ตอนที่แล้วตอนที่ 371 - พี่ชายจงเจริญ!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 373 - ฮุยไท่หลาง อสูรในตำนาน

ตอนที่ 372 - อสูรที่ต้องการทำสัญญากับคัมภีร์?


หนูน้อยเย่ว์ซวงทำมือตามที่เย่ว์หยางแนะนำไว้ เธอยื่นมือออกไปวางแปะบนคัมภีร์อัญเชิญสีทองแดง

“หลับตาของเจ้าซะ และไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น.. หรือว่าอาหารอะไรอร่อยๆ แบบไหนที่เจ้าชอบกิน เดี๋ยวพี่สามจะทำให้กิน ลองนึกดูนะ” คำพูดให้กำลังใจของเย่ว์หยางแค่ทำให้คนอื่นได้ยินเท่านั้น เขาปิดตาของเด็กหญิงเบาๆ และถ่ายปราณก่อกำเนิดลงที่ระหว่างคิ้วของเธอ นั่นคือสาระสำคัญที่แท้จริงในการทำสัญญา เป็นเวลานานก่อนหน้านั้น เย่ว์หยางได้เชื่อมเส้นชีพจรของเย่ว์ซวงไว้ก่อนแล้ว เธอมีโอกาสที่จะทำสัญญากับคัมภีร์ได้สำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม เวลาที่จำเป็นต้องใช้ในการทำสัญญายังไม่แน่นอน ยิ่งกว่านั้น การทำสัญญาอย่างธรรมดายังไม่น่าตื่นเต้น เย่ว์หยางต้องการทำให้งานฉลองทำสัญญากับคัมภีร์มีความประทับใจมากกว่าปกติ

เขาต้องการทำให้น้องสาวตัวน้อยทำสัญญากับคำภีร์แบบที่ทำให้ทุกคนตะลึง

เย่ว์หยางทดสอบกับตัวของเสวี่ยอู๋เสีย, องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน, เจ้าเมืองโล่วฮัวและหญิงงามอู๋เหินมาหลายครั้งแล้ว การใช้ปราณก่อกำเนิดไม่นับว่าสำคัญสำหรับเย่ว์หยาง ถ้าเขาไม่กลัวคนภายนอกตรวจเจอ เย่ว์หยางยังต้องการใช้เพลิงอมฤตชำระร่างของหนูน้อยเย่ว์ซวง อีกด้วย

แน่นอนว่า เรื่องเหล่านั้นไม่ต้องกังวลเกินไป

แสงทองค่อยๆ เรื่อเรืองขึ้นจากมือน้อยๆ ของหนูน้อยเย่ว์ซวงแล้ว สว่างขึ้นช้าๆ

ในที่สุด ก็เป็นเหมือนกับทะเลสาบหรือมหาสมุทรที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวล ช่างต่างจากนักรบคนอื่นๆ ที่ให้ความรู้สึกที่หนาวเล็กน้อยและความรู้สึกอึดอัดระหว่างทำสัญญา มันล้นขยายออกไปภายนอกเหมือนกับเมฆและหมอก

เมื่อแสงสีทองถึงขีดจำกัดของมัน มันจึงหยุดขยายและแสงสีทองก็เริ่มฉายขึ้นไปในท้องฟ้า ลำแสงพุ่งสูงเหลือเชื่อ มันสูงหลายสิบเมตร นักรบแต่ละคนเห็นลำแสงยักษ์ขนาดนั้นถึงกับตกตะลึง ลำแสงทองอะไรกันนี่? นั่นเป็นเครื่องหมายบ่งบอกศักยภาพของผู้ทำสัญญา ผู้ทำสัญญาโดยทั่วไปจะไม่มีลำแสง ปกติจะมีแสงเปล่งออกมาจากร่างพวกเขาประมาณ 2-3 เมตร กระบวนการเช่นนี้กินเวลาไม่กี่วินาที

พวกผู้ทำสัญญาที่เปล่งแสงได้สูงถึงสามเมตรหาได้ยากมาก คนที่มีลำแสงพุ่งสูงถึงห้าเมตรนับเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากมาก

คนที่เปล่งแสงได้เกินสิบเมตรมีโอกาสที่จะได้เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด

เมื่อคนที่มีพลังมากอย่างอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าได้เลื่อนชั้นเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด ลำแสงของเขายังสูงถึงยี่สิบเมตร เซียนนักพรตก็ยังยกย่องเขาไม่หยุดและรู้สึกว่าอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าอาจจะได้เลื่อนเป็นองครักษ์พิทักษ์ฟ้าในอนาคตข้างหน้า

วันนี้ การทำสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญของเย่ว์ซวงมีลำแสงพุ่งสูงหลายสิบเมตร

แม้ว่าลำแสงจากการทำสัญญากับคัมภีร์จะไม่ใช่ลำแสงจากการยกระดับเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดก็ตาม แต่ก็ไม่ถือว่าแตกต่างกัน ถ้าคนผู้นั้นไม่มีข้อผิดพลาดในระหว่างฝึกฝนตนเองในอนาคต การเลื่อนระดับเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดก็จะไม่เป็นปัญหาแต่ประการใด ถ้าลำแสงจากการเลื่อนระดับเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดเป็นไปอย่างถูกต้องไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่น้อยและแสดงให้เห็นอนาคตของความก้าวหน้าของบุคคลผู้นั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นลำแสงจากการทำสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญก็สามารถกำหนดศักยภาพของพวกเขาได้

มีความเป็นไปได้ว่าศักยภาพที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะยังไม่เป็นที่รับรู้ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่ามันอาจขยายเติบโตได้มาก

สิ่งที่เรียกว่าศักยภาพนี้ ไม่จำเป็นต้องหมายถึงว่าท่านจะต้องแข็งแกร่งในอนาคต แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะต้องได้รับความลำบากยากไร้อย่างน่าอนาถ

จะอย่างไรก็ตาม ศักยภาพของลำแสงทองที่พุ่งสูงหลายสิบเมตรนี้ทำให้นักรบทุกคนงุนงงไปหมด

เวลาและสถานที่ในการทำสัญญากับคัมภีร์ไม่เคยขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวเจ้าของเลย

บางคนก็ทำสัญญาสำเร็จในเวลากลางวัน บางคนก็กลางคืน บางทีก็ทำได้ในขณะที่ตื่น และบางคนก็ทำได้ในขณะหลับ

กล่าวโดยทั่วไป ผู้ทำสัญญาน้อยครั้งมากที่จะได้เห็นลำแสงทำสัญญาของตนเอง สำหรับคนภายนอก นอกจากเห็นโดยบังเอิญ หรือบังเอิญมาเป็นสักขีพยานเหมือนที่ทำตามคำเชิญของเย่ว์หยางเป็นต้น ก็ยังเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะได้เห็นประจักษ์ลำแสงของผู้ทำสัญญากับคัมภีร์

ถ้าพวกเขาไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง พวกนักสู้ก็คงไม่กล้าเชื่อว่าหนูน้อยเย่ว์ซวงจะมีศักยภาพสูงขนาดนี้

“ดูเหมือนว่าจะสูงกว่าของข้าถึงสามเท่า…” อาจารย์จิ้งจอกเฒ่ายังไม่อาจระงับอาการตกใจได้

“พี่ไห่, ข้ารู้สึกอิจฉาท่านอย่างช่วยไม่ได้จริงๆ ข้าไม่รู้จะทำยังไงกับหลานชายที่ผิดธรรมดาของท่าน แต่ช่างไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ ที่หลานสาวของท่านก็ยังมีพลังมากขนาดนี้” จุนอู๋โหย่วคาดว่าศักยภาพที่เกิดขึ้นนี้ ส่วนใหญ่น่าจะเกี่ยวข้องกับเย่ว์หยาง เย่ว์ซวงแต่เดิมทีคงไม่มีศักยภาพที่น่ากลัวแบบนี้แน่นอนว่าพระองค์คงไม่เปิดเผยการคาดการณ์เช่นนี้ ตรงข้าม พระองค์กลับช่วยเย่ว์หยางปกปิดความลับนี้ไว้

“ข้าก็ไม่รู้จริงๆ” ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่หัวเราะอย่างจนใจ ท่านก็เข้าใจว่าเย่ว์หยางต้องทำอะไรสักอย่าง อย่างไรก็ตาม ท่านคาดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะสามารถทำอะไรได้น่าตื่นตาตื่นใจขนาดนี้ได้

ลำแสงสีทองกลับเข้ามาอยู่ในตัวเย่ว์ซวงและตัวเย่ว์ซวงก็สั่นเพียงเล็กน้อย

เธอล้มลงหมดแรงและสิ้นสติ

เย่ว์หยางรู้ว่านี่เป็นอาการที่คัมภีร์อัญเชิญกำลังถ่ายทอดความรู้เข้าในหัวของเธอ หัวน้อยๆ ของเธอไม่สามารถรับมันได้ ดังนั้นผลออกมาจึงทำให้เธอหมดสติไปชั่วขณะ นี่เป็นกลไกลป้องกันตัวเองของสมอง ระหว่างที่ทำสัญญากับคัมภีร์ มีน้อยคนที่จะตระหนักถึงสถานการณ์เช่นนี้

นี่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคัมภีร์อัญเชิญได้ส่งผ่านข้อมูลลงในหัวของพวกเขา ดังนั้นจึงมีสภาพเป็นเช่นนี้

ความรู้ที่ทุกคนได้รับแตกต่างกันไป แม้ว่าคนอื่นต้องการจะหมดสติ แต่พวกเขาก็ไม่มีโอกาส

หลังจากคัมภีร์ทองแดงเสร็จสิ้นการทำสัญญาแล้ว มันพลิกหน้าเปิดด้วยตัวมันเอง

เย่ว์หยางกำลังอุ้มเย่ว์ซวงอยู่ได้ชะโงกศีรษะก้มดู ถึงกับสะดุ้งด้วยความประหลาดใจ… แม้ว่าเธอจะซุกซนและห่วงกินมากไปบ้าง แต่หนูน้อยก็ยังทำให้เย่ว์หยางแปลกใจได้อยู่ดี หนูน้อยเย่ว์ซวงไม่ได้ด้อยกว่าเย่ว์ปิงพี่สาวของเธอแต่อย่างใด

เธอแตกต่างจากเย่ว์ปิงที่ต้องต่อสู้ผ่านด่านวิหารสิบสองนักษัตรจึงจะได้รับทักษะแฝงเร้นอย่างที่สอง แต่หนูน้อยเย่ว์ซวงนี้มีทักษะแฝงเร้นสองอย่างตั้งแต่แรกเริ่ม

ทักษะแฝงเร้นมุก : ทำให้เจ้าของใช้สมบัติวิเศษประเภทมุกเพื่อเรียกวิญญาณสัตว์อสูรออกมาใช้ต่อสู้ได้ ระดับปัจจุบัน – 1

ทักษะแฝงเร้นขนมหวาน : เมื่อเจ้าของทักษะเกิดความหิว ก็สามารถเปลี่ยนวัตถุหรืออสูรที่อ่อนแอให้กลายเป็นขนมหวาน ถ้าขนมหวานถูกกินก่อนที่จะกลับคืนสู่ร่างเดิมก็จะสร้างความสูญเสียที่แก้ไขไม่ได้หรือไม่ก็ถูกย่อยสลายตลอดไป ทักษะแฝงเร้นชนิดนี้ ยิ่งระดับสูงขึ้นก็ยิ่งดี ระดับปัจจุบันคือ ระดับ 1

“อะไรกันนี่?” เมื่อเย่ว์หยางเห็นทักษะชนิดนี้ถึงเหงื่อซึม ทักษะแฝงเร้นชนิดนี้เป็นบ่งบอกถึงนิสัยของเย่ว์ซวง

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…” ราชันย์ฟ้าบูรพาและคนอื่นๆ รุมล้อมมองดูเหมือนผึ้งตอมเกสร ตอนแรกพวกเขาตกตะลึง แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็ปล่อยเสียงหัวเราะลั่น อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าหัวเราะจนน้ำตาเล็ด

นี่มันตลกเกินไป แม้ว่าทักษะแฝงเร้นใดๆ ก็มีทางเป็นไปได้ แต่ทักษะแฝงเร้นที่น่าอัศจรรย์ของเย่ว์ซวงคือสิ่งที่ไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นมาก่อน

แน่นอนว่า ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้ายึดถือทักษะแฝงเร้นขนมหวานนี้ในทำนองดูถูก

ยังดีที่เป็นวัตถุสิ่งของธรรมดา แต่ถ้าเป็นเทพศัสตราถูกหนูน้อยเปลี่ยนเป็นขนมหวานแล้วกินลงไป ก็จะกลายเป็นเรื่องเศร้าของศัตรูของเธอ สำหรับสัตว์อสูร ยิ่งเป็นเรื่องน่าสยดสยองยิ่งกว่า สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่าเย่ว์ซวงอาจปลอดภัย แต่ถ้าพวกที่อ่อนแอกว่าเธอถูกเปลี่ยนเป็นขนมหวานแล้วกินลงไป โชคดีที่ทักษะแฝงเร้นนี้ยังมีข้อจำกัดอยู่มาก มิฉะนั้นถือว่าเป็นการท้าทายธรรมชาติ พวกนักรบต่างคุยกันอย่างสนุกปาก ทุกคนคิดว่าทักษะแฝงเร้นขนมหวานเป็นทักษะที่ไม่เลวเลย แม้จะมีข้อจำกัดมาก แต่ก็มีประโยชน์มากเช่นกัน

แต่มุมมองของเย่ว์หยางแตกต่างจากคนอื่น เขาเชื่อว่าทักษะแฝงเร้นขนมหวานนี้ไม่ใช่ทักษะที่แย่ แต่เป็นทักษะที่แข็งแกร่งกว่าทักษะแฝงเร้นมุก

ทักษะแฝงเร้นที่มีข้อจำกัดมาก ย่อมเป็นทักษะที่ดีกว่าเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางยังรู้เรื่องอื่นอีก ทักษะแฝงเร้นที่ดูเรียบง่ายและดูผิวเผินว่าไร้ประโยชน์ ความจริงแล้วคือทักษะที่แข็งแกร่ง

หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง หนูน้อยเย่ว์ซวงก็ฟื้นขึ้น เย่ว์หยางบอกให้เธอพลิกเปิดหน้าในคัมภีร์ และอสูรพิทักษ์ของเธอจึงปรากฏแก่สายตาของทุกคน เป็นตุ๊กตารูปมนุษย์ขนาดเล็ก มีปีกสีสดใสเหมือนเปลือกหอย มีนามว่า เทพีมุก

เทพีมุก : อสูรชนิดพิเศษ มีรูปแบบชีวิตที่ฉลาดรูปทรงคล้ายมนุษย์ ชั้นเงิน ระดับ 1 มีชีวิตเป็นอมตะ ทุกๆ วันมันจะมอบมุกเจ็ดสีให้เจ้านายสามลูก ทักษะ – จิตวิญญาณผู้ช่วย

จากนั้นเย่ว์ซวงจึงเรียกออกมา ปรากฏมีสิ่งมีชีวิตเปล่งแสงสว่างสีม่วงสดใส

มองดูแล้ว มีขนาดเท่าหัวนิ้วแม่มือ

ขนาดของมันพอๆ กับทัมเบลินาจากนิทานเด็ก อย่างไรก็ตาม มันมีปีกเปลือกหอยที่งดงาม ร่างเล็กพอๆ กับแมลงปอดูกะทัดรัดและว่องไว ในมือของมันถือมุกสีเงินลูกโต ยิ่งว่านั้น ยังมีมุกสีม่วง, น้ำเงินและสีทองสามลูกลอยวนเวียนอยู่รอบตัวมัน

เมื่ออสูรเทพีมุกตนนี้ปรากฏ มันคำนับให้เย่ว์หยางและคนอื่นๆ มองดูสุภาพมากไปด้วยมารยาท

จากนั้น มันบินมาหยุดอยู่หน้าเย่ว์ซวงอย่างสง่างามและมอบไข่มุกให้เจ้าของๆ มัน อย่างไรก็ตาม ที่ขัดแย้งกับความคาดหวังของทุกคน มันแค่เล่นอยู่กับเย่ว์ซวงเท่านั้น หลังจากเย่ว์ซวงยื่นมื่อมารับเอามุก มันบินถอยหลังเล็กน้อย ไม่ยอมให้เด็กหญิงแตะต้องตัว เย่ว์ซวงพยายามไล่จับเธออย่างไม่เลิกรา เธอวิ่งลงเวทีหัวเราะเสียงใสเหมือนระฆัง อย่างสนุกสนาน อย่างไรก็ตาม ทุกคนมองหน้ากันเองด้วยความกลัว นี่เป็นอสูรที่ฉลาด

คุณพระช่วย, อีกนานแค่ไหนอสูรเทพีมุกจะกลายเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์?

แม้จะมีช่องว่างอยู่ช่วงหนึ่ง แต่มันจะกลายเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ในอนาคตอย่างแน่นอน นี่คือสิ่งที่กำหนดไว้แน่นอนแล้ว

สิ่งมีชีวิตเกิดมาก็เป็นอสูรชั้นเงินก็น่าตกใจพอแล้ว แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือปัญญาของมัน อสูรเทพีมุกนั้นฉลาดโดยธรรมชาติและเป็นอสูรที่คนอื่นๆ ทำได้แต่ฝัน แต่ไม่เคยได้ครอบครอง

พอเห็นว่าจำนวนอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของตระกูลเย่ว์เพิ่มขึ้น หลายๆ คนทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่ถอนใจ พวกเขาสมควรแล้วที่เรียกว่าสี่ตระกูลใหญ่ แม้แต่เด็กหญิงคนหนึ่งจากตระกูลเย่ว์ก็ยังดีกว่าหลานชายของคนอื่นๆ จะต้องใช้เวลานานแค่ไหนที่ทวีปมังกรทะยานถึงจะสามารถสร้างเด็กอย่างเย่ว์ซวงได้? ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่ามีเด็กที่ผิดธรรมดาอย่างคุณชายสามตระกูลเย่ว์อยู่เหนือเธอ คนที่มีพลังอย่างเธอไม่เคยปรากฏมาหลายร้อยปีแล้ว

รุ่นผู้เยาว์ในตระกูลเย่ว์มีชื่อเสียงมากมายเหลือเกิน

ผู้เยาว์แต่ละคนก็แข็งแกร่งกว่าที่อื่น

ในอดีต เย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยนเป็นส่วนหนึ่งของสิบสุดยอดนักเรียนหัวกะทิที่แข็งแกร่งมาก จากนั้นเย่ว์เฟิงที่มีศักยภาพสูงกลายเป็นความหวังของตระกูล ยิ่งคุณชายสามเย่ว์หยางยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย  เย่ว์ปิงปรากฏตามมา แสดงพลังของนางด้วยอสูรสายพฤกษาที่ทรงพลัง นางใช้นักรบพฤกษาที่มีพลังเพิ่มขึ้นด้วยพลังพิษและวิทยายุทธของนาง นางเกือบเอาชนะเฟิงชิซาได้… ตอนนี้ยังเพิ่มหนูน้อยเย่ว์ซวงผู้มีทักษะแฝงเร้นถึงสองอย่าง นอกจากนี้เธอยังมีอสูรพิทักษ์เทพีมุกที่เฉลียวฉลาดและมีลำแสงทำสัญญาสูงเป็นสิบๆ เมตร การที่เธอจะไม่เป็นผู้มีชื่อเสียงในอนาคตคงเป็นเรื่องที่ยากมาก

“มาหาข้า มาแม่หนูน้อย มานี่!” ด้วยนิสัยความเป็นมารดา ฮองเฮาอดใจไม่ได้ที่จะอุ้มหนูน้อยมากอดและจูบแก้มเธอ พระนางหันหน้ามาทางเย่ว์หยางและตรัสว่า “เย่ว์หยาง! ข้ารักแม่หนูน้อยคนนี้มาก ให้ข้ารับเธอเป็นธิดาบุญธรรมได้ไหม? แม่หนูน้อยที่น่ารัก อยากเป็นเจ้าหญิงน้อยไหม? ถ้ารูปร่างน่ารักอย่างนี้สวมชุดเจ้าหญิงละก็…”

“เป็นเจ้าหญิงไม่เห็นสนุกตรงไหน!” หนูน้อยเย่ว์ซวงสั่นศีรษะ

“เจ้าหญิงมีของอร่อยๆและมีขนมอร่อยไว้กินเยอะแยะ, เจ้าไม่อยากเป็นหรือ?” ก่อนที่ฮองเฮาจะตรัสจบ นัยน์ตาของเย่ว์ซวงเป็นประกายและรีบพยักหน้ารับทันที เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ขนมหวานเป็นของโปรดสำหรับเธอ

“….” จุนอู๋โหย่วและผู้เฒ่าเย่ว์ไห่มองหน้ากันเอง

ฮองเฮาประสงค์จะรับธิดาบุญธรรมมิใช่จะเป็นไปไม่ได้

อย่างไรก็ตาม คงจะเป็นเรื่องปวดหัวในการจัดลำดับอาวุโสของวงศาคณาญาติ

อย่างในตอนนี้ การจัดลำดับอาวุโสระหว่างพวกเขาก็ยากพออยู่แล้ว องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเป็นพระธิดาของจุนอู๋โหย่ว นางหมั้นกับคุณชายสามตระกูลเย่ว์ อย่างไรก็ตาม จุนอู๋โหย่วก็ยังตรัสเรียกผู้เฒ่าเย่ว์ไห่เป็นพี่ไห่เหมือนเดิม ตอนนี้ฮองเฮาต้องการรับพระธิดาบุญธรรม แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่การจัดลำดับอาวุโสก็จะยุ่งเหยิงอีกครั้ง

เมื่อมาถึงจุดนี้ จุนอู๋โหย่วก็ไม่สนใจเรื่องยุ่งยากในการจัดลำดับอาวุโสอีกต่อไป

พอเห็นฮองเฮารับว่าที่นักสู้ปราณก่อกำเนิดในอนาคตเป็นพระธิดาบุญธรรม พวกนางในทั้งหลายในตอนนี้ไม่รู้จะทำเช่นไร ได้เสียใจอย่างเดียว

แน่นอนว่า ไม่ว่าจะเสียใจมากเพียงไรก็ตาม พวกนางก็ไม่สามารถขโมยเธอไปจากฮองเฮาได้ ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าพวกนางต้องการรับเธอไปดูแล แต่คุณชายสามตระกูลเย่ว์ก็ไม่จำเป็นต้องคล้อยตาม หนูน้อยคนนี้เป็นน้องสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขา คนธรรมดาจะรับเลี้ยงดูแลเธอได้ยังไง? พวกนางในพอคิดได้เช่นนี้แล้วจึงยกมือสนับสนุนแสดงความยินดีกับตระกูลเย่ว์ เหยียนเชียนจ้งและผู้เฒ่าของตระกูลใหญ่กำหมัดแน่นและล้มเลิกความคิดที่จะเป็นทองแผ่นเดียวกับตระกูลเย่ว์

ช่างเถอะ, เจ้าตัวบัดซบน้อยในตระกูลพวกเขาไม่คู่ควรกับหนูน้อยเย่ว์ซวง บอกไปจะอึดอัดใจกันเสียเปล่าๆ

จะเป็นการดีกว่าที่ให้เกียรติและไม่สร้างความรู้สึกที่ขัดใจกัน

ถ้าหนูน้อยเย่ว์ซวงทำสัญญากับคัมภีร์ได้ทำให้ทุกคนตื่นตระหนกมากมายอย่างนั้น คงต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ กว่าพวกเขาจะทำใจยอมรับทุกอย่าง จากนั้นสิ่งที่เย่ว์หยางพูดตามมาทำให้ทุกคนตกตะลึงแทบสิ้นสติ

ทุกคนตะลึงที่ยินเช่นนั้น

ทั้งนี้รวมทั้งอาจารย์จิ้งจอกเฒ่า, จุนอู๋โหย่วและผู้เฒ่าเย่ว์ไห่, อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของแต่ละคนตกใจ พวกเขาเข้าใจว่าได้ยินผิด

“เจ้า… เจ้าว่ากระไรนะ?” ราชันย์ฟ้าบูรพาคว้าคอเสื้อของเย่ว์หยาง “เด็กน้อย! เจ้าจะเล่นตลกอะไรกันแน่?”

“ไม่มีอะไร, ข้าแค่ต้องการจะลองอะไรบางอย่าง” เย่ว์หยางยิ้มเฉิดฉันเหมือนดวงอาทิตย์ แม้ทุกคนจะเห็นว่าเขายิ้ม แต่พวกเขากลับสั่นอย่างช่วยไม่ได้ เย่ว์หยางกวาดสายตาอย่างรวดเร็วและในที่สุดเขาก็พูดย้ำประโยคเดิมด้วยความมั่นใจ “พวกท่านได้ยินไม่ผิด เป็นเวลาระยะหนึ่งมาแล้ว ข้าบอกว่าข้ามีอสูรที่ไร้ค่าตัวหนึ่ง, พลังของมันกระจอกอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่มีทางเลือกอื่น ข้าจะให้มันลองทำสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญ เผื่อว่ามันจะได้รับพลังเพิ่มขึ้นสักนิดก็ยังดี”

เย่ว์หยางหมุนตัวเดินลงจากเวทีแล้วตะโกนว่า “ฮุยไท่หลาง, เจ้าหมาติงต๊อง, มานี่เร็ว, เจ้านายของแกกำลังงานยุ่ง แกยังขี้เกียจนอนอยู่ตรงนั้นอีกเรอะ?”

เมื่อฮุยไท่หลางได้ยินเสียงของเขา มันวิ่งเหยาะๆ ขึ้นเวทีอย่างกระตือรือร้น ทุกคนตกตะลึง

หมาตัวนี้เหรอ? ที่จะทำสัญญากับคัมภีร์?

*******

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด