเข้ามาพร้อมกัน ซูยาหยุนยิ้มและถามว่า “ว่าไงคะคุณชายจี้ ชานี้เป็นอย่างไรบ้าง?”

จี้เฟิงพยักหน้าและยิ้ม “ก็ดีครับ จริงๆแล้วฉันเป็นแค่คนบ้านนอก ไม่รู้วิธีชิมชาดีๆเท่าไหร่ แปลกสุดที่เคยชิมก็คงเป็นเครื่องดื่มจากต่างดาว  ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถบอกความแตกต่างระหว่างการดื่มชาทั่วไปกับชาต้าหงเผาได้!”

“อุ๊ปส์! ฮ่าๆ..”

ซูยาหยุนอดหัวเราะไม่ได้ และพูดด้วยรอยยิ้มหวาน “คนระดับคุณชายจี้นี่เหนือกว่าที่ฉันคิดไว้มากจริงๆ ถึงขนาดติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้ด้วย! ถ้าวันไหนว่างๆ คุณช่วยเชิญเพื่อนมนุษย์ต่างดาวมาให้ฉันรู้จักหน่อยได้มั้ยคะ?”

จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า “ได้เลย ไม่มีปัญหา!”

“คุณชายจี้ ในที่สุดผมก็ได้เห็นอารมณ์ขันของคุณแล้ว!” จ้าวหยาฟ่านก็หัวเราะเช่นกัน

“ฉันพูดจริง!” จี้เฟิงพูดอย่างจริงจัง “ฉันเคยได้ลิ้มรสเครื่องดื่มจากต่างดาวมาแล้วจริงๆ!”

ทั้งซูยาหยุนและจ้าวหยาฟ่านอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ การที่จี้เฟิงกำลังพูดจาล้อเล่นกับพวกเขา ถือว่าเป็นการแสดงความสนิทสนมในแง่ดี

แต่พวกเขาไม่รู้ว่าจี้เฟิงเคยดื่มเครื่องดื่มจากต่างดาวมาแล้วจริงๆ

ในพื้นที่ฝึกฝนของสมองหมายเลข 1 จี้เฟิงได้เรียนรู้มารยาทบนโต๊ะอาหารและแน่นอนว่าการแยกแยะเครื่องดื่มก็เป็นหนึ่งในทักษะของเขาเช่นกัน อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่จี้เฟิงจะอธิบายให้ซูยาหยุนและคนอื่นๆเข้าใจได้

“หัวหน้าซู ไม่ทราบว่าคุณวางแผนที่จะจัดการกับซูหลงยังไงเหรอครับ?” จี้เฟิงถามด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าหมาแก่ตัวนี้ทำเรื่องเลวร้ายมามากมาย ฉันอยากจะแก้แค้นเพื่อเป็นเกียรติแก่พ่อของฉัน!” เมื่อพูดถึงซูหลง ใบหน้าของซูยาหยุนก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที

ซูหยวนที่ยืนอยู่ใกล้ๆมีแววตาที่ซับซ้อน เธออ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“แต่ก่อนหน้านั้น ฉันต้องจัดการประชุมผู้ถือหุ้นของกลุ่มบริษัทก่อน ฉันอยากให้พวกเขาได้รู้ว่าเรากำลังจะฆ่าซูหลง!” ซูยาหยุนพูดอย่างดุดัน

“พูดถึงเรื่องนี้ ผมอยากจะถามพวกคุณสองคนพอดีเลยว่าคุณชายจี้และคุณซูพอจะเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้กับเราได้ไหม?” จ้าวหยาฟ่านถามขึ้น

“หืม?”

จี้เฟิงตกตะลึง แต่เพียงครู่เดียวเขาก็ยิ้มและพูดว่า “มันจะดีเหรอครับที่จะให้คนนอกอย่างเราเข้าร่วมการประชุมในกลุ่มบริษัทของคุณ?”

“ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอนครับ เพราะนี่เป็นเพียงการรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น!” จ้าวหยาฟ่านยิ้มและพูดว่า “คุณชายจี้ครับ ถ้าคุณเข้าร่วมประชุมในฐานะตัวแทนของเซิ่งฉีกรุ๊ป อะไรๆมันจะง่ายขึ้นมาก”

“ทำไมคุณถึงพูดแบบนั้นล่ะ?” จี้เฟิงรู้สึกงุนงงขึ้นมาทันที “คุณจ้าว จากที่คุณพูด มันเหมือนกับว่าการประชุมครั้งนี้อาจเกิดปัญหาบางอย่างขึ้น?”

“เรื่องนี้...” จ้าวหยาฟ่านมองไปที่ซูยาหยุนและพบว่าเธอไม่ได้แสดงออกอะไร เขาจึงพยักหน้าและพูดต่อไปว่า “มาขนาดนี้แล้วผมก็ขอพูดตามตรงเลยแล้วกันนะครับคุณชายจี้ ภายในกลุ่มตงไห่ของเรา มีบางอย่างที่... จะเรียกว่าไงดี.. บางอย่างที่ยังไม่ค่อยปรองดองกันนักน่ะครับ ดังนั้น ในกรณีที่มีคนไม่เชื่อ ผมเลยต้องการเชิญคุณชายจี้เข้าร่วมประชุมในฐานะพยานของเรา!”

“ปัญหาภายใน?”

จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้ม “ฉันเคยได้ยินมาตลอดว่าความแข็งแกร่งของแก๊งตงไห่หลักๆแล้วอยู่ที่ความปรองดองและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ฉันไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าแก๊งตงไห่ก็มีปัญหาความขัดแย้งภายในเช่นกัน”

“ฮึ่ม!” ซูยาหยุนแค่นเสียงอย่างเย็นชา “มันมีแค่บางคนเท่านั้นแหละค่ะ! เป็นตาแก่ที่มีแต่ความทะเยอทะยาน อาศัยบารมีเก่าและฝันสูงเกินจริง!”

“อ่า.. ฮะฮะ” จี้เฟิงได้แต่หัวเราะแห้งๆ เพราะมันคงไม่เหมาะสมนักที่จะถามรายละเอียดไปมากกว่านี้

“มีคนในแก๊งไม่พอใจคุณเหรอคะ?” จู่ๆซูหยวนก็ถามขึ้น

ซูยาหยุนตะคอก “ก็แค่ตัวตลกที่อยากมีบท ไม่มีค่าพอให้ใส่ใจหรอกค่ะ!”

แต่จ้าวหยาฟ่านรีบอธิบายทันที “คุณชายจี้ คุณซู อย่าเพิ่งเข้าใจเราผิดนะครับ เจ๊ใหญ่ของเราไม่ได้ใส่อารมณ์กับพวกคุณ แล้วก็ไม่ได้จะลากพวกคุณมาเกี่ยวข้องกับปัญหาของเรา มันมีใครบางคนในแก๊งคอยจ้องแต่จะขโมยเก้าอี้เจ๊ใหญ่ของเราในฐานะ...”

“หยาฟ่าน!” ซูยาหยุนขัดจังหวะเขา “ไม่จำเป็นต้องพูด เรื่องไร้สาระพวกนี้มันจะไปรบกวนคุณชายจี้และคุณซูเสียเปล่าๆ!”

จ้าวหยาฟ่านพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่ถ้าเจ๊ใหญ่ไม่อยากให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ มันจะดีกว่าถ้าเราจะอธิบายให้คุณชายจี้กับคุณซูเข้าใจอย่างชัดเจน เพราะเมื่อฉีเหล่าซานมาถึง มันอาจจะมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น”

ซูยาหยุนไม่ได้พูดอะไรอีก

“คุณชายจี้ ความจริงแล้วเรื่องมันเป็นแบบนี้...” จ้าวหยาฟ่านยิ้มอย่างเกรงใจให้กับจี้เฟิง จากนั้นก็อธิบายรายละเอียด

จากการเล่าและอธิบายอย่างคร่าวๆของจ้าวหยาฟ่าน ในที่สุดจี้เฟิงก็เข้าใจเรื่องทั้งหมด!

.....จบบทที่ 862 ~

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด