ตอนที่แล้วตอนที่ 13-22 ข่มขู่คุกคาม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 13-24 เทือกเขามรณะ

ตอนที่ 13-23 ซาดิสต์


ดินแดนน้ำแข็งขั้วโลก พิภพยูลาน ลึกลงไปในภูเขาน้ำแข็งที่สูงทะลุเสียดเมฆ  นี่คือที่อยู่ของผู้ดูแลทางเข้าพิภพ ฮ็อดเดิล

ยอดเขาน้ำแข็งนี้มีรูปวงเวทดาวหกเหลี่ยมสิบเอ็ดรูปล้อมรอบ

เนื่องจากเบรุตที่อยู่ในไพรทมิฬมองมาทางนี้  ฮ็อดเดิลกำลังนั่งอยู่ที่หน้าวงเวทวงหนึ่ง  วงเวทที่ซับซ้อนกำลังเรืองแสงยิงรัศมีขึ้นไปในท้องฟ้าทำให้ใจกลางวงมองดูเลือนรางเหมือนฝัน

หน้าของฮ็อดเดิลมีแววตื่นเต้นดีใจเช่นกัน

“จงมา”  ตาของฮ็อดเดิลเป็นประกาย จากภายในใจกลางวงเวทมีกลุ่มร่างมนุษย์ปรากฏให้เห็น  และแสงของวงเวทเริ่มจางลงช้าๆปรากฏร่างของของคนไม่กี่สิบคนภายในวงเวท รัศมีของคน 20-30 คนที่ปล่อยออกมานี้เพียงพอทำให้ผู้คนหัวใจสั่นไหว

ทั้งหมดนั้นเป็นเทพ!

ผู้นำสวมอยู่ในชุดดำฉูดฉาดตัดกับสีทองดูเหมือนสุภาพบุรุษกำลังไปงานเลี้ยง  ผู้นำนั้นเป็นคนแรกที่เห็นฮ็อดเดิลเขายิ้มให้ทันที  “ฮ็อดเดิล!  ไม่เจอกันหลายพันปีเลยนะ  เจ้ายังทำงานหนักเหมือนเดิม”

ฮ็อดเดิลคำนับด้วยความเคารพ  “ท่านซาดิสต์,ข้ารู้สึกเป็นเกียรติที่สามารถทำงานในนามตระกูลได้!”

ซาดิสต์กอดอกและค่อยลูบแหวนที่นิ้วซึ่งส่องประกายสีแดงเบา  เขาหัวเราะอย่างใจเย็นและกล่าว  “ฮ็อดเดิล เจ้าเพียงสรุปข้อมูลสั้นๆให้กับตระกูล จงอธิบายสถานการณ์ในทวีปยูลานให้ชัด”

“ขอรับ” อยู่ต่อหน้าซาดิสต์ผู้นี้ ฮ็อดเดิลทำตัวเหมือนกับเป็นคนใช้ที่ซื่อสัตย์

“ท่านซาดิสต์,เมื่อไม่นานมานี้มีปัญหาเกิดขึ้นในอุโมงค์เชื่อมระหว่างพิภพยูลานและพิภพจองจำทำให้ยอดฝีมือบางคนหนีออกมาได้  แม้ว่าลอร์ดเบรุตจะไปผนึกอุโมงค์ได้แต่ก็ยังมีเทพหลุดออกมาได้หลายราย”

“นอกจากส่วนน้อยที่ออกไปพิภพชั้นสูงและพิภพศักดิ์สิทธิ์  ส่วนใหญ่ยังรั้งอยู่ในทวีปยูลาน  ข้าเกรงว่าพวกเขามีแนวโน้มตั้งใจจะเข้าไปในสุสานเทพเจ้า!”

ซาดิสต์พยักหน้าเล็กน้อย

“ฮ็อดเดิล, มียอดฝีมือระดับเทพชั้นสูงบ้างไหม?” ซาดิสต์ถาม

“มีอยู่คนหนึ่ง!  เขาชื่อแอดกินส์  ลอร์ดแอดกินส์อาศัยอยู่ในจักรวรรดิโอเบรียนลอร์ดแอดกินส์ผู้นี้แสดงออกชัดเจนว่าต้องการเข้าสุสานเทพเจ้า”  ฮ็อดเดิลกล่าวด้วยความเคารพ

“แอ็ดกินส์?”ซาดิสต์ขมวดคิ้ว

เขาไม่สนใจเกี่ยวกับยอดฝีมืออื่น  แต่เนื่องจากแอ็ดกินส์เป็นเทพระดับสูง  ซาดิสต์ต้องระมัดระวังเขา  แม้ว่าซาดิสต์จะเคยสู้รบในพิภพนรกดินแดนจอมเทพมาหลายครั้งคราแต่ซาดิสต์รู้ว่าคนที่สามารถเอาตัวรอดได้ในพิภพจองและยังฝึกจนถึงระดับเทพชั้นสูงได้ ก็หมายความว่าแอดกินส์ไม่ใช่คนที่สมาชิกที่ทรงพลังแข็งแกร่งและสำนักต่างๆในพิภพนรกซึ่งได้รับประกายเทพชั้นสูง แต่ไม่มีประสบการณ์ใช้ประกายเหล่านั้น

บริวารคนหนึ่งของซาดิสต์พูดขึ้นทันที  “ลอร์ดซาดิสต์ ท่านไม่ต้องห่วง แอดกินส์ผู้นั้นไม่ใช่คู่ต่อกรของใต้เท้าเป็นแน่”

“หุบปากเจ้าซะ” ซาดิสต์ขมวดคิ้ว

บริวารผู้นั้นไม่กล้าส่งเสียงต่อทันที

ฮ็อดเดิลเรียนด้วยความเคารพ  “ท่านซาดิสต์เมื่อไม่นานมานี้มีเทพแท้สี่คนบริวารของแอดกินส์ได้นำกำลังไปที่ปราสาทเลือดมังกรแห่งจักรวรรดิบาลุคและมีการสู้รบกันขึ้น”

“เหรอ?” ซาดิสต์มองดูฮ็อดเดิลอย่างสงสัย

เขาไม่เข้าใจทำไม้ฮ็อดเดิลถึงพูดเทพแท้  อย่างไรก็ตามซาดิสต์เข้าใจว่าฮ็อดเดิลไม่ได้ยกเรื่องนี้ขึ้นพูดลอยๆ

“อย่างไรก็ตามกองกำลังของลอร์ดแอ็ดกินส์พ่ายแพ้อย่างหนักและถอนกำลังกลับ!”  ฮ็อดเดิลหัวเราะ  เขาสามารถบอกได้ว่าซาดิสต์นั้นสงสัยเขาจึงพูดต่อ “ปราสาทเลือดมังกรก็มีเทพแท้อยู่ด้วยเช่นกัน  และที่สำคัญยิ่งกว่า เป็นสถานที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของลอร์ดเบรุต!”

“ครั้งนี้ฝ่ายแอ็ดกินส์พ่ายแพ้เสียหายหนัก แต่แอ็ดกินส์คงไม่กล้าไปก่อความลำบากให้ลอร์ดเบรุต”  ฮ็อดเดิลกล่าว

ซาดิสต์พยักหน้าเล็กน้อย  “แอดกินส์ผู้นี้นับได้ว่าฉลาด  เนื่องจากเขาไม่ไปตอแยเบรุต เพียงแต่ตอนนี้นั่นทำให้หลายอย่างยุ่งยากสำหรับเรา   ถ้าแอดกินส์มีความผยองในตัวเองจนตอแยโทสะเบรุต คงเป็นเรื่องยอดเยี่ยมถ้าเบรุตปรับเปลี่ยนท่าทีต่อเรา  เพียงแต่ตอนนี้หลายอย่างยุ่งยาก”

“ท่านลุง! เบรุตมีความสามารถฆ่าแอดกินส์ได้หรือเปล่า?”  บุรุษหนุ่มด้านหลังซาดิสต์พูดขึ้น

ซาดิสต์รู้ว่าเบรุตแข็งแกร่งทรงพลังเพียงไหนเขาหัวเราะอย่างใจเย็นและกล่าว “พลังของเบรุตเหนือกว่าที่เจ้าคาดคิดไว้มาก  เจ้ารู้ไหมว่าเมื่อหมื่นปีที่แล้ว ระหว่างที่มีสงครามล้างโลกของทวีปยูลานแม้แต่อสูรเลือดม่วงผู้ปกครองแดนนรกและเทวทูตสิบสองปีกจากพิภพแสงก็เข้าร่วมศึกนั้นด้วย  ทั้งหมดนั้นถือได้ว่าเป็นเทพชั้นสูงที่ทรงพลังที่สุดในแดนดิน”

“อสูรเลือดม่วง?” บุรุษหนุ่มสูดหายใจลึกตกใจ

ในพิภพชั้นสูงอย่างดินแดนนรก  อสูรเลือดม่วงกลายเป็นตำนานไปแล้ว ความจริงยอดฝีมือในแดนนรกมากมายหลายคนจากแดนนรกเชื่อว่าอสูรเลือดม่วงทรงพลังพอจะรับคำขนานนามว่าเทพอสูร

เทพอสูร!

นี่คือคำขนามนามที่ได้รับความเคารพภายในดินแดนนรกเป็นอย่างมาก มีแต่เทพชั้นสูงที่ทรงพลังที่สุดจึงจะคู่ควรได้รับชื่อนี้

“ผลลัพธ์ของการสู้รบครั้งเทพชั้นสูงที่ทรงพลังทั้งหมดพลาดท่า!  ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่รอดชีวิต มีเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตจากบรรดาคนเหล่านั้นก็คือเบรุต!” ซาดิสต์ถอนหายใจอย่างมีอารมณ์ “แม้ว่าข้าจะไม่แน่ใจเกี่ยวกับรายละเอียดในการสู้รบนั้น  แต่แค่เฉพาะเรื่องนั้นเรื่องเดียวก็หมายความว่าเบรุตยังจะน่ากลัวยิ่งกว่าอสูรเลือดม่วง!  บอกข้าที,เจ้าคิดว่ามีโอกาสใดบ้างที่คนทรงพลังอย่างเขาจะไม่สามารถฆ่าแอดกินส์ผู้นี้ได้?”

คำพูดของซาดิสต์ทำให้ทุกคนที่อยู่ด้านหลังของเขาตกตะลึง

พวกเขาทั้งหมดเป็นเพียงชั้นเทียมเทพ  ในสำนัก พวกเขาไม่มีคุณสมบัติได้เรียนรู้ความลับและความจริงที่เร้นลับของจักรวาล

“จริงสิ, ฮ็อดเดิล พิภพยูลานนี้น่าจะเป็นหนึ่งในดินแดนที่สี่ตระกูลอสูรศักดิ์สิทธิ์มีสาขาอยู่ที่นี่ใช่ไหม?”  จู่ๆ ซาดิสต์ก็ถามขึ้น  “มีพวกลูกหลานทายาทของตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ในดินแดนยูลานเหลือบ้างไหม?”

“มีอยู่ แต่ว่าน้อยมาก” ฮ็อดเดิลตอบ

ซาดิสต์สีหน้าเปลี่ยน

“หืม... อย่างนั้นก็ยังมีเหลืออยู่!” หน้าของซาดิสต์เปลี่ยนเป็นดุร้าย และหน้าของเขาดูเหมือนเคลือบไว้ด้วยชั้นน้ำแข็งชั้นหนึ่ง  “อย่างไรก็ตาม มีมากเท่าใดก็ต้องฆ่าให้หมด!  อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว!”

ฮ็อดเดิลส่ายศีรษะ “ท่านซาดิสต์ ข้าเพิ่งจะพูดเรื่องปราสาทเลือดมังกร นี่คือฐานใหญ่ของสี่ตระกูลอสูรศักดิ์สิทธิ์ มีนักรบอมตะและนักรบเลือดมังกรอยู่หลายคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีชื่อว่าลินลี่ย์  เขามีสายสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับลอร์ดเบรุต”

“ลินลี่ย์?” ซาดิสต์ขมวดคิ้ว

“ลินลี่ย์คือลูกหลานของตระกูลนักรบเลือดมังกร  แต่เขามีอสูรเวทคู่หู  สิ่งที่สำคัญก็คือ อสูรเวทนั้นก็คือหนูกินเทพตามตำนาน  นอกจากลอร์ดเบรุตแล้ว  เขาเป็นเพียงหนูกินเทพเพียงตัวเดียวในดินแดนจักรวาลทั้งสิ้น! ลอร์ดเบรุตทั้งรักและหลงใหลหนูกินเทพตัวนั้น  ถ้าท่านลงมือกับลินลี่ย์ ใต้เท้า,อย่างนั้นท่านก็เป็นศัตรูกับเบรุตโดยเปิดเผย” ฮ็อดเดิลรีบกล่าว “ใต้เท้าเราต้องพิจารณาถึงภาพรวมที่นี่ก่อน”

หน้าของซาดิสต์เย็นชาและบูดบึ้ง

ฮ็อดเดิลรู้ดีว่าซาดิสต์ปรารถนาลึกๆจะฆ่าลูกหลานของตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์

“ใต้เท้า, นี่ไม่มีอะไรมากไปกว่าสาขา  ไม่มีผลกระทบต่อภาพใหญ่  ที่สำคัญที่สุดอยู่ที่สุสานเทพเจ้าต่างหาก”  ฮ็อดเดิลรีบกล่าว

แน่นอนว่าซาดิสต์รู้ว่านั่นเป็นเรื่องจริง  ซาดิสต์รู้เบื้องหลังและประวัติของเบรุตมาบ้างเท่านั้น  ถ้าเขาสร้างศัตรูอย่างเบรุต...นั่นคือสิ่งที่เขาไม่ต้องการทำ ซาดิสต์ระบายลมหายใจยาว  “อย่างนั้นตอนนี้เราจะไม่ลงมือกับคนเหล่านั้น ลินลี่ย์กลายเป็นสหายกับหนูกินเทพ นับว่าโชคดีจริงๆ”

ซาดิสต์มองฮ็อดเดิล จากนั้นกล่าว “อีกนานเท่าใดสุสานเทพเจ้าถึงจะเปิดในครั้งต่อไป?”

“อีกพันปีเต็ม” ฮ็อดเดิลตอบ

“ดี” ซาดิสต์พยักหน้า  “ฮ็อดเดิลจงอยู่ที่นี่  คนอื่นๆ มากับข้า”  ขณะที่เขากล่าวซาดิสต์เปลี่ยนเป็นร่างเลือนรางบินห่างออกไปจากภูเขาน้ำแข็ง  ยอดฝีมือด้านหลังอีกหลายสิบบินตามซาดิสต์ไปติดๆ

ซาดิสต์นำกลุ่มยอดฝีมือออกจากทะเลเหนือและเข้าสู่ทวีปยูลาน

แม้ว่าซาดิสต์จะนำกลุ่มยอดฝีมือมายังทวีปยูลาน  แต่เขาไม่ได้สร้างความยุ่งยากใดๆ ทวีปยูลานยังคงเงียบสงบเหมือนอย่างที่เคยเป็น ในความสงบเงียบแบบนั้นเวลาไหลเอื่อยไปเหมือนสายน้ำ ผ่านไปปีแล้วปีเล่า

ปราสาทเลือดมังกร

เป็นเวลายี่สิบเต็มนับแต่บาร์นาสและยอดฝีมืออื่นโจมตี  ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ร่างหลักของลินลี่ย์ยังคงฝึกชีพจรโลกอย่างต่อเนื่อง  หลังจากใช้เลาหกปีเต็ม ในที่สุดลินลี่ย์ก็ผสานพลังคลื่นชีพจรโลกแปดชั้นเป็นสี่ชั้นได้

หลังจากผ่านไปอีกสิบสองปี เขายังคงเปลี่ยนจากคลื่นสี่ชั้นไปเป็นคลื่นสองชั้นได้

แต่หลังจากนั้นลินลี่ย์ก็ไม่สามารถก้าวหน้าได้แม้แต่น้อย ต้องเข้าใจไว้ก่อนว่าเมื่อถึงระดับทุกอย่างกลายเป็นขั้นตอนเดียวความรู้แจ้งก่อนๆข้อพิสูจน์และการเห็นภาพซึ่งลินลี่ย์เคยใช้มาทั้งหมดกลับไม่ได้ผล  นี่คืออุปสรรคสุดท้าย

หรือจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือสภาวะคอขวดนั่นเอง

จากการผสานคลื่นสองชั้นให้เป็นคลื่นชั้นเดียว ผู้ฝึกสามารถบรรลุได้ในทันทีหรืออาจต้องใช้เวลาเป็นพันปีหรือหมื่นปีโดยไม่มีกระบวนการอะไร ลินลี่ย์มั่นใจในตนเองมาก และเขาไม่เร่ง แต่เขากลับผ่อนคลายและเริ่มใช้เวลากับเดเลียภรรยาของเขามากขึ้น

นอกจากความก้าวหน้าในวิชาชีพจรโลก  ลำดับความก้าวหน้าในสัจธรรมแห่งความเร็วก็นับได้ว่ามีความก้าวหน้าด้วย

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ลินลี่ย์มีสุขที่สุดไม่ใช่ความก้าวหน้าของเขา  แต่กลับเป็นความก้าวหน้าซึ่งครอบครัวและสหายของเขาทำได้

“เดเลียเป็นคนแรกที่ถึงระดับเทพและต่อมาก็เป็นบาร์เกอร์จากนั้นเป็นเดลี่ จากนั้นเป็นซาสเลอร์... แฮรุช้าที่สุด” ลินลี่ย์มองดูเด็กหนุ่มผมดำที่นั่งอยู่ข้างหน้าเขาและหัวเราะ  “แฮรุ... ยินดีด้วย”

และแล้ว แฮรุก็กลายเป็นเทพได้ในที่สุด

หลายคนในปราสาทเลือดมังกรประสบความสำเร็จกลายเป็นเทพ  นอกจากนี้เทพสงครามและมหาพรตก็ยังผสานหลอมรวมเข้ากับประกายเทพและกลายเป็นชั้นเทพแท้  พลังของทุกคนก้าวหน้า  จึงเป็นธรรมดาที่ทุกคนดีใจ

“ทุกอย่างต้องขอบคุณความเมตตาของนายท่าน”  แฮรุในร่างมนุษย์ยังคงเคารพนอบน้อมเหมือนเคย

ลินลี่ย์หัวเราะ “แฮรุ, ไม่ต้องคอยติดตามอยู่ใกล้ๆ ข้าตลอดก็ได้  ตอนนี้เจ้าสามารถไปได้ทุกที่ๆ เจ้าชอบใจ”เดเลียอยู่ใกล้ๆ พลอยหัวเราะไปด้วย  “ข้าคิดว่าแฮรุต้องการไปอวดกับสามมังกรแน่นอน  ใช่หรือเปล่า แฮรุ?”

แฮรุได้แต่หัวเราะตรงๆ

เมื่อใดก็ตามที่แฮรุคิดถึงอนาคต  เขาอดรู้สึกดีใจไม่ได้  ใครจะคิดกันว่าเขา เสือดำเมฆาอสูรเวทระดับเก้าจะกลายเป็นเทพกับเขาได้

หลังจากแฮรุออกไปแล้ว ลินลี่ย์เงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพูดกับเดเลีย  “ข้าตั้งใจจะไปจากปราสาทเลือดมังกรสักระยะ”

“หือ?” เดเลียค่อนข้างประหลาดใจ

ลินลี่ย์อธิบาย “ข้ามาถึงสภาพคอขวดในการฝึกชีพจรโลก ข้าต้องการออกไปหาประสบการณ์รอบโลกสักเล็กน้อย  บางทีด้วยวิธีนั้นข้าอาจจะบรรลุรู้แจ้งได้ง่ายขึ้น” ชีพจรโลกนี้เป็นความรู้ลึกลับระดับสูงในกฎธาตุดิน

จะบรรลุผ่านให้ได้เป็นเรื่องที่ยากจริงๆ

“อย่างนั้นข้าจะไปกับเจ้าด้วย”  เดเลียไม่ต้องการแยกจากเขา

“ฮะฮะ, ข้าไม่ได้ไปพิภพอื่น  แค่เดินทางไปทั่วพิภพยูลาน ข้ายังติดต่อสื่อสารผ่านสัมผัสเทพกับเจ้าได้ทุกเมื่อ”  ลินลี่ย์หัวเราะ  เดเลียก็หัวเราะเช่นกัน  ตอนนี้เดเลียเป็นระดับเทพเช่นกันแม้ว่าทวีปยูลานจะใหญ่โตมาก แต่สำนึกเทพของเดเลียยังเพียงพอจะหาตัวลินลี่ย์ได้

“ก็ได้” เดเลียพยักหน้าและหัวเราะ  “เจ้าตั้งใจจะออกเดินทางเมื่อไหร่?”

“พรุ่งนี้” ลินลี่ย์กล่าว

“แล้วบีบีเล่า?” เดเลียถาม

“เขาจะมากับข้าด้วย” ลินลี่ย์หัวเราะ  “ในอดีตบีบีกับข้าใช้เวลาอยู่ด้วยกันสามปีในเทือกเขาอสูรวิเศษ  นั่นเป็นที่แรกที่ทำให้ข้ารู้สึกถึงชีพจรโลก”

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ขณะที่พระอาทิตย์ขึ้น

ลินลี่ย์ไม่ได้บอกใครอื่นเกี่ยวกับการเดินทาง  มีเพียงเดเลียที่รู้  หลังจากกอดอำลาเดเลียแล้ว  ลินลี่ย์กับบีบีลอบบินออกมาจากปราสาทเลือดมังกรเริ่มต้นชีวิตพเนจรและท่องเที่ยวไปในทวีปยูลาน

“พี่ใหญ่, เราจะไปไหนกัน?” บีบีเงยหน้ารับลมและถามเขา

“ข้ายังไม่เคยสนใจไปเยี่ยมทุ่งใหญ่ตะวันออกไกลเลย  เราไปที่นั่นกันก่อน”  ลินลี่ย์พูดพลางหัวเราะ

ลินลี่ย์และบีบีกลายเป็นแสงรุ้งยาวหายลับไปในขอบฟ้าทิศตะวันออกเฉียงใต้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด