ตอนที่แล้วตอนที่ 333 – ตอนที่ 314 ปีศาจกำสรวล
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 335 – ตอนที่ 316 ลืมสถานการณ์พาลบังคับจูบ

ตอนที่ 334 – ตอนที่ 315 แสงเทพห้าสี


หลังจากต่อสู้เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงสิบห้านาที หัวหน้าปีศาจที่เต็มไปด้วยบาดแผลสับฟันทุบตีก็ตายอย่างน่าอนาถ

ด้วยพลังปราณก่อกำเนิดระดับ 5 แม้จะอยู่ในหอทงเทียนชั้นที่ 6 เขาก็ยังมิอาจหยุดพลังนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ความจริงเขาพ่ายแพ้อยู่ในหอทงเทียนชั้นที่สอง แน่นอนว่า นี่คือการคาดการณ์ที่ไม่เคยเกิดมาเป็นพันปีแล้ว ไม่มีใครในโลกนี้ที่คาดคิดว่าจะมีคนอย่างเย่ว์หยางอยู่ในโลก หัวหน้าปีศาจผู้ตายในเงื้อมมือเย่ว์หยางไม่ได้ตายอย่างอยุติธรรม เพราะก่อนหน้าเขาก็ยังมีว่านฉีซิ่งหลิงและตวนมู่หลงเฉิงที่แข็งแกร่งกว่าเขามากก็ยังพบจบจุดที่น่าอนาถเหมือนกัน

“เราไม่ควรจะเสียศพไปเปล่าๆ..” ไม่เพียงแค่มุกขาวจากร่างของมนุษย์วิหคเท่านั้น เย่ว์หยางยังไม่ยอมเหลือกระทั่งขนปีกบนหลังของพวกเขา เขาสั่งให้อสูรของเขาถอนขนออกให้หมดทุกตัว จากนั้นปล่อยที่เหลือให้นางพญาดอกหนามมงกุฏทองกินหมด

ร่างทุกส่วนของมนุษย์วิหคคือสมบัติ มุกขาวคือของคุณภาพสูงกว่าผลึกเวท ขนนกของพวกเขาใช้ทำธนูได้ อาวุธของพวกเขามีทั้งที่เป็นระดับเงินและที่เป็นระดับทองแดงก็มีค่าทั้งนั้น

สำหรับศพของพวกเขา สามารถทำปุ๋ยชั้นดีได้

เผ่าพันธุ์ปีศาจก็เหมือนกัน

เย่ว์หยางควักหัวใจปีศาจทั้งห้าผู้เป็นระดับเตรียมนักสู้ปราณก่อกำเนิดออกมาหลังจากทำผนึกเก็บไว้สำหรับเป็นรางวัลให้ฮุยไท่หลางที่ต่อสู้มาอย่างหนักในครั้งก่อน แม้ว่าครั้งนี้มันจะมิได้มาด้วย แต่เย่ว์หยางก็ไม่ลืมสุนัขเฝ้าบ้านของเขา สำหรับผลึกเวท หลังจากใช้เพลิงอมฤตกลั่นเสร็จแล้ว เย่ว์หยางจัดการแบ่งให้อาหง, อาหมัน, อสูรทอง, ภูตควันไฟและตั๊กแตนมรณะ แน่นอนว่าสำหรับศพก็สามารถใช้เป็นปุ๋ยได้ หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ตั๊กแตนมรณะก็ยกระดับจาก 4 เป็นระดับ 5 ขณะที่ภูตควันไฟและอาหมันแค่ส่งสัญญาณลางๆ ว่าจะมีการยกระดับ ดูเหมือนคงอีกไม่นานพวกนางก็จะยกระดับได้

นางพญากระหายเลือดหงพยายามไปให้ถึงระดับ “อสูรศักดิ์สิทธิ์สองดาว” และเกือบทำได้สำเร็จ

นางพญาดอกหนามมงกุฎทองยังไม่ยกระดับ นางยังคงเป็นอสูรทองแดงระดับ 1

อย่างไรก็ตาม นางพญาดอกหนามมงกุฎทองได้เรียกอสูรที่ยกระดับทั้งหมดได้ ต้นดอกหนามหลายต้นยกระดับเป็นดอกหนามชั้นเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริวารดอกหนามที่กลืนกินมังกรบินหนังย่นและมังกรบึงปีศาจ พัฒนาการของพวกมันชัดเจนมาก

เย่ว์หยางไม่สนใจป้อมปราการของมนุษย์วิหคและปีศาจ เขารวบรวมสมบัติของเขา และเตรียมจะเข้าไปสำรวจโลกภายในของเขา

หลังจากต่อสู้ครั้งใหญ่ คัมภีร์ทองระดับกลางก็ยกระดับขึ้นเป็นคัมภีร์ทองระดับสูง

ลำแสงสีทองส่องสว่างตลาดเวลา

อสูรรูปแบบพิเศษ “โลก” ขยายออกไปด้านนอกเพิ่มเล็กน้อยท่ามกลางแสงสีทอง

หลังจากดูดกลืนพลังของมนุษย์วิหคและปีศาจแล้ว ภายในวงแหวนแสง นอกจากจะมีลม ไฟ น้ำ ดินและโลหะแล้ว ยังมีอักษรรูนสวรรค์เพิ่มขึ้นมาใหม่อีกสองคือ “แสงสว่าง” และ “ความมืด” อักษรรูนในวงแหวนแสงกลายเป็นสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ขณะที่มันยังคงมีวิวัฒนาการช้าๆ รอบคัมภีร์ต่อเนื่อง พลังลึกลับของมันกลายเป็นพื้นที่พิเศษที่ผลกระทบพิเศษบางอย่างซึ่งจะเพิ่มสถานะของเจ้านายของมันและอสูรของเขาด้วย ยิ่งกว่านั้นยังมีผลสร้างความอ่อนแอให้กับศัตรูของเจ้านายมัน

พื้นที่ๆ ส่งผลของมันตอนนี้ยังไม่ใหญ่นัก ขณะที่ระดับของมันยังเป็นแค่เพียงชั้นแพลตตินัมระดับ 3 ในอนาคต ถ้ามันเพิ่มระดับขึ้นได้อีกและขยายพื้นที่ๆ มีผล มันจะมีพลังยิ่งใหญ่เห็นได้ชัดแน่นอน

แน่นอนว่า เพื่อยกระดับหลุมลึกไม่เห็นที่สุดนี้ เย่ว์หยางรู้สึกว่าผลึกเวทคงจะไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความพอใจของมันแน่

“….” เสี่ยวเหวินหลีดึงแขนเย่ว์หยาง

“ตอนนี้เราเข้าไปในโลกในคัมภีร์ได้แล้วหรือ?” เย่ว์หยางดีใจเมื่อเขาได้ทราบข่าว ขณะที่เขารวบรวมความคิดของเขา เขาก็ตระหนักว่า “โลก” ไม่ต่อต้านการเข้าไปของเขาอีกต่อไป รู้สึกได้เลือนรางว่ามันกำลังนำเขาเข้าไปข้างใน อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกได้รับคำแนะนำเพิ่มเตมจากเสี่ยวเหวินหลีผู้คล้องแขนเขา แสงทองปรากฏขึ้นวาบหนึ่งบนคัมภีร์และหุ้มรอบตัวเย่ว์หยาง ในชั่วแว่บหนึ่งเย่ว์หยางก็หายไปไม่เหลือร่องรอย

เมื่อพวกเขากำลังเทเลพอร์ต เย่ว์หยางรู้สึกว่าเสี่ยวเหวินหลีนำเขาบินผ่านพื้นที่ว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะท่องเที่ยวไปเป็นพันไมล์ในชั่วพริบตา

ในที่สุดเท้าของเขาก็ก้าวลงบนพื้นหลังจากไม่มีอากาศชั่วขณะหนึ่ง

หลังจากแสงสว่างวาบ เย่ว์หยางก็ตระหนักว่ามีโลกแปลกๆ อยู่ข้างหน้าเขา โลกคัมภีร์นี้ยังไม่ใหญ่นัก มีความกว้างเพียงไม่กี่กิโลเมตร เย่ว์หยางสามารถเห็นสิ่งที่อาจเป็นจุดสุดโลกคัมภีร์แนวเทือกเขาสูงแตกต่างกันรายล้อมพื้นที่ทั้งหมด เหนือจากนั้นขึ้นไป มีโดมคล้ายท้องฟ้า ท้องฟ้าสว่างมาก ไม่มีดวงดาว, ดวงจันทร์แม้แต่เมฆ มันดูหม่นทึมและสูงเพียงหนึ่งกิโลเมตร ภูเขาสูงบนภาคพื้นที่สูงที่สุดก็ราวๆ เกือบครึ่งหนึ่งของความสูงโดม

พื้นข้างล่างเต็มไปด้วยน้ำเกือบทั้งหมด พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยทะเลสาบ

มีเกาะเล็กๆ ขนาดแตกต่างอยู่ในใจกลางทะเลสาบ

บนเกาะมีแต่เต้นหญ้าและดอกไม้ และเถาวัลย์อีกจำนวนไม่มาก นอกจากนี้ยังมีต้นมะเดื่อเล็กๆ ไม่กี่ต้น ไม่มีต้นไม้ใหญ่เลย

น้ำใสแจ๋ว ไม่มีปลาหรือกุ้งเลย เป็นทะเลสาบที่ราบเรียบชัดใส พูดให้ถูกก็คือ นอกจากเย่ว์หยาง, เสี่ยวเหวินหลี, นางพญากระหายเลือดหง, โคเงาอาหมันและอสูรพิทักษ์อื่นๆ ไม่มีสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นอาศัยอยู่ภายในโลกคัมภีร์เลย มันเป็นเพียงโลกใหม่ที่เพิ่งจะถูกสร้าง

“เรามาช่วยกันสร้างบ้านใหม่ของเรากันเถอะ!” เย่ว์หยางยินดีอย่างยิ่ง ด้วยโลกคัมภีร์นี้ แม้ว่าจะดิบและยังเรียบง่ายมากกว่า แต่ตราบใดที่เขายังจัดการได้ มันก็จะสมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปทีละขั้น ถ้าไม่มีผีเสื้อ, นก, ปลา, กุ้ง ก็ไม่น่าสนใจ เขาจะนำพวกมันมาในครั้งต่อไป ถ้าไม่มีดอกไม้หรือต้นไม้ เขาจะปลูกต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพวกมันเติบโตอย่างล้นเหลือ สำหรับบ้าน พวกเขาสามารถสร้างได้ทันทีที่พวกเขานำวัสดุที่จำเป็นเข้าไป

“อือ!” เสี่ยวเหวินหลีพยักหน้าอย่างว่าง่ายแสดงถึงความปลาบปลื้มของเธอ

“มาฉีกเมฆขาวที่เป็นป้อมปราการในเทวสถานฟ้าและขนเข้าไปก็ได้ นอกจากนี้ยังมีป้อมปราการของปีศาจ นั่นใช้วัสดุค่อนข้างดีเลยทีเดียว” นางพญากระหายเลือดหงชอบอยู่ในที่สูงๆ ดังนั้นนางจึงสนใจแต่ป้อมเมฆขาวที่มนุษย์วิหคใช้อยู่อาศัย นางจะเอาไปสร้างตำหนักลอยฟ้าต่อไป

“อย่างนั้น เราจะรออะไรอยู่เล่า..” ทันทีที่เย่ว์หยางออกคำสั่งอสูรทั้งหมดก็เริ่มทำงาน

ป้อมปีศาจถูกโคเงาและนางพญาดอกหนามมงกุฏทองร่วมกันฉีกออกมาและขนหินอัคนีเข้าไปข้างใน

แม้แต่ตั๊กแตนมรณะก็ยังช่วยงานด้วย

มีเพียงภูตควันไฟผู้ไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับการอยู่อาศัย นางมีแต่สัญชาตญาณต่อสู้ นางจ้องมองอย่างว่างเปล่าไม่รู้จะทำอย่างไร พอเห็นว่าเย่ว์หยางไม่มีเวลาสนใจนาง นางจึงบินขึ้นไปบนยอดเขาแล้วเรียกหินหลอมเหลวสร้างบ่อภูเขาไฟขนาดเล็กแล้วอยู่อย่างสบายอารมณ์ นางก็ดูดซึมแก่นเวทจ้าวพายุในร่างนางต่อไป นางพญากระหายเลือดและเย่ว์หยางบินด้วยกันไปยังอาคารลอยฟ้าในท้องฟ้า และฉีกป้อมเมฆขาวที่มนุษย์วิหคใช้อาศัยทีละชิ้นๆ จากนั้นพวกเขาก็ขนย้ายเข้าไปในโลกคัมภีร์ โชคดีที่ชิ้นส่วนหินที่ลอยได้ก็จะลอยโดยอัตโนมัติทันทีที่มันเข้าไปในเขตวงแหวนแสง มิฉะนั้น พวกเขาคงเหนื่อยแทบตายที่พยายามจะขนย้ายทีละชิ้นๆ เข้าไปข้างใน

เย่ว์หยางรับผิดชอบฉีกผนังและรวบรวมสมบัติ สำหรับสิ่งที่เขาไม่ต้องการ เขาได้ทำลายทันที เพื่อที่ว่าผู้ท้าแข่งในอนาคตจะได้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่

เย่ว์หยางรู้ว่าทุกๆ เวลาช่วงหนึ่ง นักสู้แข็งแกร่งจากหอทงเทียนจะมาเติมเต็มเทวสถานสามโลกพร้อมด้วยอสูรอีกมากมาย

มันจะถูกเติมเต็มช่วงเวลาที่มันถูกใช้ไป

แน่นอนว่า คนพวกนั้นบางทีไม่สนใจว่าป้อมของมนุษย์วิหคและของปีศาจจะถูกทำลายลงไป

กำไลเก็บของของผู้นำมนุษย์วิหคและหัวหน้าปีศาจไม่เหมาะที่เย่ว์หยางจะใช้ ดังนั้นเย่ว์หยางตัดสินใจหาเวลาหลอมของทั้งสองชิ้นนี้ บางทีอาจผสานเข้ากับแหวนลิชของเขาเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของก็ได้

พอมีโลกคัมภีร์ของเขา การจัดเก็บไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป จะได้ใช้แหวนลิชได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างต่อสู้หรือช่วงเวลาที่เขาไม่สะดวกจะเรียกคัมภีร์ออกมา

เมื่ออาหง, อาหมันและอสูรอื่นๆ ยังขนของเข้าไป เย่ว์หยางและเสี่ยวเหวินหลีออกไปรับรางวัลการผ่านด่านสุดท้ายเทวสถานฟ้า เย่ว์หยางหวังว่าคงไม่มีจำกัดเวลาสำเร็จภารกิจ มิฉะนั้นเขาคงเสียใจแทบตาย ถ้าพวกเขาถูกเตะออกจากเทวสถานฟ้าก่อนจะได้รับรางวัลก้อนสุดท้าย เมื่อเย่ว์หยางวางบัตรแก้วบนรูปปั้นยักษ์จ้าวเวหา มันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เศษหินของรูปปั้นกระจายขึ้นฟ้าทั้งหมด ขณะที่เย่ว์หยางกันฝุ่นด้วยพลังปราณก่อกำเนิดของเขา เขาเห็นแสงสีเขียวอยู่ข้างหน้าเขา ข้างๆ ลูกกลมเรืองแสงสีเขียว ยังมีมุกที่เรืองแสงอีกลูก

มุกแยกฟ้า (เทียม) : ผู้ครอบครองสามารถแยกฟ้าเปิดประตูมิติที่ว่างเปล่า ข้อจำกัด ใช้ได้เพียงครั้งเดียว

เย่ว์หยางอึ้งอีกครั้ง รางวัลสำหรับเทวสถานฟ้าก็ยังเป็นของเทียมอีกจนได้

มองดูจากผลกระทบของมัน มุกแยกฟ้าเทียมนี้ยังมิอาจเทียบกับมุกดูดเลือดชั้นเงินด้วยซ้ำ อย่างน้อยมุกดูดเลือดก็ยังสามารถใช้ดูดเลือดได้ เมื่อฝังมันลงในอาวุธ ดังนั้นจึงเพิ่มพลังให้อาวุธเป็นยอย่างมาก ถ้าอสูรกินมุกดูดเลือด มันจะบอกความสามารถของสัตว์ที่ถูกดูดเลือดนั้นได้ อย่างไรก็ตามความสามารถในการดูดเลือดค่อนข้างน่ากลัว เพราะมันเป็นทักษะที่ขึ้นอยู่กับโอกาส

ก็คล้ายกับเนตรประหาร แต่เนตรประหารสามารถใช้ฆ่าได้ทันที ขณะที่มุกดูดเลือดใช้ได้แต่เพียงดูดเลือด

อย่างไรก็ตาม แม้แต่ขาของยุงก็คือเนื้อ เย่ว์หยางไม่เคยปฏิเสธสมบัติมาก่อน ยิ่งมากยิ่งดี

เย่ว์หยางผิดหวังกับรางวัลเทวสถานสามโลกมาหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้ รางวัลเทวสถานฟ้าที่เป็นบอลแสงเขียวเปลี่ยนใจเขาสิ้นเชิง

แสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสี (เขียว) : หนึ่งในห้าแสงศักดิ์สิทธิ์ ผู้ถือครอบครองแสงนี้สามารถปรับปรุงพิษได้ทั้งหมด อสูรสายพฤกษาทั้งหมดจะเพิ่มพลังได้ถึงสิบเท่า ผู้ได้รับพรแห่งแสงจะได้รับ “ร่างธรรมชาติ” ชั่วคราว

ทักษะจักษุญาณทิพย์ของเย่ว์หยางสามารถมองเห็นข้อมูลเล็กน้อยอย่างอื่น แสงเทพได้รับความเสียหายมีการผนึกไว้ถึงเก้าชั้น

นี่ก็หมายความว่าแสงศักดิ์สิทธิ์เขียวนี้ทรงพลังอยู่แล้ว ทั้งที่ได้รับความเสียหายและถูกผนึกไว้ถึงเก้าชั้น เย่ว์หยางไม่อาจคาดได้เลยว่ามันจะมีพลังขนาดไหนถ้าไม่ถูกผนึกไว้ พื้นฐานประสบการณ์ชีวิตของเย่ว์หยางก่อนหน้านี้ แสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีคือสมบัติที่ข่งซวนสร้างขึ้นมาหลังจากบำเพ็ญเพียรมาหมื่นปี เล่ากันว่าแต่เดิมทีเมื่อกระแสความยุ่งเหยิงได้ห่อหุ้มเทพมหามยุรี มันได้สร้างขนนกยูงมาห้าเส้น หลังจากนั้นเทพมหามยุรีสั่งให้ลูกศิษย์สร้างกระบี่ในตำนานห้าเล่มโดยใช้ขนนกยูงยาวหนึ่งเมตรสร้าง กระบวนการหลอมใช้เวลาหมื่นปี แม้ว่าจะสร้างจากขนนกยูง แต่กระบี่ในตำนานก็หนักพอๆ กับภูเขาทั้งลูก สำหรับพลังของมัน เมื่อแสงศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้านี้ปรากฏ หวงเฟยหู่, ฉงเฮยหู่, หลี่จิ้งและคนอื่นๆ ต่างหวาดกลัวทันทีแม้แต่เจียงจื่อหยาผู้ควงแส้เทพก็ยังไม่สามารถรับมือได้

แน่นอนว่าแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีนี้อาจไม่ใช่ขนนกยูงของข่งซวน แต่เนื่องจากชื่อของมันคือแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสี” ก็ต้องไม่ใช่สมบัติธรรมดาแน่นอน

“อาจเป็นได้ว่าข่งซวนถูกนักพรตเฒ่าเตะก้นและทำหนึ่งในขนนกยูงปลิวมาตกที่นี่?” เย่ว์หยางเดาส่งเดช ขณะที่เขารีบเก็บของมีค่าออกไป

ความจริงเขาได้แสงศักดิ์ห้าสีเป็นรางวัลในการผ่านด่านเทวสถานสามโลก

เย่ว์หยางปลื้มใจมาก

น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถมาผ่านด่านซ้ำอีกครั้งได้ มิฉะนั้นเขาอาจรวบรวมแสงศักดิ์สิทธิ์ได้ครบห้าสีก็เป็นได้

ทันทีที่เย่ว์หยางได้รับมุกแยกฟ้าและหนึ่งในแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสี แสงเขียวศักดิ์สิทธิ์ เทวสถานฟ้าเริ่มสั่นสะเทือนทันที คล้ายๆ กับที่เกิดขึ้นในวิหารสิบสองนักษัตร เย่ว์หยางเห็นว่าไม่มีอะไรเหลือมาก ดังนั้นเขารีบสั่งให้อสูรของเขาให้ถอนกำลัง ใครจะรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะดึงดูดเทพผู้ยิ่งใหญ่ในหอทงเทียนมา แม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจ เย่ว์หยางทิ้งหินภูเขาไฟก้อนสุดท้ายไว้ทันที ของเหล่านั้นก็มีอยู่ในวังปีศาจแดนอเวจี ถ้าเขาต้องการเพิ่ม เขาจะไปเยี่ยมเยือนราชันย์จ้าวปีศาจบารุธอีกก็ได้

ไม่ว่าจะเป็นพิณ, เคียวโลหิตและอาวุธอื่นๆ ก็ได้เก็บรวบรวมไว้แล้ว อาหง, อาหมันและสาวๆ อื่นก็รีบกลับเข้าไปในโลกคัมภีร์

เย่ว์หยางรอดออกมาจากกองอิฐและวิ่งออกมาจากประตูเทเลพอร์ต เกือบจะชนกับหัวหน้าองครักษ์เกราะทองข้างนอก

“เอ๋? เจ้ายังไม่ตายอีกหรือ?” หัวหน้าองครักษ์เกราะทองเป็นคนละคนกับหัวหน้าองครักษ์เกราะทองที่วิหารสิบสองนักษัตร ดังนั้นเขาไม่รู้จักเย่ว์หยาง เมื่อเขาเห็นเจ้าขโมยน้อยยังมีชีวิตรอดกลับมาได้ก็รู้สึกแปลกใจมาก “ดูเหมือนเจ้าจะเข้าไป 2-3 ชั่วโมง เจ้ารอดชีวิตอยู่ได้อย่างไร?”

“มีสัตว์ประหลาดอยู่ข้างในมากเยอะแยะไปหมด ดังนั้นข้าก็เลยซ่อนตัวและผลอยหลับไปเลย ในที่สุดเมื่อข้าเห็นว่าเงียบและไม่มีความเคลื่อนไหวจากพวกสัตว์ประหลาด ข้าก็เลยลอบกลับออกมาเอง มันอันตรายมาก!” เย่ว์หยางแสร้งทำเป็นเหมือนว่าโชคดีมากที่หนีตายออกมาได้ เมื่อหัวหน้าองครักษ์เกราะทองได้ยินเช่นนี้ ถึงกับหัวเราะออกมาดังๆ และตบไหล่เย่ว์หยาง “เจ้าโชคดีมากแล้ว! ข้าไม่เคยได้ยินเลยว่าทีมที่มีสมาชิกน้อยกว่าห้าสิบคนจะผ่านด่านเทวสถานมนุษย์ได้ ร้อยละเก้าสิบของทีมจะถูกกำจัด ถือว่าปาฏิหาริย์แล้วที่เจ้าสามารถกลับออกมาจากเทวสถานมนุษย์ได้! เด็กน้อย! ต่อไปอย่าได้ทำอะไรเกินตัวอีก เจ้าจะไม่มีทางผ่านด่านตามลำพังได้อย่างแน่นอน”

“ข้ามิกล้า, ข้ามิกล้าทำอีกแล้ว…” เย่ว์หยางแกล้งทำเป็นกลัวและรีบหนีไปโดยเร็ว

“ฮ่าฮ่า, เจ้าขโมยน้อยนี่หนีได้เร็วนัก ดูเหมือนว่าเขาคงมีอุปกรณ์บางอย่างที่ทำให้เขาไม่ถูกมองเห็น มิฉะนั้น เขาคงไม่มีทางหนีออกมาได้” หัวหน้าองครักษ์เกราะทองบ่นพึมพำกับตนเอง แต่เขาก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้และหันศีรษะกลับมาโดยเร็ว

เขามีความรู้สึกสงสัยอย่างแรงกล้า จึงเข้าไปที่ห้องซึ่งมีเสาผลึกแสดงสถานะด่านและใช้สิทธิ์ของเขาตรวจสอบรายชื่อผู้ผ่านด่าน แล้วเขาต้องตกใจแทบตายเพราะความจริงข้างหน้า

ทั้งนี้เพราะอัตราผลสำเร็จในการผ่านด่านเทวสถานสามโลกของเย่ว์หยาง มากกว่า 3000%

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เจ้าเด็กนี่ผ่านด่านที่ยากกว่าปกติถึงสามสิบเท่าได้

***************

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด