ตอนที่แล้วตอนที่ 37 : เหตุการณ์หลายหลาก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 39 : บ่มเพาะพลังครั้งแรก

ตอนที่ 38 : ทดสอบพลังใหม่


ในที่สุดส่วนที่สองของพระสูตรเก้าจิตเทพก็ถูดปลดออก บทสวดลึกลับของพระสูตรพรากดวงใจนั้นสลักแน่นในใจหลินมู่ เมื่อเสียงสวดดังสะท้อนในใจเขา ความเจ็บปวดก็เสียดแทงเข้ามาด้วย

สำหรับหลินมู่ ทุกวินาทีที่ผ่านไปไม่ต่างจากหนึ่งวันเต็ม กว่าทุกอย่างจะจบลงหลินมู่ก็ไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว เพราะความเจ็บปวดสุนแสนจะทานทนนั้นได้ปล้นเอาสัมผัสเวลาเขาไปด้วย

เมื่อความเจ็บปวดเบาบางลง หลินมู่ได้เห็นว่าแท่นบูชาหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด มันยังคงกระเพื่อมพลังอยู่แต่ก็มิได้เข้มข้นอย่างเดิมแล้ว เขารู้สึกว่าต้องแตะแท่นบูชาอีกครั้งแรกยื่นมือไป

หลินมู่เตรียมใจรับความเจ็บปวดที่อาจจะมาถึง แต่ก็มิได้เจอกับความเจ็บปวด มันกลับเป็นคลื่นพลังอ่อนโยนอย่างมากที่ถูกปล่อยออกมาจากแท่นบูชาและไหลเข้าสู่แหวนลึกลับก่อนจะส่งตรงมาที่ศีรษะของหลินมู่ เมื่อพลังเข้ามาแล้ว ข้อมูลใหม่ก็ได้เกิดขึ้นในใจเขา

มีอยู่สองสิ่งที่เขาได้รับรู้ นั่นคือพลังใหม่ เป็นพลังที่เรียกว่า ‘พริ้วไหว’ และ ‘ก้าวพริบตา’ หลินมู่รู้ว่าเป็นแหวนที่ส่งต่อข้อมูลของความสามารถเหล่านี้มาให้เขาและบอกเขาว่ามันคือพลังภายในที่มาจากตัวแหวนเอง

“ทำไมข้าถึงเพิ่งได้พลังมาตอนนี้ไม่ใช่ตั้งแต่แรกล่ะ? หรือว่าจะเป็นเพราะปราณจิต?”

หลินมู่สงสัย

หลังจากได้พลังมาแหวนก็สั่นอีกครั้ง มันพาหลินมู่ออกจากกระท่อม เขามองรอบ ๆ และยืนยันตำแหน่งของตัวเอง หลินมู่ได้เจอกับเรื่องราวน่าตกตะลึงมามากจนเกินไปแล้วในวันนี้เขาจึงท่องบทสงบใจอีกครั้งเพื่อตั้งสติ

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง หลินมู่จึงได้สรุปเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น

“ข้าได้พระสูตรพรากดวงใจและแหวนก็ถ่ายทอดพลังที่ชื่อพริ้วไหวกับก้าวพริบตากับข้า”

หลินมู่สรุปทั้งหมดในประโยคเดียว

สิ่งแรกที่หลินมู่ต้องการจะทดสอบก็คือพระสูตรพรากดวงใจ เขาอยากจะลองดูว่ามันเปรียบเทียบกับพระสูตรสงบใจอย่างไรและมันจะช่วยให้เขาบ่มเพาะพลังได้อย่างไร ในการทดสอบ หลินมู่นั่งสมาธิและเริ่มท่องบทพรากดวงใจ

บทพรากดวงใจนั้นแตกต่างจากบทสงบใจ ขณะที่บทสงบใจนั้นทำให้เขารู้สึกสงบขึ้น แต่บทพรากดวงใจนั้นทำให้จิตใจของเขาว่างเปล่า

ถ้าหากจะให้อธิบายความรู้สึกของหลินมู่อย่างใกล้เคียงที่สุดก็คือ ไม่มีอะไรเลย เขารู้สึกตัดขาดจากทุกสิ่ง เขาไม่รู้สึกถึงความปรารถนาใดและอารมณ์ทุกสิ่ง เขาเพ่งสมาธิกับพลังชีวิตในร่างกายและพบว่ามันยังคงเดิม มันมิได้เพิ่มการรับรู้ของเขาเหมือนกับบทสงบใจ

หลินมู่ลองสัมผัสปราณจิตในตันเถียน ก่อนหน้านี้เขาสามารถควบคุมปราณจิตด้วยความช่วยเหลือของบทสงบใจแต่มิอาจรับรู้ได้ว่าปราณจิตที่เขามีในตันเถียนนั้นมีมากเท่าใด แต่เมื่อเขาใช้บทพรากดวงใจ เขาจึงได้รู้ว่าในตันเถียนของเขานั้นมีปราณจิตอยู่เพียงห้าในร้อยส่วนเท่านั้น

เขาพยายามนับจำนวนเสี้ยวปราณจิตที่มีและประเมินว่ามีราว 100 เสี้ยว เขามิอาจนับจำนวนที่จัดเจนได้เพราะปราณจิตนั้นผสมและหลอมรวมเข้าด้วยกัน

‘ในตันเถียนข้ามีพลังแค่ห้าส่วนสินะ หมายความว่าข้ายังเก็บเสี้ยวปราณจิตได้ 2,000 เสี้ยว’

หลินมู่คิด

หลังจากนี้ เขาพยายามควบคุมเสี้ยวปราณจิตและทำมันได้อย่างสำเร็จ เขาลองต่อไปและควบคุมปราณจิตให้ขยับไปที่เส้นปราณ เขาใช้ความคิดและเสี้ยวปราณจิตก็เข้าสู่เส้นปราณแรก

การทำให้ปราณจิตเข้าสู่เส้นปราณนั้นเป็นส่วนที่ยากสำหรับหลินมู่ และเมื่อมันอยู่ในเส้นปราณมันก็มีทางเดียวให้ไปต่อ หลังจากควรคุมได้แล้ว เสี้ยวปราณจิตก็ได้ไหลเวียนเป็นครั้งแรก

หลังจากหลินมู่ทำให้ปราณไหลเวียนได้สำเร็จเป็นครั้งแรก เขารู้สึกได้ถึงรูขุมขนของร่างกายที่เปิดออก พลังจำนวนน้อยถูกดูดซับมาจากอากาศและชำระล้างเป็นเสี้ยวปราณจิตใหม่ที่ไหลลงไปสู่ตันเถียน

‘นี่น่ะรึวิธีการบ่มเพาะพลัง?’

หลินมู่ถามตัวเอง

หลินมู่นั้นไม่รู้เลยว่าเขาเพิ่งจะทำสิ่งที่ทำให้ผู้บ่มเพาะพลังคนอื่นตกตะลึงหากพวกเขาได้รู้ เขาได้ชำระล้างปราณจิตโดยที่ไม่มีตำราบ่มเพาะพลังเลย แม้ว่ามันจะเป็นจำนวนน้อยและเทียบไม่ได้กับประสิทธิภาพของวิชาบ่มเพาะพลังก็ตาม ความสำเร็จเดียวของเขาก็ทำให้โลกต้องสั่นคลอนแล้ว

หลินมู่หยุดท่องบทพรากดวงใจและลุกขึ้น เมื่อผลของบทพรากดวงใจหายไปทุกความรู้สึกก็กลับมา ตอนนี้เขาจึงได้เข้าใจว่าการหลีกเลี่ยงความรู้สึกทั้งหมดนั้นมีผลอย่างไร

‘ความรู้สึกนี้ หรือการไม่มีอยู่ มันมิอาจบรรยายได้เลบย’

หลินมู่คิดกับตัวเองด้วยใบหน้าที่ดูสับสน

ต่อมาหลินมู่นั้นอยากจะทดสอบสองพลังใหม่ที่ถูกถ่ายทอดมาจากแหวน เขารับรู้โดยสัญชาตญาตว่าต้องใช้พลังอย่างไร พลังแรกที่หลินมู่ทดสอบก็คือพลังที่ชื่อว่า ‘พริ้วไหว’

เขารู้วิธีใช้ของมันแต่ไม่รู้ว่าผลของมันเป็นเช่นใด เขาอยากจะทดลองด้วยตัวเองเพื่อให้เข้าใจมัน ดังนั้นหลินมู่จึงถอนหายใจเข้าลึกและใช้พลัง เสี้ยวปราณจิตของเขาพุ่งออกจากตันเถียนเข้าสู่แหวนด้วยตัวเอง

หลังจากปราณจิตถูกแหวนดูดกลืนไปแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นซึ่งทำให้หลินมู่สับสนว่าเขาทำผิดพลาดหรือไม่ เขาลองอีกครั้งและเสี้ยวปราณจิตก็ถูกดูดกลืนไปและไม่ได้ผลอะไรกลับมา เขาลองครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไม่มีวี่แววว่ามันจะสำเร็จจนกระทั่งเขาสังเกตเห็นมือของตัวเองในตอนที่ใช้พลัง

หลินมู่สังเกตว่าในทุกครั้งที่เขาใช้พลังพริ้วไหว มือของเขาจะจางหายไปครู่หนึ่ง เพื่อทดสอบสิ่งที่ตัวเองคิด เขาลองอีกครั้งและเห็นว่ามันเป็นเรื่องจริง ครั้งต่อมาเขาก็พบว่ามิใช่แค่มือของเขาที่จางหายไป แต่เป็นทั้งตัวของเขาที่จางหาย

หลินมู่บรรลุในทันทีและนึกถึงตอนที่ต่อสู้ครั้งแรกกับโจรสองคน สิ่งที่คล้ายกันเคยบเกิดขึ้นมาก่อน การโจมตีของโจรสองคนนั้นได้ผ่านร่างกายของเขาราวกับผ่านอากาศธาตุ

“มันเป็นพลังที่ช่วยชีวิตข้าในตอนนั้น”

หลินมู่อุทาน

เขาอยากจะทดสอบพลังต่อไป เขาจับโต๊ะด้วยมือและใช้พลังพริ้วไหว ทันทีที่เขาใช้พลัง มือของหลินมู่ทะลุผ่านโต๊ะราวกับมันเป็นอากาศ หลินมู่อึ้งมองมือของตัวเอง เขาลองอีกด้วยหลายสิ่งหลายอย่างและพบว่ามันทำงานเหมือนเดิม

แต่ขณะที่ทดสองนั้น เขาก็ได้พบขีดจำกัดของพลัง พลังนั้นทำให้ร่างกายของเขาจับต้องไม่ได้หนึ่งวินาทีและกลับมาเป็นเหมือนเดิม มันทำให้มือของเขาทะลุผ่านของที่บางอย่างเช่นโต๊ะได้ แต่มิอาจทะลุผ่านกำแพงกระท่อม หรือมิอาจทะลุพื้นได้ หินก้อนเล็กหรือก้อนดินหนึ่งกำมือร่วงผ่านมือของเขาในตอนที่ใช้พลัง แต่เขาไม่สามารถล้วงมือผ่านพื้นดินได้

‘แต่ถ้าขีดจำกัดของพลังขึ้นอยู่กับความหนาของสิ่งของ แล้วข้าหลบขวานของโจรนั่นได้ยังไง?’

หลินมู่สงสัยเป็นอย่างมาก

หลินมู่คิดต่อไปไม่นานและรู้ว่ามันอาจจะมีปัจจัยอื่นที่มีผลกับพลัง เขาเรียกดาบสั้นและถือมันไว้ในมือขณะที่ใช้พลังพริ้วไหว เขาคิดว่าดาบจะหลุดออกจากมือเขาแต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น จากนั้นเขาก็ถือด้านแบนไร้คมวางไว้บนมือซ้าย และฟันดาบ ครั้งนี้ดาบทะลุผ่านมือซ้ายไปแต่ดาบก็ยังอยู่ในมือขวาของเขา

‘ความหนาของวัตถุและความเร็วที่ร่างกายข้าขยับเป็นตัวตัดสินว่าพลังจะได้ผลหรือไม่สินะ’

หลินมู่สรุปและแอบลำพองใจอยู่ภายใน

จนถึงตอนนี้ เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาใช้ปราณจิตไปเกือบจะหมดตันเถียนแล้ว มันทำให้เขารู้ตัวว่าใช้พลัง ‘พริ้วไหว’ ไปมากมายเพียงใด เขาใช้หนึ่งเสี้ยวปราณจิตต่อการใช้พลังหนึ่งครั้ง ดังนั้นเขาในตอนนี้จะใช้มันได้ร้อยครั้งก่อนที่จะต้องหยุดพัก

‘สงสัยข้าต้องทดสอบพลังต่อไปในวันพรุ่งนี้แล้ว’

หลินมู่คิด

หลังจากทดลองทั้งหมดจบ หลินมู่เหนื่อยล้าและง่วงนอน เขาเอนกายบนเตียงและหลับไป แต่ในครั้งนี้เขาไม่ได้เข้าสู่ห้วงหลับใหลและผลอยหลับไปตามปกติ

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด