ตอนที่แล้วตอนที่ 310 ทุกคน, ข้าอยู่นี่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 312 กระบี่เซียนกักสมุทร

ตอนที่ 311 ขุนพลวิญญาณทหารผู้แข็งแกร่ง


กระแสพลังไหลเวียนรูปกรวยสว่างไสว ครอบคลุมสนามรบทั้งหมด

คนที่อยู่หลังจอนับไม่ถ้วนลุกขึ้นยืนกันหมดหน้าของพวกเขาแตกตื่นตกใจ พวกเขาตกตะลึงกับฉากภาพที่ปรากฏอยู่ข้างหน้าพวกเขาและเหล่าผู้นำทหารพากันจ้องดูร่างที่ปรากฏในจออย่างเหลือเชื่อ ราวกับว่าเห็นผี

นั่น... นั่นมันพลังอะไร.....

เมื่อรังสีแสงสว่างกระจายตัวออก  ร่างของทั้งสามคนก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน

ตาของผู้เฒ่าฟงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวไม่มีสภาพดีเหลืออยู่ในตัว ทุกพื้นที่ในร่างกายเต็มไปด้วยรูพรุนและรอยแตกเหมือนกับรังผึ้งน่าสยดสยอง เขายืนอยู่กับที่ไม่ขยับเหมือนกับเป็นรูปปั้น

ร่างผลึกใสของจื่อจิง (สตรีผมม่วง) มีเสียงแตกเบาๆ หน้าผากนางเริ่มมีรอยแตกรอยหนึ่งซึ่งเริ่มขยายกว้าง เสียงแตกยังคงดังต่อเนื่อง และในพริบตา หน้าของนางก็หายไปทั้งแถบรอยแตกนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นเหมือนใยแมงมุม

แขนทั้งสองของหมั่นจู้บังหน้าเขาไว้ได้  ทั่วทั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลถูกฟันหลั่งเลือดทั่วตัว แต่พลังสายเลือดหมีม่วงอำมหิต ทำให้เขามีพลังชีวิตที่ไม่จำกัดและทรงพลังนอกจากนี้พลังป้องกันของเขายังมีมากน่าประหลาดใจทำให้เขารอดชีวิตจากพลังโจมตี บาดแผลบนร่างกายของเขาจะกลายเป็นแผลเป็น แต่ความจริงแผลเหล่านั้นเป็นเพียงอาการฉีกขาดเท่านั้น

“ข้าจะฆ่าเจ้า,จงตายกันหมดทุกคน!”

หมั่นจู้ปลดปล่อยปราณในร่างจนดูป่าเถื่อนดุร้าย  แขนของเขาคอยป้องกันจุดสำคัญของเขาเขาตวาดและวิ่งเข้าหาปิง

ตราบใดที่เขาฆ่าเจ้าขุนพลวิญญาณผู้ชั่วร้ายนี้ได้  เขาจะสามารถทำลายฝูงมดอื่นให้แตกกระจาย

“ฆ่า”

น้ำเสียงไม่แยแสดุร้ายกึกก้องดังเข้าหูเขาทันที

รังสีดาบเยือกเย็นถึงกระดูกปรากฏอยู่ต่อหน้าของเขา

ความรู้สึกถึงอันตรายครอบคลุมทั่วร่างของหมั่นจู้  ในช่วงเวลาที่สิ้นหวังพลังสายเลือดในตัวเขาถูกเร่งเร้าทันที ภาพเลือนรางของกลุ่มดาวหมีใหญ่ปรากฏในท้องฟ้าและแสงรัศมีสีน้ำตาลฉายลงมาจากท้องฟ้า

บนหลังของหมั่นจู้ปรากฏลายดูคล้ายลายสักรูปหมีน้ำตาลดูโหดเหี้ยมดุร้าย

พลังอัญเชิญสายเลือดดวงดาว!

พลังที่ไร้ขีดจำกัดระเบิดออกจากร่างของเขาทันที  หมั่นจู้รู้สึกว่าร่างของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง  ผมขนทุกเส้นในร่างกายเปล่งแสงสีเงินทันที  หมั่นจู้แอบปลาบปลื้มยินดี  “สวรรค์ไม่ต้องการให้ข้าตาย  ข้าจึงผ่านจุดวิกฤติเช่นนั้นมาได้”

เมื่อออกมาจากสนามรบ ถังอี้เปลี่ยนตำแหน่งทันที  ปิงควบกลั่นบอลแสงและรอคอยเล็กน้อยก็เพื่อให้ถังอี้มีเวลา

และเมื่อปิงเคลื่อนไหว ถังอี้ก็นำกองกำลังของเขาเข้าร่วมตอบโต้กลับ

ดังนั้นเมื่อรังสีกระจายออกไป  ถังอี้ก็เข้ามาถึงข้างตัวหมั่นจู้แล้ว  และเวลาที่เขาใช้ปล่อยพลังดาบกล่าวได้ว่าไร้ที่ติ  อย่างไรก็ตามผลของการใช้ดาบยังไกลเกินไปสำหรับถังอี้

พลังของรังสีดาบที่ทรงพลังไม่เพียงแต่คุกคามขู่ขวัญคนอื่นเท่านั้น แม้แต่นักสู้ของกองกำลังถังอี้เองก็ได้รับผลกระทบของพลังโจมตี มีเพียงสามสิบห้าคนสามารถปลดปล่อยพลังดาบจากมือพวกเขาได้ และนอกจากถังอี้แล้ว มีเพียงยี่สิบคนที่สามารถปลดปล่อยพลังได้เต็มที่

ถ้าเป็นกองทัพดาวกางเขนใต้   ด้วยประสิทธิภาพที่น่ากลัวเช่นนั้น พวกจ่าสิบเอกคงขายหน้าแทบตายอาจถูกกักขังก็เป็นได้

แต่ช่วงเวลานี้ แค่นั้นก็ถือว่าพอแล้ว

การควบคุมรังสีดาบของถังอี้ ยังไม่ทรงพลังเท่ากับปิง  แต่วิชาดาบชั้นปรมาจารย์ของเขาและการควบคุมกองกำลังที่มีจำนวนน้อยกว่าเขาจึงสามารถใช้พลังรังสีดาบได้อย่างน่าทึ่ง

รังสีดาบที่ถังอี้ปลดปล่อยสั่นสะเทือนเงียบๆและรังสีดาบอีกกว่าสามสิบสายที่ไล่หลังตามมากลืนรวมเข้ากับรังสีดาบนี้

สำหรับสายตาคนอื่นรังสีดาบทั้งหมดเหล่านี้ผสานรวมกับรังสีดาบใหญ่ของถังอี้  แต่ในความเป็นจริง มันแนบอยู่กับรังสีดาบของถังอี้โดยมีช่องว่างห่างที่เล็กมากและสั่นด้วยความถี่สูง

เมื่อรังสีดาบสัมผัสกับแขนหมั่นจู้ ขนสีเงินบนแขนของเขาบังเกิดเสียงโลหะเสียดสีรุนแรงเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจนหมั่นจู้ร้องลั่น

รังสีดาบตัดแขนหมั่นจู้ลึกลงไปถึงครึ่งหนึ่งโลหิตฉีดพุ่งกระจายไปทั่ว

ความเจ็บปวดทำให้หมั่นจู้ร้องเหมือนสัตว์ได้รับความเจ็บปวด  แต่ฉากภาพที่แข็งแกร่งที่สุดเกิดขึ้นเลือดที่ฉีดพุ่งได้หยุดอย่างรวดเร็ว และแผลเริ่มสมานตัว

น่าเสียดาย ถ้ากองกำลังมีเวลาฝึกฝนนานขึ้น  แค่ดาบเดียวก็คงเผด็จศึกได้

ถึงเวลานี้ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่สามารถทนได้อีกต่อไป  มือสมัครเล่นเหล่านี้คงไม่สามารถปล่อยพลังดาบครั้งที่สองได้แน่นอน และนั่นคือเวลาที่ผู้นำทหารจะแสดงทักษะส่วนตัวของเขา นั่นคือเหตุผลที่ผู้นำทหารระดับต่ำมักจะต้องการพลังของนักสู้ผู้มีฝีมือสูงส่ง  ในการเผชิญหน้าในการรบ  พลังที่โดดเด่นคืออาวุธสำหรับผ่าทางตัน

หน้าของถังอี้เฉยชา เขายังอยู่บนหลังม้าโน้มตัวมาข้างหน้าและราวกับว่าดาบฟันขาม้าเบาราวกับขนนก เขายกดาบกวัดแกว่ง

รังสีดาบบางสายหนึ่งปรากฏ

วิชาดาบระดับปรมาจารย์ทำให้เขาปลดปล่อยพลังดาบยี่สิบสองใบเหมือนกับประกายไฟ

รังสีดาบทั้งยี่สิบสองมีความแม่นยำมาก  ทั้งหมดฟันเข้าใส่มือของหมั่นจู้ที่บาดเจ็บโอกาสเบี่ยงเบนพลาดเป้าเป็นศูนย์

ถังอี้เหมือนกับสายลม และมาปรากฏตัวข้างหมั่นจู้ทันที

ที่ด้านหลังเขา แขนทั้งสองลอยขึ้นไปในอากาศ  หมั่นจู้มีสีหน้าหวาดหวั่นขวัญผวา แต่ไม่สามารถเปล่งเสียงได้เนื่องจากบาดแผลปรากฏอยู่บนลำคอของเขา

ถังอี้หยุด และเปลี่ยนทิศทางการเดินของม้า เขากระตุ้นเบาๆให้ม้าย่างเหยาะ

ถังอี้นั่งตัวตรงอยู่บนหลังม้าสีหน้าเคร่งขรึมไม่เปลี่ยนแปรท่าทางดูสง่างามมาก

ชี่....

ขณะนั้นเองรอยแผลที่คอของหมั่นจู้เปิด โลหิตฉีดพุ่งกระจายและร่างของเขาล้มทันที

ถึงตอนนี้เอง ผู้เฒ่าฟงเพิ่งจะล้มลงปราณของเขาหายเกลี้ยง ร่างทั้งหมดของจื่อจิงเต็มไปด้วยรอยแตกก็แหลกสลายเป็นชิ้น

ทั้งสามคนถูกทำลาย

ซือหม่าเซี่ยวไม่มีรอยยิ้มอีกต่อไป  เขาจ้องมองดูจอ สีหน้าหมองเขาสามารถบอกได้ว่าทหารกองนี้เป็นหน่วยทะลวงฟันที่ไม่ได้รับการฝึกฝนพื้นฐานอย่างที่ถูกที่ควร  แต่หน่วยทะลวงฟันนี้ทรงพลังมาก  และที่สำคัญคือพวกเขาฆ่านักสู้ในทำเนียบสวรรค์วิถีมาถึงสี่คนและบาดเจ็บหนักอีกหนึ่งคน

จากผลเช่นนั้น พวกเขาไม่ใช่แค่ทหารหน่วยกล้าตายอย่างเห็นได้ชัด

สายตาของซือหม่าเซี่ยวมองดูที่ขุนพลวิญญาณทั้งสองที่เป็นผู้นำทหาร เหตุผลหลักที่ได้รับชัยชนะก็มาจากขุนพลวิญญาณทั้งสองนี้  รายงานครั้งก่อนมีแต่ขุนพลวิญญาณผู้นำทหารที่มีแต่ดาบฟันขาม้า ซือหม่าเซี่ยวไม่คิดเลยว่าถังเทียนยังมีไม้ตายอื่นอยู่ในมือ ขุนพลวิญญาณหน้าไพ่อาจจะมีใบหน้าที่ดูตลกขบขัน  แต่ขณะเดียวกันความคิดเกี่ยวกับการแสดงภาวะผู้นำที่ประหลาดของเขาทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าหัวเราะ เป็นครั้งแรกที่ซือหม่าเซี่ยวเห็นผู้นำทหารที่สามารถต่อสู้ในแนวนั้น

สิ่งที่ทำให้ผู้คนต้องตะโกนร้องสรรเสริญก็คือการวางกลยุทธ์อย่างถูกต้อง   ตลอดการรบตั้งแต่เริ่มจนจบทุกอย่างอยู่ในความควบคุมของผู้นำทหารทั้งสองซึ่งคือส่วนที่น่ากลัวที่สุด

ขุนพลวิญญาณผู้นำทหารที่มีพลังสั่งการสูงยังไม่น่ากลัว  ขุนพลวิญญาณผู้นำทหารที่มีพลังแข็งแกร่งควบคุมรังสีดาบยังไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวที่สุดก็คือขุนพลวิญญาณผู้นำทหารผู้ฉลาด

นั่นไม่ใช่แค่ฉลาดเท่านั้น  แต่ยังเป็นสุดยอดขุนพลวิญญาณผู้นำทหารที่ฉลาดเหมือนกับเทพเจ้า

ทุกช่วงเวลา ทุกช่วงปฏิกิริยาทั้งหมดอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขา ทุกการเคลื่อนไหวและการตอบโต้ ทั้งสามคนไม่ได้ตายอย่างอยุติธรรม แม้แต่ซือหม่าเซี่ยวผู้ทะเยอทะยานและไร้ความปราณีก็ยังรู้สึกตึงเครียดในใจ ถ้าเขาอยู่ในรองเท้าของทั้งสามคน เขาก็คงไม่สามารถทำได้ดีกว่าเช่นกัน

เขาเองก็มีผู้นำทหารอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเขา  แต่เมื่อเทียบกับปิงและถังอี้แล้วมาตรฐานของพวกเขาถือว่าต่ำ

ถ้ากองทหารนั่นฝึกฝนเพิ่มอีกเล็กน้อย...

ซือหม่าเซี่ยวเชื่อว่า หลายๆคนคงไม่สามารถหลับกลางคืนได้เพราะสงคราม

ซือหม่าเซี่ยวชำเลืองมองดูศิษย์พี่ของเขา และต้องสะดุ้งอย่างช่วยไม่ได้  สายตาของศิษย์พี่ของเขาจับจ้องอยู่ที่ถังเทียนที่มีเปลวเพลิงดำคลุมทั้งตัว

สีหน้าของถูหรูไห่เปลี่ยนแปรอีกครั้ง  เขาคาดไม่ถึงเลยว่าการรบจะลงเอยแบบนั้น  เขารู้สึกว่าเหมิงเว่ยจะได้รับชัยชนะแน่นอนแต่นางติดอยู่กับการต่อสู้ที่ยากลำบากและทั้งสามคนที่รับมือหน่วยทหารกล้าตายน่าจะเสร็จงานของพวกเขาได้แล้ว  แต่ผลก็คือพวกเขาถูกฆ่าตาย

เหมิงเว่ย....

ความหวังทั้งมวลของเขาฝากไว้ที่เหมิงเว่ย  ตราบใดที่เหมิงเว่ยชนะ  อย่างนั้นเขายังมีโอกาสกลับมา

เขาเบนสายตากลับไปมองเหมิงเว่ย

ปิงนั่งอยู่บนหลังม้าไม่ได้รู้สึกดีใจ  ชัยชนะสำหรับเขาไม่มีอะไรควรแก่การคุยโว  สิ่งเดียวที่ควรแก่การสังเกตและดีใจก็คือนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้นำกองทัพ

ถูกแล้ว พวกเขาถือได้ว่าเป็นกองทัพ

สายตาของปิงมองไปที่ถังเทียนผู้มีเปลวเพลิงดำครอบคลุมในท้องฟ้า

พลังสายเลือดของถังเทียนไม่ใช่ธรรมดา  นั่นคือสิ่งที่เขารู้  ในจุดพื้นที่ต่อสู้ที่อ่อนถังเทียนได้ดูดซับสายเลือดเทพและสายเลือดแคระ และนั่นถือว่าไม่ใช่กระบวนการธรรมดา

เขาสงสัยเรื่องพลังสายเลือดของถังเทียนมาก  จนกระทั่งบัดนี้เขาก็ยังเข้าใจว่าทำไมป้ายบรอนซ์ถึงได้ตกไปอยู่ในมือของถังเทียน  ป้ายบรอนซ์มาจากบิดาของถังเทียน ดังนั้นอะไรคือจุดเชื่อมโยงของบิดาถังเทียนกับกองทัพ?

เรื่องลึกลับชวนพิศวงทั้งหมดเหล่านี้เกี่ยวข้องกับพลังสายเลือดของถังเทียนจะค่อยเผยเบาะแสได้เล็กน้อย

เพลิงดำ...

เดี๋ยวก่อน...

ม่านตาของปิงขยายทันที ร่างที่มีเปลวเพลิงดำคลุมในท้องฟ้า ให้ความรู้แปลกกับเขามาก

มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!

ปิงอยู่กับถังเทียนมานานมาก นอกจากว่าเขาจะดูแลให้การฝึกฝนอบรมเขาเสมอแล้ว  เขายังคุ้นเคยกับปราณของถังเทียนมาก  เมื่อถังเทียนใช้เนตรราชันย์มยุรากลิ่นอายเขาเปลี่ยนไปก็จริง แต่ปราณของเขาไม่เปลี่ยน

แต่คนที่อยู่ในเปลวเพลิงดำยืนอยู่ในท้องฟ้า  ปราณของเขาแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

เกิดอะไรขึ้นกันแน่....

ขณะที่ปิงตกตะลึง ถังเทียนที่อยู่ในอากาศก็เคลื่อนไหว

กระบี่ในมือของเหมิงเว่ยสว่างขึ้นด้วยรัศมีที่มีหมอกคลุม พลังที่ได้รับมอบจากกลุ่มดาวยังหลั่งไหลเข้าไปในตัวนาง  พลังอัญเชิญสายเลือดดวงดาวจะทำอันตรายต่อนักสู้เป็นอย่างมาก กล่าวกันว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนักสู้จะไม่มีทางยอมใช้ออกมาเลย สถานการณ์เหมิงเว่ยพิเศษมาก นางสามารถใช้พลังอัญเชิญสายเลือดดวงดาวได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บเลย  แต่จะสามารถใช้ได้เพียงปีละครั้งเท่านั้น

ในการต่อสู้ทั้งหมดของนาง นางเพียงแต่ทำให้พลังสายเลือดของนางเดือดพล่านเท่านั้น

การต่อสู้กับถังเทียน นับเป็นครั้งที่สอง พลังของกลุ่มดาววาฬมากมายและละเอียดอ่อนไหลเข้ามาในตัวกระบี่ พลังสายเลือดในร่างนางดูเหมือนจะมีผลตอบรับบางอย่าง  นางสามารถรู้สึกได้ถึงพลังราวกับว่าในใต้ท้องฟ้านี้นางสามารถตัดได้ทุกอย่าง

ยกเว้นถังเทียนผู้อยู่ต่อหน้านาง

พลังของกลุ่มดาววาฬในตัวกระบี่ของนางดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงอันตรายและเริ่มสั่นถี่  พลังของกลุ่มดาวยังคงบีบคั้นต่อเนื่องและดูเหมือนว่าภาพของกลุ่มดาววาฬจะรู้สึกถึงอันตรายอีกด้วย

สถานการณ์ที่แปลกประหลาดทำให้เหมิงเว่ยรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

ชั่วขณะนั้นถังเทียนที่อยู่ในเปลวเพลิงดำก็กางแขนทั้งสองออก และลดมือซ้ายลงทันใด

นั่นคือ...

ม่านตาของเหมิงเหว่ยหดแคบ

แขนขวาของถังเทียนเหยียดตรง และกำมือหลวมๆคลื่นเพลิงดำเข้าไปในฝ่ามือของเขาและก่อตัวเป็นรูปฝักกระบี่อยู่ในมือของเขา

เขาถือฝักกระบี่เปลวเพลิงดำในมือแล้วค่อยๆทำมือดึงแยกจากกัน

เหมิงเว่ยคุ้นเคยกับท่วงท่าเช่นนั้นมาก

นั่นคือ..ท่าชักกระบี่ออกจากฝัก

เว้นแต่.....

สีหน้าของเหมิงเว่ยเปลี่ยน  หัวใจนางเต้นรัวแรง ทันใดนั้นม่านตาของนางหดลีบจนเหลือแค่ปลายเข็ม  นางเกิดอาการตกตะลึงทันที

กระบี่เพลิงดำไหลออกมาจากฝักกระบี่อยู่ในมือของถังเทียนเหมือนกับว่าเขาดึงออกมาจากอากาศ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด