ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 133 ทะลวงเข้าสู่ขั้นสอง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 135 เม็ดยารวบรวมพลังปราณหนึ่งพันเม็ด

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 134 จอมยุทธ์ขั้นสอง


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 134 จอมยุทธ์ขั้นสอง

แปลโดย iPAT  

ทันใดนั้นเสี่ยวอันที่นอนอยู่บนพื้นก็กระโจนไปด้านหลังหลี่ฉิงซานและวางนิ้วกระดูกไว้ด้านหลังศีรษะของอีกฝ่าย

หลี่ฉิงซานรู้สึกราวกับได้ยินเสียงปืน พลังปราณของเขาพุ่งทะยานเข้าสู่เส้นชัย เขื่อนด่านสุดท้ายถูกกระแสน้ำพังทลายลงทันที

แผนที่ดวงดาวสว่างไสวขึ้น พลังปราณไหลเวียนไปรอบๆโดยไม่มีสิ่งกีดขวาง

หลี่ฉิงซานกลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นสองในที่สุด!

เมื่อจุดชีพจรเปิดออก ร่างกายของเขาก็เปลี่ยนไป

หลี่ฉิงซานเปิดเปลือกตา เขามองเห็นสิ่งต่างๆได้ชัดเจนขึ้นราวกับชั้นฝุ่นละอองถูกปัดเป่าออกไป เสียงร้องของแมลงจากนอกหน้าต่างชัดเจนขึ้นในโสตประสาทของเขา เขารู้สึกราวกับสามารถนับจำนวนแมลงที่ส่งเสียงออกมา กระทั่งเสียงของใบไม้ที่ร่วงลงบนหลังคา เขาก็ยังรู้สึกเหมือนเสียงฟ้าร้อง

ความสามารถในการดมกลิ่นของเขาเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดแต่เขายังสามารถได้กลิ่นหอมของดอกไม้แต่ละดอกรวมถึงกลิ่นหญ้าที่อยู่ด้านนอก

นี่คือความแข็งแกร่งทางประสาทสัมผัสทั้งห้าที่มาพร้อมกับการเปิดจุดชีพจร

เมื่อเขาลุกขึ้นจากเตียงและเหยียบพื้น เขารู้สึกว่าร่างกายของเขาเบามาก ตราบเท่าที่เขาใช้กำลังเพียงเล็กน้อย เขารู้สึกว่าตนเองสามารถทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

เขาสะบัดมือออกไปอย่างไม่ตั้งใจ แต่พลังปราณกลับปะทุออกจากฝ่ามือของเขา มันพุ่งเข้าปะทะกำแพงที่อยู่ในระยะไกลและทิ้งรอยฝ่ามือเอาไว้ที่นั่น

ทุกการเคลื่อนไหวของเขาราบรื่นและเป็นธรรมชาติโดยที่เขาไม่ต้องพยายาม

เหมือนกับจักรพรรดิในประวัติศาสตร์ที่สร้างคลองขนาดใหญ่เชื่อมดินแดนทางตอนเหนือและใต้ทำให้ผู้คนสามารถเคลื่อนย้ายและขนส่งสินค้าได้อย่างอิสระ ความพยายามดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจทั่วประเทศเจริญรุ่งเรืองขึ้น จุดชีพพรที่เชื่อมต่อกันเหมือนจุดศูนย์กลางการคมนาคมในลักษณะเดียวกัน

เขาเปิดปากและสูดอากาศเข้าไป อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาดูดซับไม่ใช่อากาศแต่เป็นปราณจิตวิญญาณในธรรมชาติ

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การเชื่อมต่อกับปราณจิตวิญญาณโดยตรงแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ถึงการคงอยู่ของปราณจิตวิญญาณเมื่อเขาอยู่ในร่างมนุษย์

หลี่ฉิงซานถอนหายใจเบาๆ เคล็ดวิชาการบ่มเพาะพลังปราณที่มนุษย์คิดค้นขึ้นน่าประทับใจมาก นอกจากนั้นเขายังรู้สึกว่าพลังปราณของมนุษย์ช่วยสนับสนุนปราณปีศาจของเขา เขารู้สึกว่าความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาจะเพิ่มขึ้นเมื่อเขาเปลี่ยนร่างเป็นปีศาจ

บางทีวัวดำอาจต้องการให้เขารวมพลังปราณกับปราณปีศาจเข้าด้วยกันเพื่อให้เขาค้นพบเส้นทางของตนเอง นี่คือสิ่งที่หลี่ฉิงซานคาดเดา อย่างไรก็ตามไม่ว่าเขาจะเดินไปบนเส้นทางใด เขาก็ยังเป็นเพียงกุ้งตัวเล็กตัวน้อยที่พึ่งถือกำเนิด เขายังไม่เฉียดใกล้ความสำเร็จเลยแม้แต่น้อย

หลี่ฉิงซานระงับความตื่นเต้นและความยินดีของเขาขณะกล่าวกับเสี่ยวอันว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าช่วยข้าใช่หรือไม่?” ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เขาสามารถทะลวงผ่านด่านสุดท้ายได้อย่างง่ายดาย

ตอนนี้เปลวไฟสีเลือดในเบ้าตาของเสี่ยวอันค่อนข้างสลัว การกระทำก่อนหน้านี้ทำให้เขาหมดแรง

เสี่ยวอันสามารถมองเห็นพลังปราณที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของหลี่ฉิงซาน ดังนั้นเขาจึงสามารถให้ความช่วยเหลืออีกฝ่ายได้ทันเวลา

เคล็ดวิชากระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์เกี่ยวข้องกับร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นกระดูก เลือด เนื้อ กระทั่งเส้นลมปราณ มันไม่ใช่เรื่องยากที่ผู้ฝึกฝนจะทำลายร่างกายของฝ่ายตรงข้าม แต่เสี่ยวอันยังบ่มเพาะไปไม่ถึงจุดนั้น เขายังไม่บรรลุแม้แต่ขั้นหนึ่ง ดังนั้นหากเขาทำพลาด หลี่ฉิงซานอาจตายทันที ด้วยเหตุนี้เด็กน้อยจึงต้องใช้พลังจิตและระมัดระวังอย่างมาก นี่ทำให้เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยยิ่งกว่าการต่อสู้กับสัตว์ปีศาจ

เสี่ยวอันถือพู่กันและเขียนข้อความบางอย่าง นั่นทำให้หลี่ฉิงซานได้เรียนรู้เรื่องราวทั้งหมด “เคล็ดวิชากระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์ช่างทรงพลังและยิ่งใหญ่จริงๆ หากข้าได้รับความช่วยเหลือจากเจ้า การบ่มเพาะของเขาอาจง่ายขึ้น?”

เสี่ยวอันส่ายศีรษะและเขียนประโยคต่อไป “การเร่งรีบไม่ใช่วิธีที่ดี”

หลี่ฉิงซานกล่าว “ข้าต้องการบ่มเพาะอย่างรวดเร็วที่สุด ข้าต้องหาวิธีใหม่”

เสี่ยวอันถามคำถามสองสามข้อเกี่ยวกับการบ่มเพาะพลังปราณของหลี่ฉิงซาน

หลี่ฉิงซานไม่รู้จะตอบอย่างไร นั่นทำให้เขาตระหนักว่าตนเองยังไม่เข้าใจวิธีบ่มเพาะพลังปราณอย่างสมบูรณ์ เขาถาม “เจ้าเคยบ่มเพาะพลังปราณมาก่อนงั้นหรือ?”

เสี่ยวอันส่ายศีรษะและพยักหน้า จากนั้นเขาก็เขียนต่อ

ปรากฏว่าเมื่อเสี่ยวอันได้ยินวิธีการบ่มเพาะพลังปราณที่หยางซ่งมอบให้หลี่ฉิงซาน เขารู้สึกคุ้นเคย หลังจากได้เห็นหลี่ฉิงซานทะลวงขอบเขต ความรู้สึกคุ้นเคยนี้ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น เขาเข้าใจประเด็นสำคัญหลายจุดและค้นพบว่าวิธีการบ่มเพาะของหลี่ฉิงซานดูเหมือนจะแตกต่างออกไปเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงต้องถาม

เดิมทีหลี่ฉิงซานไม่ได้คิดมากนักแต่หลังจากได้เห็นประเด็นที่เสี่ยวอันถาม เขาก็ตระหนักรู้ขึ้นมาทันที

เขาลูบศีรษะเสี่ยวอันและเผยรอยยิ้มขมขื่น “พรสวรรค์ในการทำความเข้าใจของเจ้าน่ากลัวมากจริงๆ”

แท้จริงแล้วความสามารถในการทำความเข้าใจของหลี่ฉิงซานไม่ได้แย่ ปัญหาคือเขาไม่เคยได้รับคำแนะนำจากผู้ใดมาก่อน

ด้วยการได้รับคำแนะนำจากอาจารย์หรือผู้อาวุโส พวกเขาจะใช้ความพยายามน้อยลงมาก

ในความเป็นจริงเสี่ยวอันไม่ได้ใช้พรสวรรค์ตามธรรมชาติของเขาในการทำความเข้าใจ ความรู้ส่วนใหญ่ซ่อนอยู่ในความทรงจำของเขา

เสี่ยวอันไม่รู้ว่าจะปลอบใจหลี่ฉิงซานอย่างไรขณะที่ฝ่ายหลังยิ้ม “ข้าคงต้องพึ่งพาคำแนะนำจากเจ้าอีกมากในอนาคต แม้มันจะไม่ค่อยสะดวกแต่มันจะดีขึ้นเมื่อเจ้าได้รับร่างใหม่แล้ว อย่ากังวล มันจะไม่นานเกินไป”

หลี่ฉิงซานยังทำสมาธิต่อไปและทำตามคำแนะนำของเสี่ยวอัน เขาฝึกฝนใหม่ตั้งแต่ขั้นที่หนึ่งถึงขั้นที่สี่ของเคล็ดวิชาบ่มเพาะพลังปราณเบื้องต้น นั่นทำให้การบ่มเพาะของเขามั่นคงขึ้นทีละน้อย

หลังจากกินเม็ดยารวบรวมพลังปราณจำนวนมากระหว่างกระบวนการ ตอนนี้เขาค้นพบว่าเขามีเม็ดยารวบรวมพลังปราณเหลืออยู่น้อยกว่าสามสิบเม็ด นี่คือราคาที่มาพร้อมกับการเดินบนสองเส้นทาง เขาอาจไม่สามารถหาเม็ดยาได้เป็นจำนวนมากอีกในอนาคต ดังนั้นเขาจึงต้องคำนวณการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ

ท้องฟ้าสว่างขึ้นขณะที่เสียงเคาะประตูดังขึ้นเช่นกัน หลี่ฉิงซานเปิดประตูบ้านและพบเตียวเฟยกับเฉียนหรงจื่อยืนอยู่ที่ทางเข้า เขาถาม “เกิดสิ่งใดขึ้น?”

เตียวเฟยและเฉียนหรงจื่อกำลังจะพูดแต่สุดท้ายพวกเขาก็ลืมว่าตนเองจะกล่าวสิ่งใด พวกเขาจ้องหลี่ฉิงซานด้วยความตกใจและกล่าวอย่างไม่เชื่อสายตา “เจ้าทะลวงเข้าสู่ขั้นสองแล้วงั้นหรือ?” เมื่อคืนพวกเขายังประหลาดใจกับความเร็วในการบ่มเพาะของหลี่ฉิงซาน แต่วันนี้เขากลับทำให้ทั้งสองต้องประหลาดใจอีกครั้ง มันเหมือนกับหลี่ฉิงซานต้องถอนหายใจกับพรสวรรค์ที่น่ากลัวของเสี่ยวอัน ตอนนี้เตียวเฟยและเฉียนหรงจื่อกำลังรู้สึกเช่นเดียวกัน

หลี่ฉิงซานพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจนัก “ถูกต้อง ข้าใช้เวลาคืนที่ผ่านมาในการบ่มเพาะ หากพวกเจ้าไม่มีเรื่องอื่น ข้าจะกลับไปบ่มเพาะต่อ” เขากำลังจะปิดประตู

“เดี๋ยว! ไม่ใช่ว่าเราคุยกันแล้วงั้นหรือ? ภารกิจทดสอบ!”

หลี่ฉิงซานจำได้ในที่สุด “โอ้ ข้าเกือบลืมไปแล้ว”

ทั้งสองแสดงความยินดีกับหลี่ฉิงซานอย่างไม่เต็มใจ หลังจากจัดระเบียบเล็กน้อย หลี่ฉิงซานก็พาเสี่ยวอันออกไปพร้อมกัน

ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ที่พวกเขาพบระหว่างทางต่างประหลาดใจเมื่อเห็นหลี่ฉิงซาน ทุกคนแสดงความยินดีกับเขาด้วยสีหน้าที่หลากหลาย สำหรับผู้ฝึกตน ไม่มีสิ่งใดน่ายินดีมากไปกว่าการก้าวข้ามขอบเขต ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร พวกเขาก็ต้องรักษามารยาทด้วยการแสดงความยินดี

จอมยุทธ์ขั้นสองเป็นฐานด้านล่างสุดของหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ แต่หลี่ฉิงซานเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งที่สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขั้นสองได้อย่างง่ายดาย เขายังทำให้จอมยุทธ์ขั้นสามตกใจกลัวขณะที่เขายังเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ตอนนี้เขากลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นสอง โดยพื้นฐานแล้วเขากลายเป็นตัวตนระดับแนวหน้าของหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์แห่งเมืองเจียเผิงไปแล้ว

เมื่อมาถึงสำนักงานใหญ่ของหน่วยหมาป่าอินทรีย์ จ้าวจื่อป๋อมารอรับพวกเขาด้วยตนเอง นี่เป็นธรรมเนียมที่ผู้บังคับบัญชาจะมอบภารกิจทดสอบแรกให้สมาชิกใหม่ด้วยตนเอง เมื่อเขาเห็นหลี่ฉิงซาน เขารู้สึกประหลาดใจในตอนแรกแต่เขายังเผยรอยยิ้มกล่าว “เจ้าก้าวหน้าขึ้นแล้ว เจ้ายังเด็กและมีอนาคตที่สดใส โอกาสในอนาคตของเจ้าจะไม่สามารถคาดเดา”

หลี่ฉิงซานตัดบท “ข้าเพียงโชคดี ผู้บัญชาการจ้าว ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าภารกิจทดสอบของพวกเราคือสิ่งใด?”

จ้าวจื่อป๋อโบกมือ ทูตในชุดดำนำเอกสารออกมาให้หลี่ฉิงซาน เมื่อเขาเปิดมันออก กระทั่งคนที่มีความแข็งแกร่งทางจิตใจเช่นเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง