ตอนที่แล้ววันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0127
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปวันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0129

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0128


บทที่ 39 รังมด (3)

* * *

ฉันเคยพบภูตวิญญาณมาแล้วสองตน และนั่นช่วยให้ทราบว่า พวกเขาคือสิ่งมีชีวิตที่ใกล้ชิดกับสถานที่เกิด

เอ็ดเวิร์ดเกิดในมหาสมุทรทรายและกลายเป็นโจรสลัด ส่วนเซลฟีเกิดในรากภูเขาและได้รับชื่อจากภูเขา

ดินแดนแห่งจุดเริ่มต้นอันเงียบสงบ

ฉันไม่เคยลืม ชื่อของเซลฟีมีความหมายทำนองนั้น

แต่ความหมายก็ไม่ได้สำคัญอะไร สถานที่บางแห่งบนโลกก็ตั้งชื่อคล้ายกัน

ทว่า เมื่อชื่อนั้นถูกเขียนบนบานประตู เรื่องราวจะเปลี่ยนไป

“…ทำไมที่นี่ถึงมีประตู”

ชาโซฮีถามหนึ่งในสิ่งที่ฉันสงสัย

“คนโบราณคิดอะไรอยู่? หรือว่าเมื่อก่อนตรงนี้ไม่ใช่ภูเขา?”

จินซอยอนส่ายหน้าเมื่อได้ยินคำถามชาโซฮี

“คงไม่ ประตูน่าจะติดกับภูเขาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ภายหลังทางเข้าอาจถูกภูเขากลืนเข้าไป… ถ้าคิดในเชิงสามัญสำนึก คนโบราณน่าจะจงใจสร้างให้เป็นส่วนหนึ่งของภูเขา”

ฉันเห็นด้วยกับคำพูดจินซอยอน

พิจารณาจากสภาพประตูที่ถูกคลุมด้วยหิน ค่อนข้างชัดเจนว่ามีการเปลี่ยนแปลงเชิงภูมิประเทศ

บางที ภูเขาอาจขยายตัวจนกลืนทางเข้าอาคารเข้าไป

แต่เหตุการณ์ก็ผ่านมานานแล้ว วิเคราะห์ไปก็เปลืองสมอง ไม่มีทางล่วงรู้คำตอบที่แท้จริง

ขณะเดียวกัน ฉันตระหนักว่าที่นี่คงไม่ถูกหาพบง่ายๆ เหมือนกับการหาอะไรดื่มแถวบ้าน

“กลับกันก่อน ซอยอน คุณอย่าเพิ่งแจ้งบริษัท”

“ฉันก็คิดจะทำแบบนั้น แต่ว่า ถึงฉันจะไม่พูด…”

จินซอยอนหันกลับไปมอง

เบสแคมป์อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ถึงจะถูกบดบังโดยต้นไม้ พุ่มไม้ และภูเขาหินก็ตาม

“จะปิดได้นานแค่ไหนกัน… ถ้ามีคนบังเอิญเดินผ่านมา ยังไงก็ต้องเห็น”

“เซลฟี”

ทันใดนั้น เซลฟีมอบชีวิตให้พืชพรรณใกล้เคียง ไม่นานพวกมันก็เจริญเติบโตจนปิดทางเข้า

“ถึงจะดูหยาบไปนิด แต่คงไม่ถูกพบไปสักระยะ”

“ไม่มีอะไรที่นายทำไม่ได้อีกแล้ว”

ฉันส่ายหน้า

“ฉันแค่รู้ว่าควรทำยังไง”

พูดจบ ฉันเดินกลับทันที ซอจีอาที่ตามมาด้านหลังตั้งคำถาม

“ทำไมถึงต้องรอ? เข้าไปตอนนี้จะมีอันตราย?”

“เธอความอดทนต่ำกว่าฉันอีกนะ”

“ที่นั่นอาจจะเกี่ยวข้องกับบัลลังก์ก็ได้ ข้าก็เป็นผู้สืบบัลลังก์เหมือนกัน ถึงจะแสร้งไม่แยแส แต่ก็ไม่มีทางข่มความตื่นเต้นมิดชิด พวกเราเกิดมาพร้อมกับชะตากรรมแบบนั้น”

“หืม…”

ลิลี่ก็ด้วย เบลล่า·วีว่าซิสซิโม่ก็เหมือนกัน ทุกคนย่อมสนใจบัลลังก์

และพวกเธอมักพูดเหมือนกันว่า ก็ช่วยไม่ได้ ตนเกิดมาพร้อมโฉมผู้ปกครอง

แต่ทำไมฉันไม่เป็น?

ไม่ว่าจะซื่อสัตย์กับตัวเองแค่ไหน ฉันก็ไม่เคยสนใจเลยจริงๆ

“แล้วที่รักจะทำอะไรต่อ? รออยู่เฉยๆ?”

“เดี๋ยวจะย้อนกลับมาสำรวจ”

“เมื่อไร?”

ลิลี่ตอบแทน

“คืนนี้… น่าจะ”

เริ่มเซนส์ดีแล้วสินะ

ฉันยิ้มพลางเดินกลับสำนักงานซึ่งอยู่ไม่ไกล

เป็นการย้อนกลับมาเตรียมตัว ฉันเชื่อเสมอว่า ไม่มีที่ใดสามารถเข้าไปสำรวจได้โดยไม่พกสัมภาระ

ไม่นานก็กลับถึงสำนักงาน หญิงสาวสามคนที่ตามมาด้วยตกอยู่ในสถานการณ์คลุมเครือ

ระหว่างที่ฉันเก็บข้าวของ ดูเหมือนพวกเธอจะประชุมกันเพื่อหาบทสรุปให้ตัวเอง

ชาโซฮีเดินเข้ามาหาฉันหลังจากดื่มน้ำหนึ่งแก้ว

“พวกเราตัดสินใจตามไปด้วย… ถ้านายอนุญาตล่ะนะ”

ฉันไม่คิดจะห้ามอยู่แล้ว

ลิลี่ก็ไม่คัดค้าน

“พวกเธอไม่เปลี่ยนใจแน่นะ”

“ฉันให้สัญญาว่า ถ้าระหว่างทางนายบอกให้กลับ พวกเราจะกลับทันทีโดยไม่ซักถาม”

ไม่เห็นต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้น ปลายทางอยู่ไม่ไกลสักหน่อย ทำยังกับเตรียมใจไปรบ

ระดับความยากของการสำรวจ ส่วนใหญ่จะวัดตาม ‘ความยากในการถอนตัว’ หากถอนตัวได้ง่าย มันก็คือการสำรวจที่ง่าย

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าสำนักงานอยู่ไม่ไกล ปัญหาก็สะสางได้ไม่ยาก

ฉันพยักหน้ารับ

ก็ตามที่ชาโซฮีพูด ถ้าเห็นท่าไม่ดีฉันจะสั่งให้กลับทันที

เห็นคำตอบของฉัน ชาโซฮีรีบปิดกระเป๋าอย่างตื่นเต้น อีกสองคนลุกขึ้นจากที่นั่ง

เมื่อออกมาข้างนอก พระจันทร์ห้อยกลางท้องฟ้าแล้ว

ฉันรู้สึกดีที่เห็นอุนเดราเฉิดฉายอีกครั้ง ทิวทัศน์แบบนี้ไม่มีในชายแดนใต้

ลิลี่เองก็มีสีหน้าสดใส คงเพราะได้ใช้ชีวิตตามปกติภายใต้ความคุ้มครองจากอุนเดรา

“ไปกันเถอะ”

ท่ามกลางเสียงแมลงและนกบนต้นไม้ พวกเราเดินอ้อมเบสแคมป์จนมาถึงภูเขาหินลูกเดิม

พืชพรรณขนาดเล็ก รวมถึงพุ่มไม้และต้นไม้เล็ก กำลังปกคลุมประตูทางเข้าที่เคยเห็นตอนกลางวัน

“เปิดยังไง?”

ชาโซฮีเดินเข้าไปจับประตู แน่นอนว่าประตูไม่เขยื้อน

ฉันถอดถุงมือและสัมผัสประตู

สิ่งที่ประตูโบราณทุกบานมีเหมือนกัน คือการสลักอักษรรูน

และนั่นช่วยให้งานของฉันง่ายขึ้นมาก

เมื่อแขนซ้ายทาบกับประตู รอยสักสีแดงบนหลังมือส่องแสง

ประตูตอบสนองทันที

ครึก!

การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างติดขัด

ฉันต้องออกแรงผลัก จนประตูเปิดพร้อมกับเสียงเสียดสี

“…นายทำได้ยังไง”

ชาโซฮีส่งเสียงชื่นชมจากด้านหลัง

ข้างในไม่กว้างมาก ไม่มีประตูบานใหม่ที่พาไปห้องอื่น เป็นแค่มิติเล็กๆ คล้ายอพาตเมนต์กว้างห้าพยอง

ซอจีอาก้าวเข้ามาอย่างระมัดระวังเป็นคนแรก

“…ผิดคาดแฮะ”

“มืด”

มองไปรอบๆ สักพัก ฉันหลับตาลง

ชาโซฮีถาม

“นายทำอะไร”

“ดมกลิ่น”

“ดมกลิ่น? ทำไม?”

“จะจุดไฟ”

“กลิ่นเกี่ยวอะไรกับจุดไฟ? อ๋อ… แก๊ส”

หลังจากยืนยันความปลอดภัย ฉันท่องรูน

“โมห์ส mohs”

ไม่ได้ใช้มานานแล้วสินะ

ทุกคนมองมาทางฉัน

“ไม่ว่าจะเห็นกี่รอบก็น่าทึ่งชะมัด… เวทมนตร์ของจริง… นายใช้บนโลกได้ไหม?”

หงึก

“…รู้สึกยังไงบ้างที่ได้ใช้ชีวิตเป็นจอมเวท?”

ดูเหมือนจินซอยอนจะหลุดเข้าไปในโลกแฟนตาซีอีกแล้ว

แต่พอเข้าใจได้

ฉันก็รู้สึกคล้ายกัน มิติแห่งนี้เป็นราวกับโลกคนละใบ คล้ายกับถูกตัดขาดจากภายนอก

ไม่ใช่แค่ดูพิเศษ แต่บรรยากาศของโบราณสถานมักทำให้คนเพ้อฝันได้ง่าย

บนโลกมนุษย์ก็มีบรรยากาศที่คล้ายกันให้ลองสัมผัส

ถ้าเดินเข้าไปในอาคารร้างริมถนนก็คงเข้าใจสิ่งที่ฉันจะสื่อ ทุกคนสามารถจินตนาการตามได้โดยไม่ต้องมีประสบการณ์มาก่อน

บนผนังเต็มไปด้วยภาพสลักนูนต่ำ แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่ภาษารูน เป็นแค่ของตกแต่ง

ทุกคนตั้งใจลูบคลำและจับตามอง

“…ขอถ่ายรูปได้ไหม”

ฉันพยักหน้าให้จินซอยอน

จินซอยอนหยิบโทรศัพท์ออกจากเสื้อและหมุนเพื่อถ่ายภาพ

จริงอยู่ ที่นี่บรรยากาศดี แต่คงน่าเสียดายถ้าทั้งหมดมีแค่นี้

ฉันมองไปรอบๆ ด้วยความคิดทำนองนั้น

แต่ละภาพอาจมีเบาะแส…

ฉันอยากลองทดสอบกับทุกภาพ พวกเรามีเวลาเหลือเฟือ

จากนั้น ฉันหันไปมองลิลี่โดยไม่ได้คิดอะไร

ลิลี่กำลังเดินตัดผ่านกลางห้อง

“…ลิลี่ ช่วยมานี่—!”

ขณะเดินพลางเพ่งสายตามองผนัง ลิลี่เสียหลักล้มด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ตีลังกากลับมายืนได้อย่างสง่างาม ประหนึ่งกำลังเต้นรำก็มิปาน

ทุกคนประหลาดใจกับฝีมือกายกรรมของลิลี่

“…ทำได้ยังไง เจ๋งชะมัด”

ชาโซฮีอุทาน

ซอจีอากับจินซอยอนเริ่มเอะใจความไม่ปกติ

“เกิดอะไรขึ้น?”

“ดิน… ยุบ”

ฉันจ้องดินในจุดที่ลิลี่เคยยืน จากนั้นก็พบรอยยุบวงกลม

ไม่ว่าจะมองยังไงก็เป็นปุ่ม — ปุ่มที่ตรวจจับแรงกดและกระตุ้นกลไกบางชนิด

เมื่อฉันใช้มือกวาดดินออก ทุกคนเริ่มเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น

“ที่รักคิดว่าเป็นอะไร? กับดัก?”

ฉันส่ายหน้า

“ไม่เคยเห็นกับดักในโบราณสถานมาก่อน คนโบราณไม่ได้นิสัยเสียขนาดนั้น”

แต่ก็ไม่ควรประมาท ฉันบอกให้ทุกคนออกไปรอนอกห้อง

จากนั้นก็ปิดปากด้วยผ้าคลุมไหมสวรรค์ และป้องกันลำตัวด้วยแจ็กเกตหนังปรสิต

ด้วยสิ่งเหล่านี้ ฉันจะไม่ตายเพราะลูกศร แก๊สพิษ หรือเปลวไฟ

ฉันมัดเชือกไว้กับตัว และบอกให้คนข้างนอกช่วยจับเชือกไว้

“…นายไม่ได้บ้าพลังอย่างที่คิดแฮะ… ตอนแรกนึกว่าจะเหมือนพวกหมู่ป่า”

“เริ่มเข้าใจแล้วสินะ”

ชาโซฮีมองฉันด้วยสายตาประหลาดใจ

ฉันยิ้มขณะเดินกลับไปหาปุ่มบนพื้นกลางห้อง

และใช้เท้ากดเบาๆ

ทันใดนั้น

ครึก!

แผ่นดินสะเทือน

กับดัก?

ฉันเชื่อแบบนั้น

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทุกคนนอกห้องกำลังแตกตื่น มีแค่ซอจีอากับลิลี่ที่ยังช่วยจับเชือกให้ฉัน

ไม่กี่อึดใจถัดมา พื้นจมลง

เคยคิดว่าเป็นกับดัก แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่

ฉันปล่อยเท้าจากปุ่มสีหน้าผ่อนคลาย

ห้องที่ฉันกำลังยืน ยุบลงไปข้างล่างอย่างเชื่องช้า

“นี่มัน… ลิฟต์”

ยกเว้นลิลี่ ทุกคนคุ้นเคยสิ่งประดิษฐ์ชนิดนี้

ห้องขยับลงเรื่อยๆ พร้อมกับเพดานที่สูงขึ้น

เป็นลิฟต์ไม่ผิดแน่

ผ่านไปราวสิบนาที ฉันพาลิฟต์กลับขึ้นมาอีกครั้ง ปุ่มกดใจกลางห้องกลับสู่ตำแหน่งเดิม

เป็นลิฟต์แบบเรียบง่าย แต่ก็ปลอดภัย

ชาโซฮีกับจินซอยอนจ้องฉัน สายตาเต็มไปด้วยความเว้าวอน

“ลงไปกันเถอะ ระวังตัวด้วยล่ะ”

“เยส!”

เมื่อยืนยันว่าทุกคนเข้ามา ฉันใช้เท้ากดปุ่มใจกลางห้อง

ครึก!

ห้องสั่นเล็กน้อยก่อนจะจมลง

ผ่านไปเกือบห้านาที

พวกเราลงมาลึกแค่ไหนแล้ว?

“ด้วยความเร็วประมาณนี้… คงประมาณห้าร้อยเมตร”

“ไม่เสมอไป ตอนนี้อาจมีความเร็วคงที่ แต่ช่วงแรกมีความเร่ง ฉันคิดว่าเกินห้าร้อยเมตร”

“ลึกขนาดนี้ บ่อน้ำมัน?”

แสงสว่างมาจากโมห์ส mohs และไฟฉายในมือทุกคน

สายตาพวกเธอแฝงความกังวล อยากรู้อยากเห็น และคาดหวัง เป็นอารมณ์ที่ยากจะอธิบายด้วยคำพูด

ครึก!

เมื่อลิฟต์เริ่มช้าลง ทุกคนยกไฟฉายขึ้น

ค่อนข้างผิดคาด ไม่มีใครกลัวจนตัวสั่น

ฉันยืนมองซอจีอาชักมีดออกจากเสื้อ

“เราไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไร”

ฉันไม่ได้เกลียดความขี้ระแวงนี้

จินซอยอนจ้องฉันและพูด

“คุณซอนฮูตื่นเต้นไหม”

“ผมรู้สึกแปลกใหม่เสมอ”

นี่คือเสน่ห์ของการสำรวจ ไม่ว่าเมื่อไร ถ้าได้สัมผัสสถานที่ใหม่ ความรู้สึกเดิมๆ จะหวนกลับมา

ฉันเข้าใจความหมายของ ‘ความประทับใจแรก’ ได้ดีกว่าใคร

เมื่อประตูเปิด พวกเรามองออกไป

จากนั้นก็ตระหนักว่า ไม่จำเป็นต้องใช้แสง

ทุกคนปิดไฟฉาย

ฉันยกเลิกโมห์ส mohs

เพราะพวกเราอยากเห็นทิวทัศน์ด้วยตาตัวเอง

“…ดาว?”

ลิลี่พูดเป็นคนแรก ที่เหลือค่อยๆ อ้าปากพลางแหงนมอง ‘ท้องฟ้า’ อันกว้างใหญ่

สิ่งที่พวกเราคิดว่าเป็นดาว ความจริงแล้วไม่ใช่ดาว

ตอนแรกฉันนึกว่าเพดานถูกคลุมด้วยพืชเรืองแสงจำพวกรา

แต่นั่นก็ไม่ใช่เหมือนกัน

สิ่งที่ดูเหมือนดาว ลอยเข้ามาหาฉันในระยะใกล้มาก

มันเป็นแค่ก้อนแสงปริศนาที่ลอยได้เหมือนฝุ่น

พวกมันคือเหตุผลที่ไม่ต้องเปิดไฟ

มิติแห่งนี้เหมือนกับทิวทัศน์ยามราตรีที่ปราศจากดวงจันทร์

ลึกเข้าไปมีหินย้อยขนาดใหญ่สูงจากพื้นจรดเพดาน

และนั่นไม่ใช่ทิวทัศน์เดียวที่เราเห็น

“เมือง?”

ทุกคนคิดตรงกัน

ตอนแรกฉันก็คิดแบบนั้น

อาคารสูงกว่าสิบชั้น และอาคารทรงต่ำอีกนับไม่ถ้วน แถมยังมีถนนตัดผ่านแต่ละตึก ตรอกซอกซอยอีกหลายสิบแตกแขนงจากถนน

ทิวทัศน์ตรงหน้าสมควรถูกเรียกว่าเมืองโบราณ

นั่นคือสิ่งที่ฉันคิด…

แต่เมื่อมองใกล้ๆ ฉันเริ่มเข้าใจ

โครงสร้างที่ดูเหมือนตึกสูง อาคารทรงต่ำอีกจำนวนมาก รวมถึงสถาปัตยกรรมเชิงศิลป์ที่ดูคล้ายเห็ด

ทั้งหมดไม่ใช่ตึก

จินซอยอนหยิบกล้องส่องทางไกลขนาดเล็กจากเสื้อและเพ่งสายตา

“…ทั้งหมดคือหลุมศพ”

“อะไรนะ? เป็นไปไม่ได้…”

“อยากจะบ้าตาย”

ที่นี่คือเมืองสุสานขนาดมหึมา

กาลอสตาย และผลข้างเคียงพัดผ่านไปทั่วโลก

นับแต่นั้นมา แมลงใต้ดินทยอยปรากฏตัว

พวกเราจึงเข้าใจว่าถูกแมลงโจมตี

“…บางที พวกมันอาจไม่ได้โจมตี”

ไม่สิ ต้องไม่ใช่อยู่แล้ว

ไกลออกไปจากจุดที่เรายืน ฉันเห็นฝูงแมลงกำลังไต่ผนัง

แมลงไม่ได้ขึ้นมาบนดินเพื่อโจมตี

พวกมันถูกขับไล่

ทันใดนั้น

ตึง!

“เฮือก…!”

ใครบางคนข้างหลังฉันปิดปากเพื่อกลืนเสียงกรีดร้อง

ฉันหันไปทางต้นเสียง และพบกับเงาคน

เป็นเงาผอมซูบ ประหนึ่งเหลือแต่กระดูก ร่างกายคลุมด้วยเศษผ้าเก่า

ปัญหาก็คือ เงาดังกล่าวสูงเท่าอาคารสิบชั้นข้างๆ

ตึง—!

เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง

ฉันเพ่งสายตามอง

โชคดีที่ไม่มีใครแตกตื่น ดูเหมือนจะเตรียมใจก่อนลงมากันแล้ว

ตึง—!

เสียงดังเป็นครั้งที่สาม

ฉันเริ่มบอกได้ว่าเสียงนั่นคืออะไร

“…เสียงพลั่ว”

ไม่ใช่มุกตลกหรือคำเปรียบเปรย

สิ่งมีชีวิตร่างยักษ์นั่น กำลังขุดดินหรือทำอะไรสักอย่างด้วยพลั่ว

เหมือนกับ… กำลังดูแลสุสาน

______________________

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (1/4)

ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:

https://www.facebook.com/bjknovel/

หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด