ตอนที่แล้วตอนที่ 12-2 กลายเป็นเทพ?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 12-4 เหตุการณ์สำคัญ

ตอนที่ 12-3 แบ่งสมบัติ


ภายในห้องมิติใต้ปราสาทเลือดมังกร

เดเลียภรรยาของลินลี่ย์กำลังฟังเขาเล่าเหตุการณ์ในสุสานเทพเจ้า  ขณะที่นางฟัง นางรู้สึกกลัวโดยเฉพาะตอนที่เขาอธิบายถึงตอนที่เผชิญหน้ากับนาคราชในชั้นที่สาม....

รู้สึกกังวลกับประสบการณ์เฉียดตายของบาร์เกอร์

รู้สึกตกตะลึงพลังที่น่ากลัวของอสูรจ้าวอัคคีบนชั้นที่หก

รู้สึกหวาดผวาที่ลินลี่ย์เกือบต้องตายภายใต้รากเถาของนางพญาแลชเพิล

“ปีศาจดาบอเวจีเป็นล้าน!”  เดเลียพอได้ยินสิ่งที่ลินลี่ย์เผชิญเจอบนชั้นที่สิบเอ็ดถึงกับตะลึงค้าง “เมื่อตอนที่เราส่งกองทัพออกไปสู้กับศาสนจักรเจิดจรัสและลัทธิเงาซึ่งรวมกำลังสู้กับเรา  ข้าเห็นกองทัพห้าแสน  ห้าแสนของทหารธรรมดาเหมือนกับทะเลมนุษย์ไม่มีขอบเขต และนับกันไม่ไหว”

“ถูกแล้ว  พวกมันมีจำนวนมากไม่มีที่สิ้นสุด”

ลินลี่ย์อดนึกย้อนไปถึงฉากภาพนั้นไม่ได้ ตอนนี้ทันทีที่พวกยอดฝีมือออกมาจากพื้นที่ใต้ดินปีศาจดาบอเวจีเกือบล้านตนคลุมเต็มท้องฟ้าไปหมดใช้พลังดาบโจมตีลงมาข้างล่างพร้อมกันด้วยพลังดาบโจมตีระยะไกลตอนนั้นเหมือนกับเหตุการณ์วันสิ้นโลกทำให้ราชสีห์ทองหกตาพี่ชายคนรองของสามราชสีห์ตาย

“เล่าให้ข้าฟังอีก เจ้าหลบหนีออกมาได้ยังไง และเจ้าได้รับประกายศักดิ์สิทธิ์ในสภาพแวดล้อมนั้นได้ยังไง”  เดเลียรบเร้า

ตอนนี้เดเลียรู้ดีแล้วว่านางเพิ่มเริ่มหลอมรวมกับประกายศักดิ์สิทธิ์ไปบางส่วน  นางอาจนับได้ว่าเป็นเพียงครึ่งเทพ  แม้ว่าสนามพลังเทพของนางยังไม่สมบูรณ์และนางไม่สามารถประยุกต์ความรู้กฎธาตุที่ลึกซึ้งออกมาใช้ได้เลย  ถ้านางอยู่ที่สุสานเทพเจ้าชั้นที่สิบเอ็ดก็มีแนวโน้มว่าจะถูกปีศาจดาบอเวจีรุมสังหารนางได้แน่

ทันใดนั้นลินลี่ย์อธิบายต่อไปว่ายอดฝีมือต้องเสี่ยงทุ่มทุกอย่างเพื่อไปให้ถึงอุโมงค์  เขาอธิบายถึงตอนจบที่เขาเข้าไปขัดขวางปีศาจดาบอเวจีเหล่านั้น และวิธีที่เขาถูกพวกปีศาจไล่ล่าในใต้ดินก่อนในที่สุดเขาจึงได้ทำความเข้าใจ ‘สัจธรรมแห่งความเร็ว’

“เฮ้อ”  หลังจากลินลี่ย์เล่าเรื่องจบแล้วในที่สุดเดเลียค่อยผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก

เดเลียเงยหน้ามองดูลินลี่ย์

เดเลียยังจำได้ว่าเวลาหลายปีผ่านไปอย่างไร ลินลี่ย์คืออัจฉริยะจอมเวทแห่งสถาบันเอินส์  และตอนนี้ลินลี่ย์เป็นสุดยอดฝีมือผู้มีอำนาจเหนือปีศาจดาบอเวจีเป็นล้านได้  นางอดภูมิใจในตัวสามีไม่ได้

“เจ้ามองอะไร?” ลินลี่ย์หัวเราะ

“มองดูเจ้านั่นแหละ” สีหน้าของเดเลียตอนนี้เหมือนเด็กสาวบริสุทธิ์ไร้เดียงสา

ลินลี่ย์เริ่มหัวเราะ “จริงสิ เดเลีย เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง,ข้าควรจะจัดการกับประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามนี้ยังไงดี?  ยอดฝีมือทั้งหมดล้วนมีท่าทางให้ความสนใจข้า แต่แน่นอนหลังจากได้รับคำแนะนำจากท่านลอร์ดเบรุตแล้ว  บางทีพวกเขาอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้”

ลินลี่ย์ต้องยอมรับว่าเดเลียเข้มแข็งมากกว่าเขาในเรื่องมนุษยสัมพันธ์

“ลินลี่ย์! โธ่เอ๊ย..”  เดเลียอดถอนหายใจหัวเราะไม่ได้  พลางส่ายหน้า “เจ้าน่ะ จริงๆ เลยนะ... ข้าไม่ต้องการจะพูดมากอีกแล้ว  ในสุสานเทพเจ้า บรรดายอดฝีมือฝ่ายมนุษย์ เดลี่,โอลิเวอร์, เฟน, โรซารี่และถูลี่ แน่นอนว่าในห้าคนนี้มีเดลี่ที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเรามากที่สุดไม่ใช่หรือ?  ตามคำพูดของเบรุต โอลิเวอร์มีศักยภาพสูงมาก!”

“แต่เมื่อคิดดูแล้วเฟนได้รับมุกชีวิตไปแล้ว ขณะที่ถูลี่และโรซารี่แต่ละคนก็ได้รับสมบัติเทพโอลิเวอร์กับเดลี่กลับตรงกันข้าม ไม่ได้มีอะไรติดมือเลย”

เดเลียหัวเราะขณะมองดูลินลี่ย์  “ศักยภาพของโอลิเวอร์สูงล้ำ  ขณะที่เดลี่มีสัมพันธ์ที่ดีกับเราทั้งสองควรดึงเข้ามาสนิทกับเรา  แต่..พวกเขาทั้งสองไม่ได้รับอะไรเลย”

ลินลี่ย์อ้าปากค้าง แต่ไม่รู้จะพูดอะไร

“ลินลี่ย์! สถานะของเจ้าตอนนี้แตกต่างไปแล้วเมื่อเทียบกับในอดีต  เจ้าคือเสาหลักของจักรวรรดิบาลุคเรา  เจ้าไม่อาจตัดสินใจอย่างปกติธรรมดาได้อีกต่อไป”  เดเลียกล่าว “ดูสิ, ตอนนี้, ในสังคมของมนุษย์ทวีปยูลานมหาอำนาจที่ทรงพลังมากที่สุดก็คือ จักรวรรดิยูลานและจักรวรรดิโอเบรียนเพราะพวกเขามีเทพสงครามและมหาพรต”

“ขอเพียงมีนักสู้ชั้นเทพก็จะทำให้จักรวรรดิอายุยืนยาว”

“ต่อให้เจ้ากลายเป็นเทพ, ลินลี่ย์! ก็มีแนวโน้มว่าเมื่อเทียบกับเทพสงคราม ก็ยังยากที่เจ้าจะเอาชนะพวกเขาได้ที่สำคัญพวกเขาเป็นเทพมาอย่างยาวนานแล้ว”

ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย

อำนาจของเทพสงครามและมหาพรตยิ่งใหญ่มากกว่าที่เขาหวัง

เดเลียถอนหายใจ “เดลี่เองก็อาศัยอยู่ชายแดนจักรวรรดิบาลุคและธิดาของเขาก็แต่งงานกับเรย์โนลด์สหายสนิทของเจ้า เจ้าควรจะดึงเดลี่มาอยู่ฝ่ายเราและทำให้เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”

“แต่แน่นอนขณะที่ดึงคนอื่นเข้ามาใกล้ก็เป็นเรื่องสำคัญ การเสริมสร้างความเข้มแข็งคนของเราเองเป็นเรื่องสำคัญกว่า”  เดเลียกล่าว “ดังนั้น, ข้าคิดว่าในสามประกายศักดิ์สิทธิ์นั้น  ต้องให้วอร์ตันน้องชายเจ้าหนึ่งประกายหรือไม่ก็พี่น้องบาร์เกอร์คนใดคนหนึ่ง”

“ประกายศักดิ์สิทธิ์ที่สองควรจะสงวนไว้ให้เดลี่”

“สำหรับประกายที่สาม ตอนนี้แค่ถือครองเอาไว้ในกรณีที่เราต้องการใช้มันทันที ตัวอย่างเช่นถ้าเทพสงครามหรือมหาพรตมาขอในนามศิษย์คนหนึ่ง หรือเช่น ถ้าไดลิน, หรือซีซาร์มา ทั้งสองก็เป็นไปได้ ไดลินมีบุตรชาย  ขณะที่ซีซาร์มีโรซารี่ การที่พวกเขาเป็นหนี้เรานั่นนับเป็นเรื่องที่ดี”

เมื่อได้ยินเดเลียวิเคราะห์แล้ว ลินลี่ย์รู้สึกเหมือนกับว่าความลึกลับที่รุมเร้าเขาได้รับการคลี่คลายทันที

“ดีแล้วเดเลีย เราจะทำตามสิ่งที่เจ้าพูด”  ลินลี่ย์พยักหน้า

เดเลียพูดต่อ “ลินลี่ย์ สำหรับสมบัติวิเศษสิบชิ้นของเจ้า ดาบศึกแดงสามเล่มและดาบของปีศาจดาบอเวจีอีกพันเล่ม.. เท่าที่ข้าดูแล้วดาบของปีศาจดาบอเวจีน่าจะเก็บเอาไว้ชั่วคราว ของเหล่านั้นถือได้ว่าเป็นสมบัติพิทักษ์จักรวรรดิของเรา  ที่สำคัญทุกเล่มเทียบได้กับดาบหนักอดาแมนเทียมของเจ้า นอกจากนี้ถ้าเรานำดาบเหล่านั้นออกมาในรวดเดียวความวุ่นวายจะเกิดขึ้นในทวีปได้”

ลินลี่ย์พยักหน้า

“สำหรับสมบัติเทพทั้งสิบสามชิ้นรวมทั้งดาบศึกสีแดงจัดการได้ง่ายมาก  แบ่งออกไว้ในครอบครัวหรือบางทีเจ้าอาจมอบให้เดลี่สักชิ้นหรือสองชิ้น สมบัติเทพแบ่งได้ง่ายมาก” เดเลียกล่าว

ลินลี่ย์เริ่มหัวเราะ “ได้เลย อย่างไรก็ตาม ต้องมีสักหนึ่งในสิบสามชิ้นที่เจ้าควรจะเลือกไว้ด้วย”

“อะไรนะ?” เดเลียถามด้วยความสงสัย

ลินลี่ย์พลิกมือดึงชุดเกราะเทพออกมาจากแหวนมิติเก็บสมบัติ  “เดเลีย, เกราะรบชั้นเทพนี่เป็นของเจ้า”

“หือ?”  เดเลียอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นนางพูดทันที  “ลินลี่ย์, เจ้าคือเสาหลักของจักรวรรดิ  เจ้าควรเป็นคนที่สวมเกราะเทพนี้”

ลินลี่ย์เริ่มหัวเราะ “ไม่ต้องหรอก เดเลีย ที่สำคัญที่สุดคือข้ามีมุกชีวิตอยู่แล้ว  ประการที่สอง.. เมื่อข้าเข้าถึงระดับเทพ.. เจ้าต้องเข้าใจก่อนว่าเวท‘เกราะผู้พิทักษ์ดินศักดิ์สิทธิ์สามารถใช้ได้ดีกับระดับเทพได้เช่นกัน  ในเวลานั้น...พลังป้องกันของเกราะเทพดินก็เทียบเท่ากับเกราะรบเทพของเจ้าแล้ว”

“อย่างนั้นก็มอบให้วอร์ตัน ที่สำคัญข้าหลอมรวมกับประกายศักดิ์สิทธิ์แล้ว”  เดเลียกล่าว

ลินลี่ย์ส่ายศีรษะ “ไม่จำเป็น เจ้าบอกอยู่เองไม่ใช่หรือ? หนึ่งในสามประกายศักดิ์สิทธิ์จะต้องถูกเก็บไว้เพื่อคนของเราเอง  ในอีกไม่กี่วันข้าจะถามวอร์ตันว่าเขายินดีจะหลอมรวมกับประกายเทพหรือไม่  ถ้าเขายินดี อย่างนั้นเขาจะกลายเป็นเทพ  ถ้าเขาไม่ยินดี  อย่างนั้นหลังจากที่ข้าเสร็จเรื่องสุดท้ายแล้วข้าจะให้มุกชีวิตกับเขา”

“เรื่องสุดท้าย?” เดเลียตกใจ  “ลินลี่ย์,เจ้าพูดถึง..?”

ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย“ข้าดูเรื่องนี้มานานแล้ว  นานมากแม้แต่ตอนนี้, ข้าก็ยังไม่มั่นใจเต็มที่ พวกเขาไม่มีความสามารถทำร้ายข้าได้อย่างแน่นอน”

………..

วอร์ตันเกษียณตัวเองและยกราชสมบัติให้โอรสของเขา ซีนาบาลุคเป็นจักรพรรดิใหม่ของจักรวรรดิบาลุค

หลังจากรู้ว่าลินลี่ย์กลับมาแล้ว วอร์ตันรีบบินมายังปราสาทเลือดมังกรทันทีและชาชาธิดาของลินลี่ย์กลับมาพร้อมด้วยเช่นกัน ห้าพี่น้องบาร์เกอร์กลับมารวมตัวพร้อมหน้าพร้อมตากันในครั้งนี้  ทุกคนที่ติดตามลินลี่ย์มานานหลายปีมาประชุมกันในโถงใหญ่

ลินลี่ย์ถามวอร์ตันว่าเขายินดีจะหลอมรวมกับประกายศักดิ์สิทธิ์และกลายเป็นเทพหรือไม่ ที่สำคัญคือวอร์ตันเป็นนักรับเลือดมังกรระดับเซียนได้ด้วยตนเองแล้ว

แต่การสนองตอบของวอร์ตันทำให้ลินลี่ย์ต้องยอมแพ้

“พี่ใหญ่,ถ้าข้าต้องผสานกับประกายศักดิ์สิทธิ์ในสายธาตุที่ท่านมอบให้ข้า หลังจากนั้นข้าจะกลายเป็นเทพชั้นต้นสายธาตุดิน อย่างนั้นข้าจะฝึกในทางกฎธาตุไฟต่อไปได้หรือไม่?”

“คงฝึกไม่ได้ เมื่อเจ้ากลายเป็นเทพชั้นต้นสายธาตุดิน ความสามารถในการรู้สึกถึงธาตุชนิดอื่นจะตกลงไปมาก ขณะที่ความสามารถในการรู้สึกถึงธาตุดินของเจ้าจะเพิ่มขึ้นอีกมาก เทพชั้นต้นสายธาตุดินจะพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับการรู้แจ้งในกฎธาตุไฟ”

“พี่ใหญ่, ท่านมีประกายเทพสายธาตุไฟบ้างไหม?”

“ข้าไม่มี”

“อย่างนั้นข้าจะไม่ใช้”

คำตอบของวอร์ตันง่ายและตรง เมื่อมาถึงระดับเซียน วอร์ตันเริ่มเดินตามเส้นทางของกฎธรรมชาติธาตุไฟ  แม้ว่าวอร์ตันเพิ่งจะได้รับการรู้แจ้งบ้างแต่เขาเพลิดเพลินกับการเข้าใจถึงกฎธรรมชาติธาตุไฟ

ลินลี่ย์ไม่เถียงกับเขา

เขาเข้าใจน้องชายของเขา เพราะเขาเองก็เหมือนกัน เหมือนกับว่าความรู้สึกของวิญญาณกลายเป็นหนึ่งเดียวกับธาตุดินหรือกับธาตุลม เขาชอบความรู้สึกอิสระของธาตุลมและความกว้างใหญ่ของธาตุดิน  สำหรับลินลี่ย์การฝึกฝนกับกฎธรรมชาติธาตุลมและธาตุดินเป็นการผ่อนคลายและเพลิดเพลินประการหนึ่ง

ถ้าใครบางคนให้ประกายศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟลินลี่ย์และบอกให้เขาหลอมรวมกับประกายนั้น  ลินลี่ย์คงไม่ยินดีทำแบบนั้นเช่นกัน

เพราะ...

เมื่อประกายศักดิ์สิทธิ์สายธาตุไฟถูกหลอมรวมเขาจะกลายเป็นเทพชั้นต้นสายธาตุไฟทันทีซึ่งจะทำให้เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรู้แจ้งกฎธาตุธรรมชาติอื่นๆ

“การต้องเป็นเทพชั้นต้นธาตุไฟ และเลิกฝึกสัจธรรมแห่งธาตุดินและธาตุลมน่ะหรือ?”  ลินลี่ย์ส่ายศีรษะ

นอกจากนี้  ยังมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างการกลายเป็นเทพโดยใช้ประกายศักดิ์สิทธิ์และระหว่างการสำเร็จเป็นเทพด้วยตนเอง

จากนั้นลินลี่ย์ถามพี่น้องบาร์เกอร์

เกทส์และพี่ๆทั้งสามยืนยันว่าบาร์เกอร์พี่ใหญ่ของพวกเขาจะเป็นคนหลอมรวมกับแก่นประกายศักดิ์สิทธิ์ขณะที่บาร์เกอร์เองเก็เกิดมาทางสายธาตุดินอยู่แล้วดังนั้นลินลี่ย์จึงมอบประกายเทพสายธาตุดินให้บาร์เกอร์เขาเริ่มหลอมรวมกับประกายศักดิ์สิทธิ์และจะเริ่มฝึกสันโดษ

ในสวนด้านหลังปราสาทเลือดมังกร

บุรุษหนุ่มทั้งสี่คนนั่งล้อมโต๊ะกลมดื่มสรวลเสเฮฮากันลั่นสี่สหายนี้ก็คือ ลินลี่ย์ เรย์โนลด์ เยล จอร์จ

“สิบกว่าปีแล้วที่เราสี่พี่น้องไม่ได้พบเจอกัน มาเถอะดื่มฉลองกัน..ทุกคน!”  เยลหัวเราะลั่นพลางกล่าว  ตอนนี้ ในสี่คนนี้เยลคือคนที่มีพลังอ่อนที่สุดแต่แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงจอมเวทระดับเจ็ด แต่เขาก็ได้อายุขัยหลายร้อยปี

รูปลักษณ์ของพวกเขาดูเหมือนยังหนุ่มเยาว์วัย

“พี่ใหญ่เยล,ขอแสดงความยินดีด้วยที่ท่านได้เป็นประธานกรรมการหอการค้าดอว์สัน”  ลินลี่ย์หัวเราะ

ลินลี่ย์ยินดีเป็นที่สุดได้อยู่พร้อมหน้าสหายสนิทสมัยเยาว์วัยอย่างพร้อมหน้า

“ฮ่าฮ่า, น้องสาม, ข้าไม่อาจเทียบเจ้าได้แม้แต่น้อย”  เยลหัวเราะเบาๆ จากนั้นตบไหล่จอร์จ  “น้องรองเราสองคนตามน้องสามและน้องสี่ไม่ทันแล้ว น้องสามไม่ต้องพูดถึง เขาเข้าถึงระดับเซียนมานานแล้ว หลังจากก่อตั้งจักรวรรดิบาลุคและแต่งงานก็ประมาณ.. ยี่สิบสี่ปีแล้วใช่ไหม? ยี่สิบสี่ปีที่ผ่านมา น้องสี่ของเราที่ก่อนนั้นยังเป็นจอมเวทระดับเจ็ดตอนนี้กลายเป็นระดับเก้าไปแล้ว  แต่สองเราล่ะ?”

จอร์จเริ่มหัวเราะเหมือนกัน  “พี่ใหญ่เยล, อย่าดึงข้าไปรวมกับเจ้า  เมื่อสองปีที่แล้วข้าเพิ่งจะได้เลื่อนเป็นจอมเวทระดับแปดแล้ว ข้าระดับสูงกว่าเจ้า”

นี่คือปีปฏิทินศักราชยูลานที่ 10034  ลินลี่ย์แต่งงานเมื่อปี 10010

ยี่สิบสี่ปีแล้ว

แน่นอนว่า สำหรับสุดยอดฝีมือพวกเขาอาจเข้าถือสันโดษฝึกวิชาครั้งละเป็นร้อยปีสองสามทศวรรษยังไม่นับว่าเท่าใดนัก

“ข้ามัวแต่ยุ่งเลยไม่มีเวลาพอสำหรับฝึกฝน  โชคดีแค่ไหนแล้วที่อย่างน้อยข้าได้เป็นจอมเวทระดับเจ็ด” เยลหัวเราะลั่น

จอร์จเป็นมหาเสนาบดีคนสำคัญของจักรวรรดิยูลาน  ขณะที่เยลวุ่นวายกับการจัดการกิจการของหอการค้าความจริงพวกเขามีเวลาฝึกฝนไม่พอ

“น้องสาม” เยลตบไหล่ของเขาสองครั้ง  “ชีวิตของเจ้าน่าสนใจอย่างแท้จริง เจ้าก่อตั้งจักรวรรดิใหญ่โตและกลายเป็นสุดยอดฝีมือของทวีปได้  มีเด็กรุ่นใหม่เลือดร้อนหลายคนของทวีปต้องการใช้เจ้าเป็นเป้าหมายแบบอย่างวัยรุ่นเลือดร้อนเหล่านั้นก็เหมือนกับเราสี่พี่น้องในอดีต!”

ลินลี่ย์ จอร์จ เยลและเรย์โนลด์เงียบไปครู่หนึ่ง

พวกเขาอดนึกย้อนกลับไปไปสมัยอายุเยาว์ไม่ได้

เรย์โนลด์หัวเราะขึ้นทันที “พี่ใหญ่เยลตอนนี้เจ้าเป็นผู้อำนวยการของหนึ่งในสามหอการค้ายิ่งใหญ่ของทวีปยูลานแล้วความมั่งคั่งของเจ้าแข่งกับจักรวรรดิเหล่านั้นได้ เหมือนอย่างที่เจ้าบอก เจ้าควรจะพอใจด้วยไม่ใช่หรือ?”

“ยังไม่พอ ยังมีอีกสองสหภาพการค้า”  ตาของเยลเป็นประกาย  “ความจริงข้าต้องการกลืนทั้ง ‘สมาคมเกาะหิมะ’ และกลุ่มการค้าเกียร์  โชคไม่ดี มันยังยากเกินไป  และนั่นทำให้การแข่งขันน่าสนใจ”

ลินลี่ย์ยืนขึ้น

“ใช่แล้ว มีแต่เรื่องยากเป็นเรื่องที่ท้าทาย”  ลินลี่ย์เชิดหน้ามองฟ้า

ทวีปยูลานเป็นแค่พิภพที่อาศัย  ในจักรวาลกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต  ยังมีพิภพนับไม่ถ้วน และเหนือพิภพธรรมดาขึ้นไปยังมีสี่พิภพชั้นสูง  และเจ็ดแดนมหาเทพ

เขาเองไม่มีอะไรมากไปกว่าสุดยอดของทวีปยูลาน

“เดินไปสู่จุดสูงสุดของการฝึก! แค่เรื่องนั้นก็น่าสนใจและท้าทายแล้ว” ลินลี่ย์มีรอยยิ้มที่มุมปาก

“แต่ก่อนจะทำเช่นนั้นยังมีเรื่องสำคัญที่ข้าต้องทำ”  ลินลี่ย์อดหันไปมองทางทิศตะวันตกไม่ได้ที่ตั้งของเกาะศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักรเจิดจรัส

ลินลี่ย์ยังจำถึงความตายของปู่เดลินได้ ยังจำถึงคำสาบานเมื่อเขาออกจากเมืองเฮสเข้าสู่เทือกเขาอสูรวิเศษได้  “ศาสนจักรเจิดจรัสจงรอก่อนเถอะ จะต้องมีวันที่ข้าทำลายพวกเจ้าและขุดรากถอนโคนพวกเจ้าให้ได้”

“ได้เวลาแล้ว” ลินลี่ย์พึมพำกับตนเอง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด