ตอนที่แล้วตอนที่ 314 – ตอนที่ 295 ทำลายรังไหมสู่ชีวิตใหม่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 316 – ตอนที่ 297 วิหคเพลิงอมตะหลากสี

ตอนที่ 315 – ตอนที่ 296 สาวน้อยสมองกลวง


สิ่งมีชีวิตลึกลับมีหัวเป็นมังกรเขาเหมือนกวาง นัยน์ตาคู่งามราวกับตาราชสีห์ หลังเหมือนเสือ เกล็ดเหมือนงูตลอดลำตัวและมีหางเหมือนหางวัว

นี่คือกิเลนสัตว์ในตำนานมิใช่หรือ? จะมีสิ่งที่แตกต่างกันก็คือขาของกิเลนจะมีเท้ากับกรงเล็บที่สวยงามทั้งสี่โค้งงอแทนที่จะเป็นกีบเท้าเหมือนกับม้าตามที่อธิบายไว้ในนิทานปรัมปรา เย่ว์หยางเพ่งพินิจอยู่ไม่กี่วินาทีขณะที่เขาจำได้เลือนลางว่ากิเลนตัวผู้จะมีกรงเล็บ ขณะที่ตัวเมียจะมีกีบเท้าแบบม้า เป็นไปได้ว่าเจ้านี่เป็นตัวผู้กระมัง? แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม มันก็ยังคงเป็นกิเลนตัวหนึ่ง แล้วมันสามารถอาบเพลิงอมฤตได้อย่างไร?

ฮืม.. หรือว่าบางทีเจ้านี่คงเป็นกิเลนไฟ?

ขณะที่กิเลนอาบเพลิงอมฤตของเย่ว์หยาง ร่างเขียวเข้มของมันก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆ ละลายออกไป กลายเป็นสีขาวหยกเป็นประกายงดงาม

แสงขาวลึกลับเรื่อเรืองจากร่างของมัน สว่างเหมือนดวงดาว นวลตาเหมือนแสงจันทร์

บารุธต้องการเข้ามาโจมตีอีก แต่ทันใดนั้นกิเลนอ้าปากและยิงแสงสีขาวออกมา

เมื่อราชันย์จ้าวปีศาจบารุธผู้มีพลังมากขนาดที่เกือบฆ่าเย่ว์หยางได้ทันทีเห็นเช่นนี้ เขาร้องลั่นรีบหลบพลังโจมตีทันที

ดูผิวเผิน ลำแสงที่ยิงออกมาไม่ต้องใช้เวลาสะสมพลังใดๆ เลย เหมือนไม่มีพลังต่อสู้ มันดูเหมือนเป็นแสงสีขาวที่มีพลังบำบัดมากกว่า อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่กี่วินาที เย่ว์หยางก็ต้องเปลี่ยนความคิด นั่นเป็นเพราะขณะที่แสงนั่นยิงใส่กำแพงวัง มันทำลายกำแพงวังราบเรียบ ทำให้หินภูเขาไฟแหลกเป็นชิ้นเหลือไว้แต่รูลึกบนพื้นลึกหลายร้อยเมตร พลังแสงขาวนี้ยังรุนแรงกว่าลำแสงจ้าวปีศาจของบารุธ ความแตกต่างระหว่างลำแสงจ้าวปีศาจและแสงยิงสีขาวนี้ก็คือลำแสงขาวจะไม่ระเบิด ก็แค่ทำลายทุกอย่างในเส้นทางที่มันผ่านคล้ายๆ กับแสงอุษาของเจ้ามืองโล่วฮัว ก็แค่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงในแง่การใช้พลังและระยะทางที่ยิงไปถึง

กิเลนตัวนี้มีพลังมาก อาจเป็นได้ไหมว่ามันคืออสูรในตำนาน?

แต่มันเป็นตัวผู้..

เย่ว์หยางผิดหวังมาก เขาเสี่ยงชีวิตช่วยกิเลนตัวผู้ ไม่ใช่กิเลนตัวเมีย นี่มันน่าเศร้าจริงๆ

ก่อนที่เย่ว์หยางจะขว้างวงจักรล้างโลกและระเบิดดวงดาวในของเขาใส่ศัตรู ทันใดนั้นเขารู้สึกเจ็บแปลบที่แขนของเขา ร่างของเขาถูกกระชากออกมา และทิวทัศน์เบื้องหน้าเขาก็ดูเหมือนเขากำลังบินอยู่ในท้องฟ้า เย่ว์หยางก็ต้องสะดุ้งที่พบว่ากิเลนได้งับแขนเขาและพาหนี…อะไรกันนี่.. เขาคิดว่ากิเลนสามารถแสดงพลังของมันได้และสามารถฆ่าราชันย์จ้าวปีศาจและคนอื่นๆ ได้ทันทีที่เขาช่วยมันออกมาได้ ปรากฏเป็นว่าน่าเบื่อจริงๆ

โชคดีที่เขายังคงแบกนางเซียนหงส์ฟ้าอยู่บนหลัง มิฉะนั้นคงได้ทุบตีมันบ้างแน่

หลบหนีจากศัตรูทั้งที่มันเป็นอสูรในตำนานตนหนึ่ง

กิเลนตัวนี้ จะไม่ไร้ความสามารถไปหน่อยหรือ?

เย่ว์หยางคว้าคอของกิเลนและปีนขึ้นไปอยู่บนหลังของมัน เขาจะทนห้อยแขนอยู่ในปากของมันเป็นเวลานานได้อย่างไร?

เมื่อกิเลนตระหนักได้ว่าเย่ว์หยางปีนขึ้นไปอยู่บนหลังของมัน มันกลายเป็นศัตรูทันทีและพยศสลัดเย่ว์หยางลงจากหลังของมันโดยไม่สนใจว่าเขาช่วยชีวิตของมันมาแม้แต่น้อย กิเลนตัวนี้ไม่มีความภักดีเสียเลย มันทอดทิ้งเย่ว์หยางและหลบหนีไปตามลำพัง เมื่อเย่ว์หยางร่วงลงมาบนพื้น เขาก็รู้ได้ว่าบารุธและตู้หลันได้ล้อมเขาไว้ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ไม่เปิดทางให้เขาได้หลบหนี

ทำไมพวกเขาถึงไม่ไล่ตามกิเลนเล่า? ทำไมพวกเขากลับมาล้อมเขาแทนเล่า? นี่พวกเขาคิดยังไงกัน เย่ว์หยางรู้สึกปวดหัว เขาพยายามอย่างหนักเพื่อช่วยกิเลน ใครจะคาดกันว่ามันไม่มีความกตัญญูเลยแม้แต่น้อย

ในท้องฟ้า จ้าวปีศาจฮาซินและจ้าวปีศาจอื่นๆ ปรากฏตัว

เย่ว์หยางเหงื่อตก

อย่างที่คาดไว้ แดนปีศาจก็เป็นเหมือนถ้ำเสือ ตอนนี้เขาเหมือนกับแหย่รังแตนเข้าให้แล้ว จ้าวปีศาจปรากฎออกมาทีละตนๆ

“มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่?” สิ่งที่ทำให้เขาดีใจก็คือนางเซียนหงส์ฟ้าฟื้นขึ้นได้เสียที พอเห็นภาพข้างหน้า นางจึงถามด้วยความประหลาดใจ “พวกแดนอเวจีบุกรุกเข้าทวีปมังกรทะยานหรือ? ราชันย์จ้าวปีศาจก็เข้าร่วมโจมตีด้วยหรือนี่?”

“ไม่ใช่, ที่นี่คือวังปีศาจ” เย่ว์หยางรีบตอบนาง

“เจ้ามาทำบ้าอะไรที่วังปีศาจ?” นางเซียนหงส์ฟ้าถึงกับตะลึงงัน พวกเขาเพิ่งสู้กับซุ่นเทียนเสร็จ แล้วทำไมเขาถึงไปวังปีศาจทั้งยังต่อสู้กับราชันย์จ้าวปีศาจอีกด้วย?

“ถือว่ามาเที่ยวพักผ่อนวันหยุดก็แล้วกัน” เย่ว์หยางตอบด้วยความเชื่อมั่น

“…..” นางเซียนหงส์ฟ้าพูดไม่ออก

เห็นได้ชัดว่าราชันย์จ้าวปีศาจบารุธจำนางเซียนหงส์ฟ้าได้ ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แม้แต่แม่ทัพใหญ่ปีศาจตู้หลันและจ้าวปีศาจอีกสองตนก็จำนางเซียนหงส์ฟ้าได้ ดูเหมือนพวกเขาเคยสู้กันที่หอทงเทียนชั้นสูงๆ มาก่อน ราชันย์จ้าวปีศาจบารุธข่มความโกรธและพูดว่า “ข้านึกว่าใครเสียอีกที่บุกรุกดินแดนเรา, กลับกลายเป็นเจ้าเสียได้, มารกฎฟ้า เจ้าเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดชาวมนุษย์ได้ผิดคำสาบานแต่เก่าก่อนและบุกรุกวังปีศาจคุกโลหิตของเรา เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะไม่ปฏิบัติตามคำสาบานบ้าง เราจะบุกรุกทวีปมังกรทะยานเสียเดี๋ยวนี้แหละ…”

นางเซียนหงส์ฟ้าปฏิเสธทันทีเมื่อได้ยินคำพูดเขา “ท่านพูดอะไร? ข้าเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสหายน้อยนำข้ามาวังปีศาจ ยิ่งกว่านั้นสถานที่ของท่านมืดและน่ากลัวมาก ข้าไม่ต้องการมาที่นี่อยู่แล้ว ต่อให้เชื้อเชิญข้าก็ตามที”

เมื่อจ้าวปีศาจฮาซินเห็นเย่ว์หยาง เขาก็จำได้ทันที “เป็นเจ้านี่เอง!”

เย่ว์หยางพูดไม่ออก เขากำลังสวมหน้ากากคนคู่ทับใบหน้าของเขา ก็ยังมีปีศาจจดจำเขาได้อีก ความสามารถของจ้าวปีศาจฮาซินในการรู้สึกถึงปราณและพลังของคนอื่นทรงพลังไม่เบา

เกี่ยวกับเรื่องปฏิกิริยาโกรธของจ้าวปีศาจฮาซินทำเอาทุกคนงงงันไปหมด ฮาซินไม่เคยย่างเท้าเข้าทวีปมังกรทะยานมานานเกินร้อยปี เขาคุ้นเคยกับนักรบมนุษย์น้อยได้อย่างไร พลังชีวิตที่ไหลเวียนในตัวของหนุ่มน้อยชาวมนุษย์ผู้ดูเหมือนไม่เกินยี่สิบปี และเขาไม่เคยปรากฏตัวในหอทงเทียนชั้นที่หกมาก่อนแน่นอน ฮาซินไปพบเขามาก่อนได้อย่างไร? ในกลุ่มพวกเขานางเซียนหงส์ฟ้างงงันที่สุด นางไม่เข้าใจว่าเย่ว์หยางไปสร้างศัตรูที่มีความแค้นต่อเขาแม้กระทั่งในแดนอเวจีได้อย่างไร? เจ้าเด็กนี่ยั่วให้คนโกรธมากี่คนกันแน่? เกี่ยวกับสายตาที่มากไปด้วยคำถามของนางเซียนหงส์ฟ้า เย่ว์หยางได้แต่ยิ้มเชิงขออภัยต่อนาง เขาก็ไม่ต้องการยั่วโมโหจ้าวปีศาจฮาซินเช่นกัน..

ใครกันเล่าจะเบื่อหน่ายชีวิตจัดถึงขนาดเป็นศัตรูกับจ้าวปีศาจ? แต่ตอนนั้นเขาไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ!

“เจ้าเด็กมนุษย์นี่เป็นคนตัดแขนข้าเมื่อปีที่แล้ว” คำพูดของจ้าวปีศาจฮาซินทำให้ทุกคนพูดไม่ออก ดูเหมือนเจ้าเด็กนี่ก่อเรื่องใหญ่เข้าให้แล้ว

“เด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ควบคุมวงจักรล้างโลกได้นับเป็นอัจฉริยะในรอบหลายพันปีจริงๆ” จ้าวปีศาจอีกคนพูด “เป็นไปได้ไหมว่า จะมีสุดยอดฝีมือในโลกหล้าจะปรากฏตัวในทวีปมังกรทะยาน? ดูเหมือนว่าเราต้องฆ่าเจ้าเด็กนี่เสียแล้ว แม้ว่าเราจะต้องทุ่มเทกำลังทั้งหมดก็ตาม”

“อย่าเข้าใจผิด ข้าไม่มีความสนใจตำแหน่งหนึ่งโลกหล้าแม้แต่น้อย ข้าสนใจแต่ชีวิตรักที่สุขสมเท่านั้น” เย่ว์หยางแกล้งทำตัวเป็นบุรุษที่ไร้ความสามารถ

“บารุธสหายรักของข้า, ทำไมท่านไม่แนะนำแขกผู้มีเกียรติผู้เยี่ยมเยือนท่านให้สหายเก่าของท่านได้รู้จักเล่า? เป็นไปได้ไหมว่าท่านกลัวว่าข้าจะอายท่าน เพราะข้าเป็นผู้ชราที่ไร้ประโยชน์ไปแล้วในตอนนี้?” อีกด้านหนึ่งของฟากฟ้า ในตำแหน่งทิศใต้ มีเงาดำปรากฏอีกสองสาย พวกนั้นเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่จากอีกเผ่าพันธุ์ปีศาจในแดนอเวจี เผ่าพันธุ์ผีอมตะ (ผีดิบ, ซอมบี้) จากโลกบาดาลราชาลิช

แดนอเวจีใหญ่โตมากกว่าทวีปมังกรทะยานถึงสิบเท่า แต่มีผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่อยู่เพียงสาม

พวกที่มีพลังมากที่สุดและมักสู้กับมนุษย์บ่อยๆ ก็คือเผ่าพันธุ์ปีศาจคุกโลหิต สำหรับจ้าวปีศาจในฐานะผู้นำของเผ่าพันธุ์ปีศาจมีชื่อเสียงรู้จักกันไปทั้งโลก เผ่าพันธุ์ปีศาจที่ทรงอำนาจจำพวกที่สองก็คือ พวกเผ่าผีอมตะในโลกบาดาล มีราชาลิชเป็นผู้นำเผ่าพันธุ์ พลังของพวกเขาสามารถสร้างศพซอมบี้และพวกผีอมตะได้ และพวกมันคือฝันร้ายของมนุษยชาติ พวกที่ทรงอำนาจจำพวกที่สามเป็นเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตวิบัติเรียกว่า “ราตรีนิรันดร์” กล่าวกันว่าหมื่นปีที่แล้ว มีเทวดาตกสวรรค์จากแดนสวรรค์ได้มาถึงแดนอเวจีเพื่อสร้างพลังอำนาจใหม่ พวกเขาไม่ค่อยต่อสู้กับมนุษย์ในหอทงเทียนระดับล่างบ่อยนัก แต่พยายามจะบุกรุกเข้าทวีปมังกรทะยาน อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่หอทงเทียนชั้นสี่เป็นต้นไป แม้แต่พวกที่อาศัยอยู่ดินแดนทวีปรอบนอก ต่างก็รู้จักเผ่าพันธุ์ชีวิตวิบัติกันทั้งนั้น พลังอำนาจของพวกเขาเหล่านี้ไม่ได้ด้อยกว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจและเผ่าพันธุ์ผีอมตะเลย

แตกต่างจากมนุษย์, สิ่งมีชีวิตในแดนอเวจีมีชีวิตอยู่ในหลักการที่ว่าผู้แข็งแกร่งล่าผู้อ่อนแอ ดังนั้นจึงมีการสังหารอยู่ทั่วทุกแห่ง

อย่างไรก็ตาม นักรบระดับราชาที่เป็นยอดบนของห่วงโซ่อาหาร จะมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก

อีกอย่างหนึ่ง ในการเปรียบเทียบ ถ้าไม่ใช่เพราะสนธิสัญญาที่สร้างสันติภาพและความมั่นคง นักสู้ปราณก่อกำเนิดชาวมนุษย์คงจะก่อสงครามกันเองไปแล้ว

อาณาจักรทั้งสาม, สี่ตระกูลใหญ่, สี่นิกายใหญ่, วังมาร, นิกายพันปีศาจและองค์กรอื่นๆ ที่แตกแยกย่อยกันไปทั้งหมด เป็นเพราะพันธมิตรปราณก่อกำเนิด บวกกับการที่ผู้เฒ่าหนานกงช่วยไกล่เกลี่ยให้ในระหว่างนักสู้และกองกำลังปฏิบัติตามสนธิสัญญาพันธมิตรปราณก่อกำเนิดจนนำความสงบมาสู่ทุกคนได้ในที่สุด

เย่ว์หยางจำได้ว่าหนึ่งในราชาลิชก็คือกรุน

เจ้าผู้นี้ก็คือศัตรูคนหนึ่งของเขา

ก่อนนี้ เย่ว์หยางเคยสู้กับกรุนมาก่อนและเขายังฆ่าจ้าวอัคคีที่เขาปล่อยมาอีกด้วย ตอนนี้แม้แต่ดาบฮุยจินดาบที่เขากวัดแกว่งอยู่นี้ก็สร้างมาจากหัวใจของจ้าวอัคคีและผลึกเวทของมังกรกระดูก เขาไม่รู้ว่าราชากรุนผู้นี้จะเป็นผู้ที่ลืมเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ง่ายหรือไม่ จากนั้นเย่ว์หยางก็คิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ ไม่สลักสำคัญต่อเขา เย่ว์หยางหวังว่ากรุนราชาของชาวลิชจะจำเขาไม่ได้ แต่เห็นได้ชัดว่า เป็นไปไม่ได้

เมื่อกรุนราชาชาวลิชเห็นเย่ว์หยางด้วยดวงตาเขียวน่ากลัวของเขา เขาก็เริ่มหัวเราะเสียงประหลาด “นอกจากนี้ ข้ายังจำนักสู้ปราณก่อกำเนิดหนุ่มน้อยได้ เขาฆ่าหนึ่งในผู้ติดตามของข้าในสมรภูมิมรณะในครั้งก่อน ข้าพยายามโจมตีใส่เขาเมื่อครั้งก่อน แต่เขาหลบหนีมาได้ตลอด”

“เขามีทักษะพวกโซ่ล่องหนสามารถพันธนาการความเคลื่อนไหวได้วินาทีหนึ่ง” จ้าวปีศาจฮาซินพูดเสริม

“ตายแล้ว! เจ้าไปสร้างศัตรูไว้ทุกแห่งหนได้อย่างไรกันนี่?” ทั้งที่สถานการณ์ไม่ดี นางเซียนหงส์ฟ้าไม่รู้จะทำอย่างไร นางถึงกับหัวเราะลั่น “ท่านนึกว่าข้าต้องการทำอย่างนั้นหรือ? พวกเขาเป็นฝ่ายพยายามฆ่าข้าก่อน ดังนั้นข้าจำใจต้องป้องกันตัว ข้าไม่ถึงกับอยากเจ็บตัวมากด้วยการรนหาเรื่องพวกเขาก่อนแน่, ท่านก็รู้? พวกเขาเป็นฝ่ายผิดชัดๆ แล้วยังต้องการปรับโทษเอากับข้าอีก” เย่ว์หยางหงุดหงิด

“ตอนนี้ปัญหาก็คือว่า มีจ้าวปีศาจถึงสาม อีกฝ่ายมีราชาลิชถึงสอง เจ้าคิดว่าพวกเขาจะทำเป็นมีจิตสำนึกระลึกได้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของพวกเขางั้นหรือ?” นางเซียนหงส์ฟ้ายังคงหัวเราะคิกคักต่อไป ขณะที่นางกดแขนลงบนไหล่เย่ว์หยาง พร้อมกับกดอกมหึมาของนางลงที่หลังเย่ว์หยาง พลางกระซิบที่หูเขา “น่าเสียดายที่ข้ายังไม่มีความแข็งแรงพอในตอนนี้ มิฉะนั้นข้าจะช่วยเจ้าสู้ได้แน่นอน..”

ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่านางเซียนหงส์ฟ้า ผู้ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางรู้จักกันในนามมารกฎฟ้าอยู่ที่นี่ จ้าวปีศาจเหล่านี้คงล้อมเย่ว์หยางและรุมขย้ำเขาจนตายไปแล้ว

นางเซียนหงส์ฟ้าได้รับบาดเจ็บและพลังของนางยังไม่แข็งแกร่งเท่ากับเมื่อก่อน ซึ่งพวกเขาสามารถเห็นได้

อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่กล้าประมาทนางแน่ๆ

แม้ว่านางมารกฎฟ้าจะได้รับบาดเจ็บหนัก ถ้านางต่อสู้ด้วยพลังของนางทั้งหมด ก็มีความเป็นไปได้ว่านางจะสามารถฆ่าพวกเขาได้สักคน

ไม่มีผู้ใดต้องการตกเป็นผู้โชคร้าย จ้าวปีศาจทั้งสามและราชาลิชทั้งสองแอบส่งกระแสจิตให้ทหารปีศาจของพวกเขาให้เตรียมใช้กลยุทธโจมตีที่ดีที่สุดเพื่อฆ่าพวกเขาทั้งสอง

ไม่ว่ายังไง พวกเขาจะไม่ยอมปล่อยโอกาสดีเช่นนี้ให้หลุดมือไป ถ้าพวกเขาสามารถฆ่านักสู้ปราณก่อกำเนิดหนุ่มน้อยนี้ผู้มีศักยภาพมากและมารกฎฟ้านักสู้ผู้แข็งแกร่งมากในที่นี่ได้ นักสู้ปราณก่อกำเนิดชาวมนุษย์ก็จะประสบความสูญเสียครั้งใหญ่แสนสาหัส ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเหล่านักสู้ระดับสูงสุดพบเหตุไม่คาดฝันบางอย่างในหอทงเทียนชั้นสิบและไม่สามารถกลับมายังทวีปมังกรทะยานได้ ทวีปมังกรทะยานจะต้องพบกับจุดจบแน่นอน ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความตายและหายนะได้

ภายใต้วังวนนิลกาฬ พลังของจ้าวปีศาจและราชาลิชจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า

พลังของเย่ว์หยางและนางเซียนหงส์ฟ้ากลับตรงกันข้าม ถูกพลังวังวนนิลกาฬข่มเอาไว้ แม้ว่าวังวนนิลกาฬจะไม่มีผลใหญ่ต่อพวกเขาจริงๆ แต่พวกเขาก็ยังได้รับอิทธิพลบ้าง ความแตกต่างในเรื่องพลังระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงต่างกันมาก

โชคดีที่อาการบาดเจ็บของนางเซียนหงส์ฟ้าดีขึ้นทีละน้อยหลังจากเย่ว์หยางถ่ายปราณก่อกำเนิดปริมาณมหาศาลเพื่อรักษานาง ยิ่งกว่านั้น เพราะนางกำลังจะถูกผนึกและร่างกายนางโปร่งแสงเล็กน้อย เพลิงอมฤตที่เย่ว์หยางปล่อยออกมาจึงไม่ได้ทำร้ายร่างของนาง แน่นอนว่าอาจจะเป็นเพราะเหตุผลอื่น แต่เย่ว์หยางไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ ว่านางเซียนหงส์ฟ้าได้รับทักษะที่ทนต่อเพลิงอมฤตของเขาได้อย่างไรกัน

เป็นไปได้ไหมว่าเพลิงอมฤตรับรู้ได้? มันรู้ว่าใครเป็นมิตรใครเป็นศัตรู?

เย่ว์หยางไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้มาก แต่เขาคิดเพียงชั่วแว่บในจิตใจเท่านั้น

“ตอนนี้เอายังไงดี?” นางเซียนหงส์ฟ้าสามารถรู้สึกได้ว่าสามจ้าวปีศาจและสองราชาลิชกำลังแอบปรึกษาวางแผนสู้กับพวกเขา พวกเขากำลังจะจู่โจมในไม่ช้านี้

“ท่านถามข้า, แล้วจะให้ข้าถามใคร” เย่ว์หยางคิดอะไรไม่ออกเลยในตอนนี้ ไม่สามารถใช้ม้วนเทเลพอร์ตหนีไปได้เพราะวังวนนิลกาฬ ซึ่งตรึงมิติไว้ด้วยพลังความมืด ถ้าพวกเขาวิ่งหนีพวกเขาก็ยังหนีไม่พื้นเงื้อมมือจ้าวปีศาจอยู่ดี นอกจากสู้กับพวกเขาด้วยพลังทั้งหมดแล้ว เย่ว์หยางคิดอะไรอย่างอื่นไม่ออก

ถ้านางเซียนหงส์ฟ้าไม่อยู่ที่นี่ บางทีเขาสามารถหลบเข้าไปซ่อนอยู่ในมิติหลุมดำกับนางพญาเฟ่ยเหวินหลีได้

เขาสามารถฝึกฝีมืออยู่ในมิตินั้นและค่อยออกมาเมื่อเขามีฝีมือแข็งแกร่งขึ้น มิฉะนั้น เขาก็จะลองปล่อยนางพญาเฟ่ยเหวินหลีออกมาจากผนึก ไม่ว่าจ้าวปีศาจทั้งหลายจะมีเท่าไหร่ นางคงจัดการเล่นงานพวกเขาจนสะบักสะบอมได้

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ ความจริงที่โหดร้ายก็คือ ไม่เพียงนางเซียนหงส์ฟ้าจะอยู่ที่นี่เท่านั้น แต่นางยังคงบาดเจ็บหนักอีกต่างหาก แม้ว่าเย่ว์หยางจะกลัวตาย แต่เขาก็ไม่มีทางทิ้งสตรีที่บาดเจ็บและหลบหนีไปตามลำพังแน่ เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสตรีนางนี้เสี่ยงชีวิตนางช่วยเขาใช้ร่างของนางปกป้องเขาจากท่าสังหาร.. ถ้าเขาทิ้งสตรีที่เขาชอบผู้ช่วยชีวิตเขาและหนีเอาชีวิตรอดตามลำพัง อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่ตัวเย่ว์หยางเองก็ยังดูถูกตัวเอง

นางเซียนหงส์ฟ้าถอนหายใจกะทันหัน “ความจริง ข้ามีความคิดอย่างหนึ่ง!”

ดูเหมือนนางมีความคิดจะส่งเย่ว์หยางหนีไป แต่ไม่จำเป็นต้องพูด นางจะต้องจ่ายค่าตอบแทนในการส่งเย่ว์หยางหนีด้วยชีวิตตนเอง

เย่ว์หยางไม่ต้องการฟัง เขาส่ายหน้าและปฏิเสธทันที “ข้าเป็นบุรุษ ท่านต้องฟังข้าในเวลาวิกฤติอย่างนี้ ถ้าข้าบอกว่าไป เราก็ไปกัน ถ้าข้าบอกว่าสู้ เราก็สู้ร่วมกัน!”

นางเซียนหงส์ฟ้ากอดเย่ว์หยางขณะที่นางจูบแก้มเขาอย่างมีความสุข “โอว, เย่ว์หยางน้อย, เจ้าช่างเป็นลูกผู้ชายยิ่งนัก! ถ้าเจ้าเป็นลูกผู้ชายมากกว่านี้ ข้าจะหลงรักเจ้าจริงๆ แล้ว!”

สามจ้าวปีศาจและสองราชาลิชไม่สนใจเรื่องที่เย่ว์หยางกับนางเซียนหงส์ฟ้าพร่ำพรอดกัน พวกขาใจแข็งยิ่งกว่าหิน

แม่ทัพใหญ่ปีศาจตู้หลันพร้อมกับนักรบแข็งแกร่งทั้งหกรายล้อมเย่ว์หยางและนางเซียนหงส์ฟ้าจากหกตำแหน่งและเกร็งพลังไว้พร้อมกัน

พวกเขาเตรียมร่วมกันจะโจมตีและสังหารคนทั้งสองที่อยู่ตรงกลางทันที

อย่างไรก็ตาม ในท้องฟ้า แสงสีขาวปรากฏวาบทันที

กิเลนที่หนีไปแล้วตอนนี้กลับมาจริงๆ มันเอียงหัวมองดูเย่ว์หยางชั่วครู่ และทันใดนั้นเย่ว์หยางก็ต้องประหลาดใจที่มันถามเป็นภาษามนุษย์ “ทำไมเจ้าถึงไม่หนีไป?”

“เอ๊ะ?” เสียงที่เย่ว์หยางได้ยินไม่ใช่เสียงเหมือนบุรุษ, แต่เป็นเสียงสตรี เขารู้สึกดีขึ้นมากทันทีและถามว่า “แล้วทำไมเจ้าถึงกลับมา?”

“ข้าหลงทาง ข้าต้องการถามทางกลับไปหอทงเทียนหรือแดนสวรรค์” นางเซียนหงส์ฟ้า, จ้าวปีศาจและราชาลิชแทบจะล้มกลิ้งกับพื้นเมื่อได้ยินเช่นนี้

“สมองกลวงหรือไงนี่?” เย่ว์หยางคิดว่านิสัยที่น่ากลัวที่สุดของหญิงสาวก็คืออาการสมองกลวง

“ข้าพูดถึงแดนสวรรค์ ไม่ใช่เรื่องสมองกลวง, เจ้าโง่, เจ้าไม่รู้วิธีไปแดนสวรรค์ใช่ไหม? เจ้านั่นแหละโง่จริงๆ!” เสียงเด็กผู้หญิงของกิเลนทำให้เย่ว์หยางหัวเราะลั่น สำหรับการพูดกับสัตว์อสูรแล้ว นอกจากอสูรร่างมนุษย์แล้ว เย่ว์หยางไม่เคยเห็นสัตว์อสูรที่มีลักษณะของสัตว์เดรัจฉานจะสามารถพูดได้ ยิ่งกว่านั้น นางมีเสียงเพราะน่ารัก เสียงเด็กผู้หญิงที่ซื่อบื้อ

“ข้าไม่รู้วิธีไปแดนสวรรค์หรอก แต่ข้ารู้วิธีไปหอทงเทียน!” นางเซียนหงส์ฟ้าตอบ มองดูนางด้วยท่าทางยิ้มๆ เย่ว์หยางรู้จักด้านเจ้าเล่ห์ของนาง

“ไม่, ท่านแม่บอกว่า พวกสตรีเจ้าเล่ห์, เห็นแก่ตัวและพวกนางขี้อิจฉาได้ง่ายๆ พวกนางไม่น่าไว้ใจ” นางเซียนหงส์ฟ้าพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำพูดของกิเลน

“เจ้าพูดถูกแน่นอน!” เย่ว์หยางปรบมือชมเชยมัน

“พวกปีศาจอ่อนแอพวกนั้นน่าจะรู้ว่าหอทงเทียนอยู่ที่ไหนนะ น่าเสียดายที่ข้ายังฟื้นฟูสภาพได้ไม่เต็มที่ มิฉะนั้นข้าจะจับพวกนั้นมาสักคนและบังคับให้เขาบอกทางให้กับข้าจากที่ตรงนี้” จ้าวปีศาจรู้สึกเหมือนถูกเอาศีรษะโขกกับผนัง เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของกิเลน พวกเขาเป็นปีศาจอ่อนแอหรือนี่?

“เจ้ามาจากแดนสวรรค์หรือ? แม้แต่จ้าวปีศาจก็ต้องการรู้คำตอบที่เย่ว์หยางถามเช่นกัน

แดนสวรรค์คงมีอยู่แต่ในตำนาน แต่มันเหมือนอะไรเล่า?

ตอนนี้ ไม่มีใครรู้

ถ้าอสูรในตำนานนี้หลงทางมาจากแดนสวรรค์จริงๆ นางคงรู้เรื่องแดนสวรรค์มากมาย! อย่างน้อยที่สุด นางสามารถพิสูจน์ว่าแดนสวรรค์มีอยู่จริง

กิเลนสมองกลวงตอบคำถามเย่ว์หยางในเชิงลบแทน “ข้าไม่ได้มาจากแดนสวรรค์แน่นอน แดนสวรรค์น่าเบื่อจะตาย ไม่ใช่เรื่องที่สนุกที่จะไปเยือนที่นั่น คนที่นั่นดุร้ายและไร้เหตุผล ข้าไม่ชอบแดนสวรรค์! ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าข้าต้องไปแดนสวรรค์เพื่อกลับไปบ้าน ข้าจะไม่ไปที่แบบนั้นแน่นอน มันเป็นที่ๆ น่าเบื่อสุดๆ”

จากนั้นเย่ว์หยางจึงชี้ไปที่ราชันย์จ้าวปีศาจบารุธและถามกิเลนว่า “ดูปีศาจนี่ ที่ผนึกเจ้าไว้ ถ้าเจ้าจะไปแดนสวรรค์ อย่างเขานี่แข็งแกร่งขนาดไหนเมื่อเทียบกับมาตรฐานในแดนสวรรค์?

กิเลนคิดอยู่ชั่วครู่ จากก็ให้คำตอบที่ทำให้ทุกคนถึงกับใจตกวูบ “ข้าไม่รู้นะ.. ข้าอยู่ในแดนสวรรค์มาไม่กี่ร้อยปีเอง ดังนั้นข้าไม่ค่อยคุ้นกับเหตุการณ์ที่นั่นมากนัก แต่ถ้าให้เทียบความแข็งแกร่งของเขา ข้าคิดว่าก็พอๆ กับพวกทหารรับจ้างหน้าโง่ที่เที่ยววิ่งรับจ้างทำเงินไปทั่ว?”

บารุธแทบจะร้องไห้ เขาเป็นเพียงระดับเดียวกับทหารรับจ้างในแดนสวรรค์หรือนี่?

ราชาลิชกรุนส่งสัญญาณมือให้ราชันย์จ้าวปีศาจบารุธ แสดงให้เห็นว่าพวกเขาต้องจับอสูรในตำนานให้ได้ ความแข็งแรงของมันยังไม่ฟื้นฟูเต็มที่ พวกเขาต้องการผนึกนางไว้อีกครั้ง พวกเขาสามารถค้นคว้าเรื่องราวของนางในภายหลังก็ได้ บางทีกุญแจให้พวกเขาไปแดนสวรรค์อาจจะอยู่ในตัวอสูรในตำนานก็ได้

“มีดินแดนแห่งหนึ่งที่สูงกว่าแดนสวรรค์หรือเปล่า? ถ้ามีอยู่ แล้วมีนักพรตที่ขี่กระบี่บินหรือเปล่า?” เย่ว์หยางถามอีกครั้ง

“ข้าไม่อาจพูดต่อไปได้แล้ว ท่านแม่บอกว่าลำคอของข้ายังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ ดังนั้นข้าไม่สามารถพูดมากได้ มิฉะนั้น ถ้าข้าจะระคายคอ ข้าอาจร้องเพลงไม่ได้อีกต่อไป” กิเลนดูเหมือนจะเป็นเด็กว่าง่าย นางเชื่อฟังคำของมารดาเสมอ

“….” เย่ว์หยางสงสัยว่ากิเลนคงจะล้อเขาเล่น เป็นไปได้ไหมที่นางจะตอบเขาแค่เพียงว่าใช่หรือมิใช่?

“ข้าเหนื่อยแล้ว ขอยืมบ้านของเจ้าพักสักระยะหน่อยนะ” จากนั้นกิเลนก็กระโจนผลักเขาล้มลงกับพื้น เย่ว์หยางไม่ทันมีเวลาแหกปากแสดงความเจ็บปวด เมื่อนางมองดูเขาเหมือนกับว่านางรู้สึกผิดและพูดว่า “เฮ้, ก็แค่ถ้าเจ้าพูดว่าไม่ต้องการต้อนรับข้าเข้าบ้านเจ้า รู้ไหมว่าปฏิเสธไม่ให้แขกเข้าบ้านถือว่าโหดร้ายมากนะ? ช่างเถอะ ข้าไม่สนใจว่าเจ้าต้อนรับข้าหรือไม่ ข้าจะเข้าไปเอง!”

กิเลนไม่รอให้ให้เย่ว์หยางตอบ มันเปลี่ยนร่างเป็นประกายสายรุ้งและเข้าไปในร่างของเย่ว์หยางทันที

เย่ว์หยางพูดไม่ออก ก็ดีเหมือนกันถ้านางไม่ต้องการช่วยเขาสู้ศึก แต่นางต้องการยืมร่างเขาพักผ่อน ใครจะคิดกันว่าดรุณีผู้นี้มารยาทกระด้างนัก?

ราชันย์จ้าวปีศาจบารุธทำเป็นยื่นเงื่อนไขกับเย่ว์หยางทันที “เด็กน้อย, ถ้าเจ้ากับมารกฎฟ้ายินยอมอยู่ที่นี่ เราจะยอมลืมเรื่องที่เกิดขึ้นและรับรองพวกเจ้าเหมือนกับเป็นอาคันตุกะระดับสูง ถ้าพวกเจ้าพยายามจะจากไป เราจะยกเลิกสัญญาของเราทั้งหมดและฆ่าพวกเจ้าทันที ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าคิดหนึ่งนาที จงไปปรึกษากับมารกฎฟ้าดู” ถ้าสามจ้าวปีศาจและราชาลิชไม่นึกถึงความจริงที่ว่ากิเลนมาจากแดนสวรรค์ได้เข้าไปอยู่ในตัวของเย่ว์หยาง พวกเขาคงไม่ยอมผ่อนผันให้เย่ว์หยางและนางเซียนหงส์ฟ้าแน่นอน แต่ตอนนี้ เจ้าเด็กนี่เป็นสินค้าร้อนแรง ก็คงไม่ถึงกับแย่ถ้าพวกเขาจะจับกุมเขาไว้แล้วค่อยๆ ถามเรื่องแดนสวรรค์กับกิเลนภายหลังก็ได้

แต่ก่อนที่จ้าวปีศาจบารุธจะพูดจบประโยค แสงรุ้งก็พุ่งออกมาจากตัวเย่ว์หยางทันที

ดรุณีน้อยคนหนึ่งมีเขากวางบนศีรษะนางปรากฏตัวอยู่หน้าเย่ว์หยางขณะที่นางชี้นิ้วน้อยๆ ของนางมาที่ตัวเย่ว์หยาง “เด็กน้อยที่อยู่ในบ้านของเจ้ารังแกผู้คนจริงๆ! เธอไล่เตะข้าออกมา..อา..ข้าลืมแปลงร่างไป”ขณะที่นางพูด นางเปลี่ยนร่างเป็นกิเลนชั่วแว่บเดียว

สามจ้าวปีศาจรู้สึกเหมือนว่านี่เป็นโอกาสทองแล้ว พวกเขาพุ่งเข้าโจมตีทันที

พวกเขาพุ่งลงมาจากท้องฟ้าและร่วมมือกันจับอสูรในตำนานนี้ที่สามารถแปลงร่างได้ง่ายๆ ราชาลิชทั้งสองมุ่งเป้าไปที่เย่ว์หยางและนางเซียนหงส์ฟ้า แต่พวกเขาเพ่งความสนใจไปที่นางเซียนหงส์ฟ้าเป็นหลัก แม่ทัพใหญ่ปีศาจตู้หลันลอยตัวอยู่ห่างๆ ล้วงมุกปีศาจสีดำออกมาและใช้วังวนนิลกาฬช่วยขยายพลังของสหายของเขา ด้วยพลังของนักรบผู้แข็งแกร่งที่สุดทั้งห้าในแดนปีศาจ ควบคู่ไปกับพลังจากวังวนนิลกาฬ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะปราบศัตรูไม่ได้

ทันใดนั้น นกที่มีเสียงร้องชัดเจนที่ฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลายเสียงมันดังกึกก้อง ผ่านจิตวิญญาณของทุกคน

จู่ๆ เสาเพลิงอมฤตก็สว่างโพลงขึ้นในท้องฟ้า

เย่ว์หยางตระหนักว่าเพลิงอมฤตไม่ได้มาจากร่างของเขา ที่ทำให้เขาประหลาดใจ สิ่งมีชีวิตที่ลึกลับแต่คุ้นเคยสองร่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนได้ลอยออกมาจากในตัวของเขาและปล่อยเพลิงอมฤตเป็นสายยาวตลอดเหนือท้องฟ้า

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด