ตอนที่ 45 : เนตรทองคำจับจ้อง
หลินมู่เดินวนรอบรอยแยกทมิฬด้วยความสงสัย มันไม่เหมือนกับสิ่งใดที่เขาเคยเห็นมาก่อนเลย สายลมที่พัดพาใบไม้และฝุ่นดินมานั้นพัดรอบรอยแยกทมิฬและหายไปในไม่กี่วินาทีทิ้งใบไม้และฝุ่นดินเอาไว้ด้านล่าง
หลินมู่มองดูรอยแยกทมิฬอยู่สามสิบนาทีและสังเกตว่าสายลมรุนแรงนั้นจะมาทุกไม่กี่วินาทีและจะหายไปหลังจากพัดรอบรอยแยกทมิฬไม่กี่ครั้ง หลังจาก 30 นาทีเขาเห็นกองดินและใบไม้ที่ด้านล่างรอยแยกทมิฬ
‘นี่มันประหลาดแล้ว’
หลินมู่คิด
หลินมู่เดินสำรวจพื้นที่โดยรอบเพื่อดูว่ามีรอยแยกทมิฬอีกหรือไม่ เขาค้นหาใน 200 เมตรแต่ก็ไม่เจอรอยแยกทมิฬอื่นเลย เขาที่อึ้งกับรอยแยกทมิฬกำลังจมอยู่ในความคิด
‘ข้าจะรอดูรอยแยกทมิฬนี่ไปอีกหน่อย ต้องเข้าใจมันก่อนจะลองทำอะไรกับมัน’
หลินมู่ตัดสินใจ
หลินมู่กลับกระท่อมและนั่งลงท่องบทพรากดวงใจ หลินมู่บ่มเพาะพลังไปสี่ชั่วโมง ระหว่างนี้เขาเริ่มฟื้นพลังปราณที่หมดไปจากการเปิดรอยแยกมิติก่อนและจากนั้นจึงเพิ่มการกักเก็บพลังปราณ
หลังจากจบการบ่มเพาะพลัง หลินมู่คิดว่าพลังปราณในตันเถียนของเขามีอยู่ 600 เสี้ยว
จากนั้นหลินมู่ทำอาหารมื้อค่ำกิน ในระหว่างมื้อค่ำนั้นหลินมู่เห็นเงาสัตว์ขนาดเล็กสี่ขาที่แอบมองเขาจากพุ่มไม้อีกครั้ง
เขาตั้งใจจะจับมันให้ได้ในวันนี้ หลินมู่รวมพลังปราณไปที่ขาและพุ่งไปยังเงาเล็ก หลินมู่ใช้เวลาเพียงสามวินาทีในการผ่านระยะ 100 เมตรแต่เขาก็ต้องแปลกใจที่เงาเล็กนั้นตอบสนองเร็วกว่าเขาอย่างมากและหายลับไปในป่า
“ตัวแค่นั้นแต่เร็วนักนะ ถึงจะดูไม่ค่อยแข็งแกร่งก็เถอะ”
หลินมู่พึมพำ
หลินมู่กลับกระท่อมเพื่อกินมื้อค่ำต่อ หลังจากที่จบมื้อค่ำแล้วเขาก็นั่งท่องบทสงบใจ ครั้งนี้เขาใช้เวลาเพียงสิบนาทีเท่านั้นในการดูดซับพลังชีวิตทั้งหมดจากเสื้อสัตว์แม้ว่าเขาจะเพิ่มปริมาณเนื้อในมื้ออาหารแล้วก็ตาม
หลินมู่ไม่รู้สึกถึงความต่างในพลังชีวิตในร่างกายนัก ราวกับว่าเขาได้มาถึงคอขวดและต้องการเวลาอีกนานเพื่อที่จะก้าวหน้าไปต่อ
หลังจากหลินมู่ดูดซับพลังชีวิตเสร็จ เขาคิดถึงการเพิ่มความชำนาญในการใช้พลังใหม่ แม้เขาจะรู้วิธีใช้มันตามสัญชาตญาณแล้วก็ตาม เขาก็ยังมิอาจจะใช้มันได้ตรงจังหวะในระหว่างการต่อสู้
‘ข้าต้องสร้างแบบแผนการฝึก จะได้ใช้พลังได้ดียิ่งขึ้น’
หลินมู่คิด
“การใช้งานหลักของพลัง ‘พริ้วไหว’ คือการหลบการโจมตี ข้าต้องจำลองการโจมตี”
หลินมู่พูดกับตัวเอง
หลังจากมีความคิด หลินมู่ก็ตัดสินใจใช้วิธีที่เขาจะฝึกพลัง สิ่งแรกที่เขาต้องพัฒนาก็คือเวลาของการใช้พลังที่เหมาะสม พลังนั้นมีผลอยู่เพียงวินาทีเดียว จำเป็นอย่างมากที่หลินมู่จะต้องใช้พลังให้ถูกจังหวะ
ความคิดของหลินมู่คือเขาจะสร้างหุ่นที่เคลื่อนไหวได้เพื่อที่จะจำลองการโจมตีใส่เขา จากนั้นเขาจะฝึกหลบมันด้วยการใช้พลังให้ตรงจังหวะ
หลังจากรู้ว่าพรุ่งนี้จะต้องทำสิ่งใด หลินมู่รู้สึกเหนื่อยล้าและหลับไป เขาเอนกายบนเตียงวางศีรษะบนหมอนข้างนุ่ม
‘หมอนข้างนี่มีประโยชน์ที่สุดแล้ว’
หลินมู่คิด
ไม่กี่นาที หลินมู่ผลอยหลับและเข้าสู่ห้วงหลับใหล เมื่อหลินมู่ปรากฏตัวในห้วงหลับใหลก็พบตัวเองอยู่หน้าต้นแอปเปิ้ลจิต เขาสังเกตผลแอปเปิ้ลที่ห้อยอยู่และเห็นว่ามันโตเต็มที่แล้ว
‘ใช้เวลาสองวันให้ผลแอปเปิ้ลจิตโตเต็มที่สินะ’
หลินมู่คิด
หลินมู่กระโดดเด็ดผลแอปเปิ้ลเก็บไว้ในแหวน จากนั้นก็เรียกอาวุธออกมาฝึก เขาฝึกการใช้อาวุธสิบชิ้นที่เรียกออกมา เขาทิ้งโล่ทั้งสองชิ้นเอาไว้เพราะเขาต้องหาคู่มาฝึกด้วย
“เดี๋ยวสิ ข้าใช้หุ่นฝึกการใช้โล่ได้นี่นา”
หลินมู่พูดออกมา
หลินมู่ฝึกอยู่ไม่กี่ชั่วโมงจนกระทั่งสมองล้า เขากำลังจะออกจากห้วงหลับใหลเข้าสู่การนอนตามปกติแต่สายตากลับเหลือบไปเห็นต้นแอปเปิ้ลจิต
หลินมู่เดินไปและเห็นแอปเปิ้ลจิตอีกลูกที่เริ่มเติบโตบนกิ่ง แอปเปิ้ลจิตนี้เขียวทั้งลูกและมีขนาดหนึ่งในสี่ของผลแอปเปิ้ลจิตที่โตเต็มที่
‘เร็วจริง ๆ’
หลินมู่เลิกคิ้ว
หลังจากนี้ หลินมู่ใช้ความคิดพาตัวเองออกจากห้วงหลับใหลและนอนหลับตามปกติ ในตอนเช้าหลินมู่ตื่นขึ้นเพราะสายลมเยือกเย็นที่พัดมาจากที่ใดมิอาจทราบได้ เขาลุกจากเตียงและเห็นประตูกระท่อมเปิดอ้าให้สายลมพัดเข้ามา
“ข้าลืมปิดประตูเมื่อคืนเรอะ?”
หลินมู่สงสัย
หลินมู่ลุกขึ้นเดินออกมาข้างนอกสู่ยามเช้าที่เยือกเย็น แม้หิมะจะยังไม่ตก แต่ความเย็นก็เพิ่มขึ้นจนน้ำค้างบนหญ้าแข็งตัว
‘อีกเดี๋ยวหน้าหนาวก็จะมาถึงแล้ว’
หลินมู่คิด
ขณะที่หลินมู่กำลังจะหันไปทำอาหารเช้า เขาก็เห็นสิ่งที่ทำให้ตัวเองต้องอาปากค้าง เขาเห็นกองใบไม้และกองฝุ่นขนาดมหึมาและกิ่งไม้เล็ก ๆ และขนนกอยู่ด้านล่างรอยแยกทมิฬ
กองใบไม้นั้นสูงสองเมตรและกว้างสี่เมตร มันแทบจะถึงรอยแยกทมิฬที่ลอยอยู่อยู่แล้ว
‘แค่คืนเดียวกองได้มากขนาดนี้เลยรึ?’
หลินมู่สงสัย
หลินมู่เตรียมเนื้อทำอาหารก่อนจะไปดูรอยแยกทมิฬ เขาสังเกตรอยแยกทมิฬที่ลอยอยู่และเห็นว่ามันมีขนาดเท่าเดิม มันไม่เปลี่ยนตำแหน่งเช่นกัน
ขณะที่มองรอยแยกทมิฬนั้น หลินมู่สังเกตว่าเขาไม่เห็นจุดดำที่อยู่ใกล้ ๆ เลย
‘แล้วจุดดำทั้งหมดหายไปไหนล่ะ?’
หลินมู่สงสัย
ตอนนี้อาหารเช้าคงพร้อมแล้ว หลินมู่เดินกลับไปกินก่อน หลังจากจบมื้อเช้าหลินมู่ก็ดูดซับพลังชีวิตและออกไปค้นหาจุดดำ
หลินมู่หาในพื้นที่รอบ 200 เมตรและไม่เจอจุดดำที่ใดเลย เขาคิดว่ามันคงไม่กลับมาอีกจึงเดินเป็นเส้นตรง เขาค้นหาจุดดำต่อไปเรื่อย ๆ แต่ก็หาไม่เจอสักจุดแม้ว่าจะเดินมานับพันเมตรแล้วก็ตาม
“เพราะรอยแยกทมิฬนั่น จุดดำถึงได้หายไปรึ?”
หลินมู่ครุ่นคิด
หลินมู่เดินไปหารอยแยกทมิฬเพระาอยากจะสืบเรื่องให้มากขึ้น เขารู้สึกคุ้นเคยเหมือนกับได้เจอจุดดำจากรอยแยกทมิฬ เขาเข้าใจว่าเป็นแหวนที่กำลังบอกเขาว่าเขาขยายรอยแยกทมิฬจนเป็นรอยแยกมิติได้
หลินมู่ย้ายกองใบไม้จากด้านล่างรอยแยกทมิฬออกไปและยื่นมือขวาขึ้น พลังปราณเริ่มไหลออกจากตันเถียนแต่ไม่หยุดไหลหลังจากใช้พลังไป 10 เสี้ยวตามปกติ
“เกิดอะไรขึ้น?”
หลินมู่พูดด้วยความสับสน
สิบเสี้ยว ยี่สิบเสี้ยว ห้าสิบเสี้ยว ร้อยเสี้ยว สองร้อยเสี้ยว พลังปราณค่อย ๆ ถูกใช้ออกไป ยิ่งพลังปราณหายไปเท่าใดหลินมู่ก็ยิ่งกระวนกระวายมากเท่านั้น
เมื่อพลังปราณหมดไปห้าร้อยเสี้ยว แหวนลึกลับในมือเขาก็ส่องแสงประกาย รอยแยกทมิฬเริ่มขยายตัว เสียงอากาศถูกกระชากขาดดังจนหลินมู่ได้ยิน มันเป็นเสียงดังมากสำหรับเขาจนรู้สึกเจ็บหูเล็กน้อย
รอยแยกทมิฬยังคงขยายขนาดต่อไปจนใหญ่กว่าตัวหลินมู่ห้าเท่า ไม่เหมือนกับรอยแยกมิติที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางราวหนึ่งเมตรและมีทรงกลมรูปไข่ รอยแยกทมิฬที่ขายตัวแล้วนั้นมีรูปร่างที่ไม่สม่ำเสมอและอธิบายได้ว่าเหมือนกับรูของกระจกหน้าต่างที่แตก
ทันใดนั้นเองแรงดูดมหาศาลก็มาจากรอยแยกทมิฬที่ขายตัวและดูดหลินมู่เข้าไปข้างในพร้อมกับกองดินกองใบไม้โดยรอบ
“ไม่นะะะะะ!!!”
หลินมู่กรีดร้องเมื่อรอยแยกทมิฬดูดกลืนเขาเข้าไป
หลินมู่สลบและตื่นขึ้นโดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด เขาลุกขึ้นมองรอบ ๆ พยายามหาสิ่งที่รอบข้าง
“ข้าอยู่ที่ไหน? นี่มันเรื่องอะไร?”
หลินมู่ถามตัวเองด้วยความสับสน
หลินมู่มองพื้นและเห็นว่ามันทำจากสสารที่โปร่งใสบางอย่าง เขาเงยหน้าและเห็นริ้วแสงสีเงินเทาพริ้วไหวอยู่ด้านบนนภา คงเรียกมันได้ว่าเป็น ‘ท้องนภา’ เพราะสิ่งอื่นนั้นมีแต่ความดำสนิท
แม้แต่ใต้เท้าของเขาก็ยังเห็นริ้วแสงสีเทาเงินผ่านพื้นที่โปร่งใส
‘ริ้วแสงพวกนี้เหมือนกับที่ข้าเห็นในแหวนเลย แต่พวกนั้นมันเล็กกว่า’
หลินมู่คิด
หลินมู่มองไปข้างหน้าและเห็นเสาสีขาวนับไม่ถ้วนที่มีความหนาต่างกัน มันวางไขว้กันตลอดทั้งพื้นที่
เสาต้นที่บางที่สุดนั้นเล็กยิ่งกว่าเส้นผม ที่หนาที่สุดนั้นหนาราวกับร้อยคนมัดรวมกัน หลินมู่แตะเสาและพบว่ามันอ่อนนุ่มในทีแรก แต่จากนั้นเสาห็โป่งใสและมือเขาก็ทะลุเข้าไป
หลินมู่ดึงมือกลับด้วยความตกใจและเห็นว่าเสากลับมาเป็นของแข็งอย่างเดิมอีกครั้งในเวลาไม่นาน
“ประหลาดนัก”
นี่เป็นเพียงคำเดียวที่ออกมาจากใจหลินมู่
หลินมู่เดินต่อไปตามเส้นทางและสังเกตเสาสีขาวที่หนาแน่นและซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเดินไปต่อ
ขณะที่เดิน เขารู้สึกถึงสายตาที่กำลังมองเขาและมองรอบ ๆ แต่ก็ไม่เห็นที่มา ความคิดที่น่ากลัวแล่นเข้ามาและเขาก็หน้าซีด
ด้วยความกล้าอย่างสูงและความสะพรึงกลัว เขาเงยหน้าและได้เห็นดวงตาสีเหลืองทองสิบดวงกำลังจ้องมองเขา ดวงตานั้นมีขนาดที่ต่างกัน และดวงที่เล็กที่สุดนั้นยังใหญ่กว่าหลินมู่สามเท่า
หลินมู่กลืนน้ำลายและสบถต่อสวรรค์
“บัดซบ!”