ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 135 เม็ดยารวบรวมพลังปราณหนึ่งพันเม็ด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 137 ความคิดที่ยอดเยี่ยม

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 136 สองหน้า


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 136 สองหน้า

แปลโดย iPAT  

เมืองวายุบรรพกาลเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาไร้ขอบเขต เมืองทั้งเมืองถูกสร้างขึ้นบนทางลาดชัน ถนนและตรอกซอยทั้งหมดต่างลาดเอียง

ด้านบนสุดเป็นวังขนาดใหญ่ มันกระทั่งยิ่งใหญ่กว่าที่พักของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์แห่งเมืองเจียเผิง

โคมไฟประดับประดาอยู่ที่บ้านทุกหลังราวกับพวกเขากำลังจัดงานเฉลิมฉลอง อย่างไรก็ตามใบหน้าของผู้คนที่สัญจรไปมากลับไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย

ข่าวการกลับมาของเฉียนหรงจื่อในฐานะผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์เดินทางมาถึงอย่างรวดเร็วและดูเหมือนมันจะกระตุ้นกลไกบางอย่าง ชายร่างกำยำกว่าร้อยคนพุ่งออกมาไล่ผู้คนที่อยู่บนเส้นทางออกไปขณะที่พวกเขายืนเป็นแถวอยู่สองข้างทาง

เมื่อคนทั้งสามขี่ม้าผ่านไป ชายเหล่านั้นก็ตะโกนเสียงดังว่า “ยินดีต้อนรับคุณหนูกลับสู่ตระกูล!”

เฉียนหรงจื่อขี่ม้านำอยู่ด้านหน้าขณะที่หลี่ฉิงซานและเตียวเฟยขี่ม้าอยู่ด้านซ้ายและขวาห่างออกไปเล็กน้อย นี่ทำให้ทั้งสองดูเหมือนองครักษ์ส่วนตัวของนาง

พวกเขาเห็นพ้องต้องกันในไม่กี่วันที่ผ่านมา การแสดงความเคารพต่อเฉียนหรงจื่อจะทำให้สมาชิกตระกูลเฉียนลดการป้องกันลง เพื่อผลประโยชน์ สิ่งที่ไร้นัยสำคัญเช่นนี้จึงไม่ใช่ปัญหา อย่างไรก็ตามหลี่ฉิงซานรู้สึกว่าเฉียนหรงจื่อไม่ได้แสดงละครในเวลานี้ นางดูพึงพอใจและภาคภูมิใจหลังจากกลับบ้านด้วยความสำเร็จ

ประตูคฤหาสน์สูงหลายเมตร บันไดหลายสิบขั้นพาดตัวลงมา พร้อมกับสิงโตหินคู่หนึ่งที่จ้องมองผู้คนด้วยสายตาที่น่าเกรงขาม ทั้งหมดทำให้พวกเขาดูร่ำรวยและทรงอิทธิพล

ประตูสีแดงเข้มเปิดออก ชายชราร่างผอมในชุดหรูหราปรากฏตัวขึ้น เขาคือผู้นำตระกูลเฉียน เฉียนเยี่ยนเหนิง เขาออกมาต้อนรับคนทั้งสามเป็นการส่วนตัว

“ท่านผู้นำ หรงจื่อโชคดีพอที่จะทำงานให้สำเร็จและเข้าร่วมหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์” เฉียนหรงจื่อลงจากหลังม้าและคำนับอย่างสง่างาม ก่อนที่นางจะโค้งคำนับจนสุด มือคู่บางๆก็คว้าแขนของนางเอาไว้ “ไม่ใช่ว่าข้าเคยบอกไปแล้วงั้นหรือ? เรียกข้าว่าท่านปู่ ตอนนี้เจ้าเป็นคนของทางการ เจ้าจะคำนับชายชราเช่นข้าได้อย่างไร?”

หลี่ฉิงซานและเตียวเฟยมองหน้ากัน การแสดงออกของเฉียนหรงจื่อเปลี่ยนไปเร็วจนน่าตกใจ สำหรับเฉียนเยี่ยนเหนิง เขาดูไม่เหมือนสิ่งที่เฉียนหรงจื่อกล่าว แม้น้ำเสียงของเขาจะอ่อนโยน แต่กลิ่นอายของเขายังกดขี่ผู้คน นี่คือแรงกดดันจากผู้แข็งแกร่ง

เฉียนเยี่ยนเหนิงกล่าว “พวกเจ้าทั้งสองต้องเป็นสหายของจื่อเอ๋อ”

เตียวเฟยป้องหมัดขึ้น “ถูกต้อง ภายใต้คำสั่งของผู้บัญชาการจ้าว เราติดตามหรงจื่อมาเยี่ยมบ้านของนางและแสดงความยินดีกับท่านเฉียนในวันครบรอบวันเกิดหนึ่งร้อยสามสิบสองปีของท่าน”

หลี่ฉิงซานป้องหมัดขึ้นและยิ้ม สิ่งที่เขาทำคือศึกษาเป้าหมายหลักของภารกิจครั้งนี้ เฉียนเยี่ยนเหนิงมีผมหงอกบางๆ ใบหน้าของเขาดูขาวซีดเล็กน้อยและมีรอยกระตามวัย จมูกของเขาดูอ่อนนุ่มเหมือนยางที่ใกล้ละลาย ร่างกายที่ผอมบางของเขาถูกซ่อนอยู่ในเสื้อผ้าที่หรูหรา

หากไม่ใช่เพราะดวงตาที่ส่องประกายและการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของเขา หลี่ฉิงซานอาจสงสัยว่าชายชราใกล้ตายผู้นี้คือเป้าหมายในภารกิจครั้งนี้ของเขาหรือไม่

จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งมักมีอายุขัยประมาณหนึ่งร้อยปี จอมยุทธ์ขั้นห้าสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานกว่านั้นเพียงไม่กี่ปี ในวัยของเฉียนเยี่ยนเหนิง ระดับการบ่มเพาะของเขาเริ่มลดลงแล้ว เฉียนหรงจื่อพูดถูกในแง่นี้

หลี่ฉิงซานชำเลืองมองกระเป๋าร้อยสมบัติของเฉียนเยี่ยนเหนิงและสงสัยว่ามีเม็ดยารวบรวมพลังปราณหลายร้อยเม็ดอยู่ในนั้นจริงหรือไม่ จากนั้นเขาก็มองผ่านไหล่ของเฉียนเยี่ยนเหนิงไปด้านหลังและเห็นจอมยุทธ์กลุ่มหนึ่งยืนอยู่หลังประตู พวกเขาไม่ใช่สมาชิกตระกูลเฉียนแต่เป็นแขกที่มาร่วมงานฉลองวันเกิด สายตาที่มองตอบหลี่ฉิงซานดูค่อนข้างเย็นชา แท้จริงแล้วมันยังแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยัน

หลี่ฉิงซานจำสิ่งที่โจวเหวินปิงกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ได้ ในฐานะผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ พวกเขาถูกรังเกียจอย่างมากในยุทธภพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนจากนิกายต่างๆ พวกเขารักอิสระ ไม่ชอบการผูกมัดหรืออยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ใด แต่กองกำลังผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ที่พึ่งถือกำเนิดขึ้นไม่นานกลับเป็นตัวแทนของทางการบังคับให้พวกเขาทำตามกฎหมาย

เฉียนเยี่ยนเหนิงผายมือ “เชิญ!”

…..

ในห้องที่เงียบสงบ เฉียนเยี่ยนเหนิงไม่ได้ดูแข็งแกร่งอีกต่อไป เขามองเฉียนหรงจื่อด้วยดวงตาสีแดง “เฉียนหรงหมิงอยู่ที่ใด?”

เฉียนหรงจื่อกล่าวด้วยท่าทางโศกเศร้า “หรงหมิง...หรงหมิงถูกบางคนสังหาร”

“กระไรนะ!” เฉียนเยี่ยนเหนิงจับไหล่เฉียนหรงจื่อ “ผู้ใด? มันเป็นผู้ใด? เหตุใดเจ้ายังสบายดี!?” เฉียนหรงหมิงไม่ใช่คนนอกที่ถูกรับเลี้ยงแต่เป็นทายาทสายตรงของตระกูลเฉียน เขาเป็นหลานที่มีความสามารถจากหลานนับร้อยของเขา

เฉียนหรงจื่อกล่าว “มันคือหลี่ฉิงซาน เด็กหนุ่มที่มากับข้าวันนี้!” นางเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียดให้เขาฟัง

เฉียนเยี่ยนเหนิงทำได้เพียงยอมรับความจริง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย “หากเขาไม่ใช่ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ ข้าจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆเดี๋ยวนี้!” จากนั้นเขาก็ใช้มือลูบแก้มเฉียนหรงจื่อ “แต่โชคดีที่เจ้ายังอยู่”

เฉียนหรงจื่อกล่าว “ท่านปู่ ท่านอาจไว้ชีวิตเขาแต่เขาจะไม่ไว้ชีวิตท่าน!”

“เจ้าพูดกระไร?” เฉียนเยี่ยนหนิงประหลาดใจ

“เรามาครั้งนี้ภายใต้ภารกิจลับของหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์เพื่อตรวจสอบตระกูลเฉียน!”

“เป็นไปได้อย่างไร? ข้าดูแลเมืองวายุบรรพกาลอย่างระมัดระวัง เหตุใดผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์จึงมุ่งความสนใจมาที่ข้า?” ร่องรอยของความตกใจปรากฏในดวงตาของเฉียนเยี่ยนเหนิง กองกำลังเล็กๆเช่นพวกเขาไม่สามารถเปรียบเทียบกับหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ หากพวกเขาดึงดูดความสนใจของหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ พวกเขาจะถูกไล่ล่าและฉีกเป็นชิ้นๆ

เฉียนหรงจื่อกล่าว “นี่เป็นเพราะหลี่ฉิงซานอีกครั้ง เขาขโมยกระเป๋าร้อยสมบัติของเฉียนหรงหมิงไปเพราะความโลภ เขายังอิจฉาและเกลียดชังข้า ดังนั้นเขาจึงกล่าวถึงตระกูลเฉียนในทางที่ไม่ดีกับผู้บัญชาการจ้าว”

เฉียนเยี่ยนเหนิงถาม “เหตุใดเจ้าไม่โต้แย้ง? เหตุใดไม่ทำตัวให้มีประโยชน์? เจ้ากำลังทรยศตระกูลเฉียนงั้นหรือ?”

เฉียนหรงจื่อตอบ “เหตุใดข้าจะไม่โต้แย้ง? อย่างไรก็ตามหลี่ฉิงซานได้รับการสนับสนุนจากเมืองชิงเหอ เขาเข้าร่วมหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์โดยไม่แม้แต่จะต้องแข่งขันกับคนอื่นๆ จ้าวจื่อป๋อไม่กล้าทำให้เขาขุ่นเคือง ดังนั้นเขาจึงสั่งให้เรามาตรวจสอบ เหตุผลเดียวที่หรงจื่ออยู่ที่นี่ในวันนี้เนื่องมาจากความกรุณาอันยิ่งใหญ่ของตระกูลเฉียน หากไม่ใช่เพื่อตระกูลเฉียน หากไม่ใช่เพื่อท่านปู่ หรงจื่อคงไม่มาที่นี่ แล้วข้าจะทรยศตระกูลได้อย่างไร?” นางกล่าวพร้อมกับหลั่งน้ำตาราวกับนางต้องการพิสูจน์ความบริสุทธ์ของตน

เฉียนเยี่ยนเหนิงเห็นการแสดงออกของนางและผ่อนคลายลงเล็กน้อย “เช่นนั้นตอนนี้เราจะทำอย่างไร? เราควรติดสินบนเขาหรือไม่?”

เฉียนหรงจื่อกล่าว “ท่านปู่ เขาเป็นหมาป่าที่หิวโหย สิ่งที่เขาต้องการคือกลืนกินตระกูลเฉียนทั้งหมด เขาไม่ใช่คนที่จะพึงพอใจเพียงเศษกระดูก หากท่านไม่เชื่อข้า เพียงสังเกตปฏิกิริยาของพวกเขาอย่างใกล้ชิด”

เฉียนเยี่ยนเหนิงถอนหายใจ “เห้อ...หากข้าไม่ส่งพวกเจ้าไปหาผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ ปัญหานี้คงไม่เกิด”

เฉียนหรงจื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย “ท่านไม่สามารถปล่อยพวกเขา โดยเฉพาะหลี่ฉิงซาน”

เฉียนเยี่ยนหนิงกล่าว “เจ้าต้องการให้ข้าจัดการผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์งั้นหรือ?”

“หากหลี่ฉิงซานยังอยู่ ตระกูลเฉียนจะไม่มีวันสงบสุข ข้าจะโยนความผิดให้ผู้อื่น ท่านปู่ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตระกูลเฉียน”

ไม่นานหลังจากนั้นเฉียนหรงจื่อก็เดินออกมาจากห้องที่เงียบสงบ ทันทีที่นางเดินเข้าไปในลานบ้าน ชายวัยกลางคนก็เข้ามาหยุดนาง

“ท่านพี่!” เฉียนหรงจื่อโค้งคำนับ

ชายวัยกลางคนยื่นมือออกไปที่แก้มของเฉียนหรงจื่อแต่นางหลีกเลี่ยง “อย่าทำเช่นนี้”

นี่คือเฉียนซิงเว่ย หลายชายคนโตของเฉียนเยี่ยนเหนิง แม้เขาจะขาดพรสวรรค์ในการบ่มเพาะพลังปราณแต่เขายังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เขาเป็นผู้ดูแลครอบครัวตระกูลเฉียนทั้งหมด

เฉียนซิงเว่ยโกรธมาก เขาจับคางเฉียนหรงจื่อ “เลิกแสดงละคร เจ้าคิดว่าเจ้าสูงส่งและยิ่งใหญ่เพียงเพราะเจ้ากลายเป็นผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์งั้นหรือ? ตราบเท่าที่เจ้ายังเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเฉียน เจ้าต้องฟังข้า อย่าลืมความเมตตาของตระกูลเฉียนที่มีต่อเจ้า”

เฉียนหรงจื่อกล่าว “พี่ใหญ่ หรงจื่อไม่กล้า” ทันใดนั้นคนสองสามคนก็เดินผ่านมาจากระยะไกล เฉียนซิงเว่ยปล่อยนาง เขาสั่ง “คืนนี้มาที่ห้องของข้า” เขาเฝ้ามองเฉียนหรงจื่อเดินจากไปและถ่มน้ำลาย “แม้เจ้าจะเป็นจอมยุทธ์พลังปราณแล้วอย่างไร?”

สิ่งที่เขามองไม่เห็นก็คือรอยยิ้มที่น่ากลัวบนใบหน้าของเฉียนหรงจื่อ

ทุกคนต้องจ่ายค่าตอบแทน

…..

ในยามค่ำ

เสียงที่รื่นเริงดังขึ้นในห้องโถง แขกผู้ทรงเกียรติกำลังอวยพรเฉียนเยี่ยนเหนิง แม้งานเลี้ยงจะเป็นวันถัดไปแต่คนส่วนใหญ่ก็มาถึงก่อนเวลาหนึ่งวันเพื่อแสดงความเคารพ แขกคนสำคัญในงานคือจอมยุทธ์พลังปราณหลายสิบคน หลี่ฉิงซานและเตียวเฟยใช้ตัวตนในฐานะผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์เพื่อให้ได้ที่นั่งที่ดีที่สุด

เฉียนเยี่ยนเหนิงแนะนำแขกทีละคน เมื่อถึงคราวของหลี่ฉิงซาน เขากล่าว “นี่คือผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์หนุ่มที่มากพรสวรรค์ คุณชายหลี่ฉิงซาน”

ไม่ว่าทุกคนจะคิดอย่างไร พวกเขาก็ต้องกล่าวทักทายอย่างสุภาพ

“เจ้าชื่อหลี่ฉิงซานงั้นหรือ?” เสียงที่แหลมคมดังขึ้น หลี่ฉิงซานมองไปรอบๆก่อนจะพบว่าเจ้าของเสียงสายนี้เป็นชายที่ดูเหมือนบัณฑิตแต่เขานั่งเหยียดขาอยู่บนพื้นด้วยเส้นผมที่ยุ่งเหยิง เห็นได้ชัดว่าเขาค่อนข้างเกเร สิ่งคัญก็คือเขาเป็นจอมยุทธ์ขั้นสาม

หลี่ฉิงซานกล่าว “เป็นข้า แล้วเจ้าคือผู้ใด?”

“เขาคือกงเหลียงไป่ ชาวยุทธ์รู้จักเขาในนามของบัญฑิตเสเพล เขามาจากสำนักศึกษาไม้ผลัดใบ” เฉียนเยี่ยนเหนิงแนะนำ หลังจากนั้นเขาก็ถามกงเหลียงไป่ “เกิดสิ่งใดขึ้น? เจ้ารู้จักคุณชายหลี่งั้นหรือ?”

กงเหลียงไป่ไม่แม้แต่จะชำเลืองมองเฉียนเยี่ยนเหนิง เขาจ้องหลี่ฉิงซานเท่านั้น “เจ้ารู้จักเว่ยตันตงหรือไม่?”

หลี่ฉิงซานกล่าว “ไม่”

กงเหลียงไป่กล่าว “แต่เขารู้จักเจ้า เจ้าน่าจะมาจากเมืองชิงหยางใช่หรือไม่? ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา น้องชายของข้าผู้นี้ไปที่นั่น ตั้งแต่เด็ก เขามักเจ็บป่วยอยู่เสมอ เดิมทีเขาไปที่นั่นเพื่อหาวิธีรักษาตัวเองแต่เขาไม่เคยกลับมา”

ทันใดนั้นหลี่ฉิงซานก็นึกถึงบัณฑิตป่วยที่ไปเมืองชิงหยางเพื่อโสมจิตวิญญาณ คนผู้นี้เป็นนักสู้ชั้นหนึ่งที่ตายด้วยน้ำมือของหลี่ฉิงซานหน้าวิหารเทพแห่งขุนเขา นักสู้ชั้นหนึ่งคนอื่นๆล้วนอยู่ในวัยกลางคน มีเพียงคนผู้นี้ที่อายุประมาณยี่สิบ ดังนั้นหลี่ฉิงซานจึงค่อนข้างประทับใจในตัวเขา

“ข้าคิดว่าข้าเคยเห็นเขา”

กงเหลียงไป่ยืดตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว “แล้ว?”

หลี่ฉิงซานตอบ “แล้วข้าก็ฆ่าเขา”