ตอนที่แล้วบทที่ 14: โอสถเซียนและแขกรับเชิญทั้งสองคน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 16: โลกมนุษย์หรือโลกเซียน?

บทที่ 15: นี่คือปรมาจารย์เซียนหรอ?  


บทที่ 15: นี่คือปรมาจารย์เซียนหรอ?

ในขณะที่ซุยเฮ็งสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงบนท้องฟ้า เป่ยฉิงซูซึ่งอยู่ข้างนอกก็สังเกตเห็นสถานการณ์ภายนอกด้วยเช่นกัน

ในขณะนี้ พวกเขาทั้งสองก็เห็นร่างเล็กๆ กำลังพุ่งทะลุเมฆลงมาอย่างรวดเร็ว

ด้วยการตกจากความสูงระดับนี้ มันก็อาจจะทำให้คนๆ นี้กลายเป็นเนื้อบดได้ในทันที

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ เป่ยฉิงซูก็เห็นเมฆควบแน่นอย่างรวดเร็ว มันบินมาอยู่ใต้ร่างนั้นและยกเธอขึ้นก่อนที่จะร่อนลงมาอย่างช้าๆ

แท้จริงแล้วมันก็เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ

เธอดูมีอายุประมาณ 8 ถึง 9 ขวบ

เด็กหญิงตัวเล็กสวมชุดสีเหลืองปักลายด้วยด้ายสีเงิน นอกจากนี้ มันก็ยังมีเครื่องประดับที่ทำมาจากทอง, เงินและหยกแขวนอยู่บนตัวเธอ เห็นได้ชัดว่าเธอมาจากภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน

สิ่งที่เป่ยฉิงซูกังวลมากที่สุดก็คือปิ่นปักผมบนศีรษะของเด็กหญิงตัวเล็กคนนี้

มันเป็นปิ่นลายดอกบ๊วยเก้าดอกที่แกะสลักมาจากหยกอุ่น

ปิ่นหยกดอกบ๊วย!

มีเพียงองค์หญิงแห่งจักรวรรดิต้าโจวเท่านั้นที่มีสิทธิ์จะได้สวมใส่ปิ่นที่พิเศษเช่นนี้!

นอกจากนี้ มันก็ยังไม่ใช่ว่าองค์หญิงทุกคนจะสามารถสวมใส่มันได้ พวกเธอจะสามารถสวมใส่มันได้ก็ต่อเมื่อได้รับการพระราชทานจากจักรพรรดิ!

จำนวนดอกบ๊วยบนปิ่นหยกเองก็มีความแตกต่างกันเช่นกัน

ยิ่งมีจำนวนดอกบ๊วยมากเท่านั้น คนๆ นั้นก็จะยิ่งมีฐานะสูงมากเท่านั้น

และในจักรวรรดิต้าโจวทั้งหมด มันก็มีองค์หญิงเพียงองค์เดียวเท่านั้นที่สามารถสวมใส่ปิ่นหยกที่มีดอกบ๊วยเก้าดอกได้

นั่นคือองค์หญิงหยงอัน หลี่หมิงเฉียง!

“มันคือนาง!”

จิตสังหารพุ่งผ่านดวงตาของเป่ยฉิงซู

เขารู้ว่าขาของเขาพิการเช่นนี้ก็เป็นเพราะองค์หญิงหยงอัน!

ในขณะนี้ หลี่หมิงเฉียงก็ยังคงนั่งมึนอยู่บนก้อนเมฆ

หลังจากที่เธอมองไปรอบๆ เธอก็ตระหนักได้ว่าเธอได้ถูกพาตัวออกมาจากวัง เธอรู้สึกตกใจอย่างมากในทันที

ใครกันที่มีความสามารถในการพาเธอออกมาเช่นนี้ได้?

นั่นคือวังหลวง สถานที่ที่มีความปลอดภัยสูงที่สุดบนโลก!

“เจ้าเป็นใครกัน?” หลี่หมิงเฉียงสังเกตเห็นเป่ยฉิงซู เธอกระโดดลงมาจากก้อนเมฆและเอ่ยถามอย่างระแวดระวัง “เจ้าเป็นคนพาข้ามาที่นี่หรอ?”

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เธอพูดจบ เธอก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ

นั่นเป็นเพราะเป่ยฉิงซูกำลังคุกเข่าอยู่ นอกจากนี้ มันก็ยังมีโคลนติดอยู่ตรงฝ่ามือและแขนเสื้อของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่งจะทำการคำนับลงกับพื้น

และทิศทางที่เขาคำนับให้นั้นก็คือ...

บ้านหน้าตาประหลาดนั่นน่ะหรอ?

หลี่หมิงเฉียงมองไปที่วิลล่าหรูของซุยเฮ็งอย่างอยากรู้อยากเห็น

แม้ว่าเด็กหญิงจะมีอายุเพียง 9 ขวบ แต่ความเฉลียวฉลาดและทักษะการสังเกตสิ่งรอบตัวของเธอนั้นก็เหนือกว่าคนทั่วไปมาก

“มีเซียนอยู่ในนั้นอย่างงั้นหรอ?”

ในวินาทีถัดมา หลี่หมิงเฉียงก็โค้งคำนับไปทางวิลล่าด้วยความเคารพเช่นกัน ในฐานะองค์หญิง เธอก็รู้ดีว่าเซียนนั้นทรงพลังเพียงใด

ด้วยการที่เขาสามารถเพิกเฉยต่อทหารรักษาการณ์ของวังหลวงและพาเธอออกมายังสถานที่แห่งนี้ได้ มันก็มีเพียงเซียนเท่านั้นที่จะสามารถทำเช่นนี้ได้!

“สมแล้วที่เป็นองค์หญิงหยงอันผู้ซึ่งได้รับความโปรดปรานจากราชสำนัก เจ้าไม่ได้มีความเคารพต่อท่านปรมาจารญ์เซียนเลย” เป่ยฉิงซูหัวเราะเยาะ

“ปรมาจารย์เซียน?” หลี่หมิงเฉียงมองไปที่เป่ยฉิงซูด้วยความสับสน เธอมองดูเขาและสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันที “เจ้าคงจะเป็นทายาทสายตรงของตระกูลเป่ยแห่งหลินเจียงสินะ ข้าจำเสื้อผ้าของเจ้าได้”

“จะยังไงก็เถอะ นายน้อยเป่ยฉิงซูของเจ้าเสียชีวิตไปแล้วรึยังล่ะ?”

แม้ว่าเด็กหญิงคนนี้จะยังเด็ก แต่คำพูดของเธอก็เต็มไปด้วยความอาฆาต

“ข้านี่แหละคือเป่ยฉิงซู!” เป่ยฉิงซูกัดฟันและยืนขึ้น เลือดของเขาเดือดพล่านและเขาก็ลืมเรื่องการวางตัวไปจนหมด

ซุยเฮ็งไม่ได้รีบร้อนจะเข้ามาดูสถานการณ์

เขายืนนิ่งอยู่บนระเบียงชั้นสามและมองลงมาที่พวกเขาทั้งสองคน

“น่าสนใจ”

เมื่อซุยเฮ็งได้ยินการสนทนาระหว่างเด็กทั้งสอง มุมปากของเขาก็โค้งขึ้นเล็กน้อย

กี่ปีแล้วที่เขาไม่ได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน?

มันน่าจะมากกว่า 150 ปีแล้วใช่ไหม?

สิ่งนี้น่าสนใจมาก!

ในขณะที่เขากำลังคิดอยู่ในใจ การโต้เถียงทางวาจาก็ได้ลุกลามจนกลายเป็นความโต้ตอบทางร่างกาย

เป่ยฉิงซูและหลี่หมิงเฉียงต่างก็มีทักษะวรยุทธ์ติดตัว ดังนั้นเมื่อพวกเขาทั้งสองต่อสู้กัน ฝุ่นหินดินทรายจึงปลิวว่อนไปทั่วทุกที่ เสียงหมัดและฝ่ามือกระแทกกันดังก้องโครมคราม ลมกระโชกแรงพัดผ่านก้อนหินและผืนดินจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

สิ่งที่น่าตลกที่สุดคือเป่ยฉิงซูไม่สามารถเอาชนะเด็กหญิงอายุ 9 ขวบได้

เขาถูกทำร้ายร่างกายจนหมดสภาพและไม่สามารถตอบโต้อะไรได้อีก

“คืนชีวิตพี่ชายของข้ามานะ!”

หลี่หมิงเฉียงตะโกนลั่น ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความอาฆาตในขณะที่เธอยกกำปั้นขึ้นและกำลังจะทุบไปที่หัวของเป่ยฉิงซู

“ฮึ่ม!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงกระแอมดังขึ้นราวกับเสียงฟ้าร้อง

ในเวลาเดียวกัน เมฆบนท้องฟ้าก็ดูเหมือนจะถูกดึงดูดโดยพลังที่มองไม่เห็น มันบดบังแสงแดดและทำให้ท้องฟ้ามืดลง

ราวกับสวรรค์กำลังพิโรธ!

เมื่อหลี่หมิงเฉียงได้สติ ความอาฆาตในดวงตาของเธอก็หายไปอย่างรวดเร็ว เธอรีบก้มหัวคำนับไปทางวิลล่าด้วยความเคารพ “หลี่หมิงเฉียงแห่งจักรวรรดิต้าโจวคารวะท่านปรมาจารย์เซียน!”

เมื่อรอดพ้นจากความตาย เป่ยฉิงซูที่กำลังรู้สึกหวาดกลัวก็รีบโค้งคำนับ เช่นเดียวกัน “ขอบคุณท่านปรมาจารย์เซียนที่ช่วยชีวิตข้า”

ความโกรธเกรี้ยวของเซียนทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสี!

นี่คือพลังของผู้เป็นเซียนอย่างไม่ต้องสงสัย!

ทั้งสองโค้งคำนับด้วยความเคารพ แต่มันก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ โต้กลับมา

ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่มีใครกล้าแสดงท่าทียโสโอหังอีกต่อไป

พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะลุกขึ้นในเวลานี้

พวกเขาทั้งสองคุกเข่าลงด้วยความเคารพและรอให้ 'ท่านปรมาจารย์เซียน' ตอบกลับ

ในตอนนี้ คนหนึ่งก็รู้สึกสับสนเกี่ยวกับสถานการณ์ ในขณะที่อีกคนก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความเกลียดชัง

สุดท้ายแล้ว ทั้งคู่ก็ยังเป็นเพียงแค่เด็ก

และหลังจากได้ยินเสียงกระแอมอันเย็นชา พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าพวกเขาได้ทำพลาดลงไปแล้ว

แม้แต่ผู้อาวุโสของสำนักเซียนก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศจากการกระแอมได้

นี่จะต้องเป็นพลังของปรมาจารย์เซียนอย่างแน่นอน!

ในขณะนี้ ซุยเฮ็งก็ตกอยู่ในภวังค์

เด็กทั้งสองคนนี้แตกต่างจากหงฟู่กุ่ยและเจียงฉีฉี

ในคราวนี้ คนหนึ่งก็มาจากตระกูลขุนนาง ส่วนอีกคนก็เป็นองค์หญิง นอกจากนี้ ทั้งสองคนก็ยังมีทักษะวรยุทธ์ที่ดี

ตามการประเมินของซุยเฮ็ง ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็จะต้องอยู่ที่ขอบเขตสกัดปราณขั้นสองเป็นอย่างน้อย

และเมื่อพิจารณาถึงอายุของพวกเขาทั้งสองแล้ว การมีพลังเช่นนี้ก็นับว่าน่าประทับใจมาก

พวกเขามาจากโลกแบบไหน? พวกเขาฝึกฝนวรยุทธ์แบบใด?

นี่คือสิ่งที่ซุยเฮ็งต้องการจะทราบในเวลานี้

โดยเฉพาะอย่างหลัง

ในตอนนี้ ซุยเฮ็งก็ได้มาถึงจุดสูงสุดของขอบเขตก่อเกิดรากฐานแล้ว รากฐานเต๋าของเขาก็ได้เปลี่ยนกลายเป็นมหาสมุทรสีทองแล้ว

อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะจุดเปลวเพลิงที่แท้จริงขึ้นได้อย่างไร เมื่อมีเปลวเพลิงที่แท้จริงเท่านั้น เขาถึงจะสามารถหลอมมหาสมุทรสีทองแห่งนี้ให้กลายเป็นแก่นแท้ทองคำได้

ถ้าพวกเขาทั้งสองคนมาจากโลกแห่งวรยุทธ์หรือโลกแห่งการฝึกตน บางทีพวกเขาก็อาจจะสามารถให้แรงบันดาลใจแก่เขาและหาวิธีที่จะจุดเปลวเพลิงที่แท้จริงของเขาขึ้นมาได้

ท้ายที่สุดแล้ว ภูมิหลังของทั้งสองคนนี้ก็ดูจะไม่ธรรมดาเลย มันคงจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะสอบถามข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากพวกเขาทั้งคู่

ด้วยเหตุนี้เอง ซุยเฮ็งจึงไม่ได้รีบร้อนที่จะเปิดเผยใบหน้าของเขาและไม่ได้แสดงความสามารถมากนัก

เขาจะปล่อยให้เด็กทั้งสองคุกเข่าอยู่ข้างนอกก่อนหนึ่งคืน

“จุ๊จุ๊ ฟู่กุ่ยและฉีฉียังดีกว่านี้เลย” ซุยเฮ็งอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

อาจเป็นเพราะความเคารพต่อปรมาจารย์เซียน หรืออาจเป็นเพราะทั้งสองคนมีบางอย่างที่อยากจะขอร้องเขา

เป่ยฉิงซูและหลี่หมิงเฉียงจึงคุกเข่าอย่างเชื่อฟังจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น

และในที่สุด ซุยเฮ็งก็เดินออกมา อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้มองไปที่พวกเขาทั้งสองคน

เขาทำเพียงแค่ถือตะกร้าและเดินไปที่สวนเพื่อเก็บผักตามปกติ

ดวงตาของเป่ยฉิงซูเกือบจะถลนออกมาเมื่อเห็นการกระทำของซุยเฮ็ง

ปรมาจารย์เซียนผู้นี้ปฏิบัติต่อโอสถเซียน 'ผลไม้สีแดงเพลิง' เหมือนกับผลไม้ทั่วๆ ไป เขาโยนมันลงไปในตะกร้าแล้วเดินกลับไปที่วิลล่าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

นี่คือเรื่องปกติสำหรับปรมาจารย์เซียนอย่างงั้นหรอ?

อย่างไรก็ตาม นั่นคือโอสถเซียนที่สามารถชุบชีวิตคนตายได้เลยนะ!

สำหรับหลี่หมิงเฉียง ความสนใจของเธอก็อยู่ที่การกระทำของซุยเฮ็ง

ในฐานะอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์สูงมาก เธอก็ตระหนักได้ทันทีว่าทุกการเคลื่อนไหวที่ซุยเฮ็งทำนั้นมีแก่นแท้แห่งวรยุทธ์แฝงอยู่ภายใน

ไม่ว่าจะเป็นการก้าวเข้ามาในสวนผัก วิธีที่เขาเด็ดมะเขือเทศ หรือวิธีที่เขาวางมะเขือเทศลงในตะกร้า… ในสายตาของหลี่หมิงเฉียง พวกมันก็ล้วนเป็นการเคลื่อนไหวอันลึกล้ำ

ดวงตาของเธอเป็นประกาย

สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์เซียน ทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนแฝงไว้ด้วยเต๋าอันยิ่งใหญ่!

“ลุกขึ้น”

ในขณะนี้ เสียงของซุยเฮ็งก็ดังออกมาจากในวิลล่า

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด