ตอนที่ 49 : ได้อาจารย์
ชูคงไม่เคยคิดว่าเด็กชายผู้เคราะห์ดีที่ได้ของทรงพลังอำนาจมาครองจะแทบไม่มีความรู้ในเรื่องโลกของการบ่มเพาะพลังเลย ชูคงสงสัยด้วยซ้ำไปว่าเด็กชายมาเป็นขอบเขตชำระปราณได้อย่างไร
“บอกข้าซิหลินมู่ เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับขอบเขตบ่มเพาะบ้าง?”
ชูคงถาม
หลินมู่ไม่สะทกสะท้านในคำพูดของชูคงและตอบไปอย่างสุดความสามารถ
“ข้ารู้ว่าขอบเขตบ่มเพาะพลังเริ่มต้นที่ขอบเขตชำระปราณ และขอบเขตต่อมาก็คือขอบเขตรวมแกน ส่วนขอบเขตที่เหนือจากนี้ข้าไม่รู้ เพราะผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของที่นี่ก็คือขอบเขตรวมแกน”
หลินมู่ตอบ
ชูคงผิดหวังเล็กน้อยเมื่อได้ฟังคำพูดของหลินมู่ เขาไม่คิดเลยว่าสมบัติยิ่งใหญ่จะมาร่อนเร่อยู่ในสถานที่ล้าหลังเช่นนี้ แต่เขารู้ว่าถ้าหากของชิ้นนี้เลือกเด็กชายคนนี้ ทางเดียวของชูคงที่จะฉวยโอกาสจากแหวนก็คือการทำให้เด็กชายคนนี้มีชีวิตอยู่รอด
‘ถ้าข้าต้องการดูดซับพลังมิติไปอีกนาน ข้าต้องสอนเด็กคนนี้ ถ้าไม่ทำ เจ้านี่จะต้องสยบต่อโลกบ่มเพาะพลังอันโหดร้ายและตายไปก่อนที่ข้าจะได้ก้าวข้ามคอขวดของตัวเอง’
ชูคงคิดหนัก
หลังจากนั้นไม่นานชูคงก็เริ่มวางแผนในการสอนหลินมู่ สิ่งเดียวที่ดีสำหรับหลินมู่ก็คือการที่เขาไม่รู้จักโลกการบ่มเพาะพลังจึงไร้ซึ่งอคติ นี่คือหนึ่งในข้อด้อยของโลกชั้นต่ำ ผู้บ่มเพาะพลังส่วนมากมักจะลงเอยด้วยการทำตามชุดความคิดบางอย่างที่ผิดหรือมีอยู่แค่ในโลกนั้น
“หลินมู่ เจ้ายินดีจะเรียนรู้เกี่ยวกับโลกแห่งการบ่มเพาะหรือไม่?”
ชูคงถาม
คำพูดของชูคงทำให้หลินมู่ตกใจและพูดไม่ออก ความดีใจเบ่งบานบนใบหน้าหลินมู่หลังจากเข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไรที่จะได้เรียนรู้จากท่านชูคง เขารู้ว่าสิ่งที่เขาขาดก็คือเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับยุทธภพ และทุกสิ่งที่เขารู้มีเพียงการล้มและดิ้นรน ถ้าหากเขามีอาจารย์ที่ดี ทุกอย่างจะง่ายกว่าเดิมอย่างมากและเขาจะก้าวหน้าได้อย่างก้าวกระโดด
“แน่นอน! ท่านชูคง ได้โปรดสอนข้าด้วย”
หลินมู่อุทาน
“ข้าต้องบอกเจ้าก่อน ข้าจะไม่ให้วิชาบ่มเพาะปราณหรือวิชาต่อสู้อะไรกับเจ้า สิ่งที่ข้ารู้มันเข้ากันไม่ได้กับมนุษย์หรือจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเจ้ามาพลังบ่มเพาะที่มากพอ”
ชูคงกล่าว
หลินมู่ไม่สนใจคำพูดของชูคงและยอมรับชูคงทั้งใจ
“ไม่เป็นไรหรอกท่านชูคง ข้ายังขอบคุณที่ท่านยินดีจะสอนข้าอยู่ดี”
หลินมู่ตอบด้วยความนับถือ
ชูคงแอบหัวเราะในใจกับคำตอบของเด็กชายและคิดว่าเขาอาจจะทำให้เด็กชายคนนี้เป็นผู้บ่มเพาะที่ไร้เทียมทานก็ได้
“ข้ามีเงื่อนไขที่เจ้าต้องทำตามอย่างถึงที่สุดถ้าเจ้าอยากจะเรียนกับข้า”
ชูคงพูด
หลินมู่พยักหน้ายอมรับและฟังคำพูดของชูคง
“อย่างแรก เจ้าต้องทำตามคำพูดข้าอย่างเคร่งครัดและไม่สนใจทุกสิ่งที่คนอื่นบอกเจ้าเกี่ยวกับการบ่มเพาะพลังถ้าข้าไม่เห็นด้วย คนบนโลกใบนี้ไม่รู้ความหลากหลายมุมมองของการบ่มเพาะนัก”
“เรื่องที่สอง ยุทธภพนั้นไร้ปราณี เจ้าต้องไร้ปราณีเช่นกันถ้าอยากจะเอาตัวรอด”
“สาม ข้าอยากให้เจ้าอดทนไม่วู่วาม การบ่มเพาะเองนั้นเป็นเรื่องที่ขัดต่อสวรรค์ ดังนั้นเจ้าต้องรู้ว่าเมื่อใดที่จะก้าวหน้าและเมื่อใดที่ต้องถอย ผู้คนมากมายสูญเสียตัวเองไปกับการบ่มเพาะเพราะมิอาจตัดสินตัวเองได้ดี”
ชูคงพูดด้วยน้ำเสียงแสดงอำนาจ
หลินมู่ฟังคำพูดทุกคำของชูคงอย่างตั้งใจ เขาครุ่นคิดและมั่นใจว่าเขาเข้าใจทุกอย่างก่อนจะพูด
“ข้าเข้าใจและยอมรับทุกเงื่อนไขของท่านชูคง”
หลินมู่ตอบอย่างหนักแน่น
ชูคงพยักหน้าในใจและพอใจกับความเด็ดเดี่ยวของหลินมู่
“เช่นนั้น สำหรับบทเรียนแรก ข้าจะสอบเจ้าเรื่องของเขตของการบ่มเพาะพลัง”
ชูคงกล่าว
จากนั้นชูคงจึงอธิบายเรื่องความต่างของขอบเขตบ่มเพาะพลังให้หลินมู่ฟัง ขอบเขตบ่มเพาะนั้นเริ่มจากขอบเขตชำระปราณซึ่งผู้บ่มเพาะจะชำระและเก็บปราณจิตในตันเถียน พวกเขาจะชำระล้างปราณได้โดยการใช้วิชาบ่มเพาะ
ขอบเขตที่สองคือขอบเขตรวมแกน ในขอบเขตรวมแกนผู้บ่มเพาะพลังจะบ่มเพาะปราณที่กลายเป็นวารีในตันเถียนและรวบรวมจนเป็นแกนแข็ง ในการก้าวหน้าของขอบเขตรวมแกนนั้นผู้บ่มเพาะจะต้องเพิ่มขนาดของแกนตัวเอง
ขอบเขตการบ่มเพาะที่ต่อจากนั้นก็คือขอบเขตก่อวิญญาณ ขอบเขตเปลือกวิถี ขอบเขตย่างวิถี และสุดท้ายคือขอบเขตก้าวเซียน ชูคงไม่อธิบายรายละเอียดของขอบเขตบ่มเพาะเหล่านี้เพราะมันจะเป็นอุปสรรคที่จะขัดขวางการบ่มเพาะพลังของหลินมู่
หลังจากหลินมู่ฟังคำของชูคงจนหมดก็ได้บรรลุความจริงของโลก เขายังถามคำถามออกมาบ้างว่าเขาจะกา้วหน้าในขอบเขตชำระปราณได้อย่างไร ชูคงไม่แน่ใจว่าหลินมู่จะสื่ออะไร
“วิชาบ่มเพาะของเจ้าน่าจะอธิบายแล้วนี่”
ชูคงพูด
หลินมู่สับสนเพราะเขาไม่ได้คำอธิบายอะไรมาตอนที่ได้รับพระสูตรเก้าจิตเทพจากแหวน เขายังสงสัยเรื่องวิชาที่ไม่อธิบายว่าเส้นปราณใดมีไว้เพื่อไหลเวียนพลังปราณ
ทางเดินของเส้นปราณที่เขาใช้ตอนนี้นั้นเขาเลือกด้วยตัวเองและไม่ได้เรียนรู้จากเคล็ดตำรา หลินมู่สงสัยว่าเขาทำพลาดในตอนที่เลือกทางเดินปราณหรือไม่
“แต่ท่าน ข้าไม่ได้รับคำอธิบายอะไรเลยตอนที่แหวนถ่ายทอดวิชาบ่มเพาะให้ข้านะ”
หลินมู่ตอบ
“แหวนถ่ายทอดรึ? จากแหวนน่ะรึ?”
ชูคงพูดในใจ
“เจ้าฝึกวิชาบ่มเพาะอะไรอยู่?”
ชูคงถาม
“มันชื่อพระสูตรเก้าจิตเทพ ข้ารู้มันแค่สองส่วนแรกเท่านั้น”
หลินมู่ตอบ
“ทำให้ข้าดูซิ”
ชูคงพูด
หลินมู่พยักหน้า เขานั่งสมาธิและท่องบทสงบใจ จากนั้นเขาก็ท่องบทพรากดวงใจ ชูคงไม่ได้สนใจในทีแรก แต่เมื่อหลินมู่ท่องบทต่อไปความสับสนก็เริ่มเกิดขึ้น ซึ่งจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นความตกใจ
‘รังสีแห่งวิถีพุทธและวิถีดาบรึ? สองวิถีบ่มเพาะพลังที่ต่างกันในวิชาเดียว เป็นไปได้ยังไง?’
ชูคงคิดในใจ
เพื่อแก้ข้อสงสัย ชูคงถามหลินมู่เรื่องเส้นทางปราณที่เขาใช้ หลินมู่จึงอธิบายว่าเขาเลือกทางเดินปราณเองตอนที่กินผลไม้วิญญาณสีม่วงขนาดเท่าผลองุ่น
‘เด็กคนนี้เลือกทางเดินปราณสำเร็จได้ด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าอาจจะโง่เขลาในโลกการบ่มเพาะ แต่หากทำเช่นนี้ได้ก็นับว่าเป็นอัจฉริยะ’
‘เด็กคนนี้เข้าถึงวิถีแห่งการกำเนิดโดยไม่รู้ตัว ถ้าหากพวกสัตว์ประหลาดเฒ่าได้รู้เรื่องนี้ พวกมันคงเริ่มทำสงครามเพียงเพื่อรับเด็กคนนี้เป็นศิษย์แน่’
ชูคงคิด
‘ถึงแม้ว่าการกินผลไม้จิตที่ไม่รู้จักจะเป็นเรื่องโง่เขลา แต่ก็โชคดีที่รอดชีวิตและไม่ระเบิดออกมาได้’
ชูคงคิดต่อไป
หลินมู่กังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะชูคงไม่ตอบอะไรเขาหลังจากผ่านเวลามาระยะหนึ่ง เขาเริ่มสงสัยว่าเขาทำอะไรผิดพลาดไปหรือไม่
“ข้าไม่คิดว่าพระสูตรเก้าจิตเทพคือวิชาบ่มเพาะหรอก หรือไม่มันก็ไม่ใช่วิชาบ่มเพาะเสียทีเดียว”
ชูคงพูด
“ถ้าเช่นนั้นมันคือวิชาอะไรเล่า?”
หลินมู่ถามด้วยความร้อนใจ
“ถ้าให้ข้าเดา มันน่าจะเป็นวิชาบ่มเพาะช่วย วิชาบมเพาะช่วยคือวิชาสนับสนุนที่มักจะช่วยปกปิดจุดบกพร่องและข้อด้อยของวิชาบ่มเพาะของจริง”
ชูคงอธิบาย
“อย่างที่เจ้าพูด บทสงบใจนั้นช่วยให้เจ้าสงบขึ้น ส่วนบทพรากดวงใจนั้นทำให้จิตใจเจ้าแน่วแน่ กดความรู้สึกของเจ้าไป ทั้งสองสิ่งนั้นมีประโยชน์กับผู้บ่มเพาะที่ฝึกวิชาบ่มเพาะที่สุดขั้ว”
ชูคงบรรยาย
หลินมู่งุนงงเมื่อได้ฟังคำอธิบายของชูคง
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ต้องการวิชาบ่มเพาะใหม่สินะ?”
หลินมู่ถามด้วยความหนักใจ
“ไม่ เจ้าแค่ฝึกตนอย่างที่เจ้าเคยทำมา เจ้าคงไม่เข้าใจตอนนี้ แต่วิธีการที่เจ้ากำลังใช้อยู่จะเป็นข้อได้เปรียบสำหรับเจ้าในอนาคต แม้ว่าเจ้าอาจจะก้าวหน้าได้ช้าลงก็ตาม”
ชูคงตอบ
ชูคงถามเขาต่อไปเพราะอยากจะยืนยันถึงระดับของแหวน
“เจ้าได้อะไรจากแหวนมาอีกบ้าง?”
ชูคงถาม
หลังจากได้ฟังคำถามของชูคง หลินมู่ก็อธิบายเกี่ยวกับสองพลังที่ได้มาจากแหวนในทันทีที่เขาทะลวงพลังเป็นขอบเขตชำระปราณและพลังในการเปิดรอยแยกมิติของแหวน จากนั้นจึงบอกว่าเขาได้ตำราหมัดทลายศิลาและของสิ่งอื่นมากมายจากรอยแยกมิตินั้น
‘เด็กคนนี้มีแต่เรื่องประหลาดรึไงกัน’
ชูคงคิดในใจพลางหัวเราะเบา ๆ