ตอนที่แล้วตอนที่ 298 – ตอนที่ 279 ทางเลือกของข้าคือฆ่าพวกเจ้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 300 – ตอนที่ 281 ซุ่นเทียนจักรพรรดิแห่งจื่อเว่ย

ตอนที่ 299 – ตอนที่ 280 จ้าวอัคนี


พอได้ยินคำตอบของเย่ว์หยาง นักสู้ปราณก่อกำเนิดนามซุ่มเทียนแทนที่จะโกรธ เขากลับยิ้มต่อไป

“เลือกได้ดี”

ซุ่นเทียนหมุนตัวและเริ่มลอยตัวกลับไปที่ปราสาทตระกูลเย่ว์พลางพึมพำ “ข้ารู้จักเหล่าผู้เยาว์ผู้มีพรสวรรค์เป็นพิเศษแต่หยิ่งและทะเยอทะยานในเวลาเดียวกันมาก็มาก ข้าชอบจิตวิญญาณและความภาคภูมิใจของพวกผู้เยาว์ แต่บางครั้งใช้เหตุผลน่าจะดีกว่าใช้อารมณ์ น่าเสียดายที่ดาวรุ่ง กำลังจะร่วงหล่นอีกดวงหนึ่ง!”

ท่านว่านฉีผู้ดูเหมือนจะอาวุโสสูงสุดในสามคนสืบเท้ามาอยู่หน้าเย่ว์หยางอย่างใจเย็น ไม่มีทีท่าประหลาดใจแต่อย่างใด

แม้ว่าธนูเพลิงและศรน้ำแข็งของเย่ว์หยางเพิ่งจะสังหารเหยากวงได้ทันทีก็ตาม ท่านว่านฉีผู้นี้ดูเหมือนยังมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม

เขาคิดว่าเขาสามารถฆ่าเย่ว์หยางได้แน่นอน

ภายใต้การวิเคราะห์ด้วยทักษะห้าแปรเปลี่ยนของซุ่นเทียน เย่ว์หยางเพิ่งจะบรรลุขอบเขตปราณก่อกำเนิด คงเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 3 หรือ 4 เป็นอย่างมาก แม้ว่าเย่ว์หยางจะมีพลังมากมาย โดยเฉพาะในกลุ่มพวกของเขา เย่ว์หยางมีลักษณะที่คาดไม่ถึงอย่างแท้จริง แต่ท่านว่านฉีมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าจะโค่นเย่ว์หยางลงได้ ดูโดยผิวเผิน ท่านว่านฉีดูเหมือนจะมีพลังนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 4 ซึ่งเหมือนกับว่าจะไม่ห่างจากเย่ว์หยางนัก อย่างไรก็ตาม มีเพียงท่านว่านฉีเองที่รู้ว่าความสามารถของเขายังมีมากกว่านั้น เพื่อทำให้ศัตรูประมาทเขา เขาฝึกฝนการซ่อนเร้นทักษะตนเองมาอย่างหนักตั้งแต่สองร้อยปีที่แล้ว ในความเป็นจริง ความสามารถของเขาอยู่ในระดับนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 5

บรรดาระดับของนักสู้ปราณก่อกำเนิด คนที่มีระดับสูงกว่าเพียงระดับเดียวจะมีพลังมากกว่าถึงสิบเท่า

เขาสูงกว่าเย่ว์หยางถึงสองระดับ ดังนั้นเขาจึงมีพลังมากกว่าเป็นร้อยเท่า ความแตกต่างนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทักษะวิทยายุทธของเย่ว์หยางจะสามารถสร้างขึ้นได้ นอกจากนี้ยังไม่สามารถสร้างขึ้นด้วยความมุ่งมั่นหรือด้วยการป้องกันของเย่ว์หยาง…

ที่สำคัญที่สุด ว่านฉีรู้สึกว่าเขาสามารถเอาชนะคุณชายสามตระกูลเย่ว์ได้อย่างแน่นอน ไม่ใช่เพียงแค่ความแตกต่างระหว่างระดับของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังคงเป็นความแตกต่างในด้านพลังของพวกเขาด้วย ก่อนที่จะเข้าสู่เขตแดนปราณก่อกำเนิดระดับ 5 นักสู้ปราณก่อกำเนิดจะต้องเข้าใจสนามพลังตนเองเสียก่อน

เมื่อนักสู้ปราณก่อกำเนิดเข้าใจสนามพลังของพวกเขา พวกเขาจึงจะมีความเป็นอยู่และอำนาจทุกอย่างคล้ายกับเทพ

ว่านฉีไม่เคยบอกผู้ใดมาก่อน แต่เมื่อห้าปีที่แล้ว เขาได้เข้าใจสนามแห่งพลังของเขาและครอบครองพื้นที่เขตแดนเล็กๆ ของตนเอง… กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตราบใดที่คุณชายสามตระกูลเย่ว์เข้ามาในพื้นที่สนามพลังของเขา เขาอาจสังหารคุณชายสามตระกูลเย่ว์ได้ในทันที

ทั้งนี้เป็นเพราะ เขาคือพระเจ้าในพื้นที่อาณาเขตของเขา

อย่าว่าแต่นักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 3 เลย แม้แต่นักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 4 ก็ยังจะถูกสนามพลังของนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 5 ฆ่าตายทันทีอย่างน่าอนาถ

ท่านว่านฉียังคงปกปิดพลังของเขาด้วยความเห็นแก่ตัว เพียงเพราะเป้าหมายเอาไว้ใช้ท้าสู้กับซุ่นเทียนในอนาคต

เพราะยังเร็วเกินไปที่จะท้าสู้กับซุ่นเทียน เขาต้องเอาชนะแม้ศัตรูจะแข็งแกร่งกว่าเพื่อพิสูจน์ตนเองจะได้ไล่ตามซุ่นเทียนได้ทัน ว่านฉีคิดคิดว่าคุณชายสามตระกูลเย่ว์เป็นหินหยั่งเท้าชั้นดีจริงๆ เขาจะเพิ่มความเชื่อมั่นด้วยการเอาชนะอัจฉริยะรุ่นเยาว์ได้แน่นอน

สำหรับเหยากวงและไคหยาง ว่านฉีไม่สนใจว่าพวกเขาจะเป็นหรือตายแม้แต่น้อย

เขาแกล้งทำเป็นโกรธเพื่อลวงซุ่นเทียน

เหยากวงและไคหยางจากกลุ่มพันธมิตรเจ็ดดาวมีดีพอแค่เป็นลูกน้องเขาเท่านั้น ชีวิตของเขามีประโยชน์แค่เอาไว้ประเมินความแข็งแกร่งที่แท้จริงของคุณชายสามตระกูลเย่ว์ และเอาไว้เป็นข้ออ้างล้างแค้นเอากับคุณชายสามตระกูลเย่ว์ แม้ว่าจื่อจุน, ผู้เฒ่าหนานกงและคนอื่นๆ จะทลายด่านหอทงเทียนชั้นสิบได้ตอนนี้และอาจกลับมายังทวีปมังกรทะยาน ก็ยังมีคนจากวังมาร อย่างเช่น มารมุกฟ้า (เทียนจู), มารกฎฟ้า(เทียนฝา) และมารฟ้าอื่นๆ คนพวกนี้มิใช่ทั้งมิตร มิใช่สหาย พวกเขาไม่ต้องการยั่วยุให้คนพวกนี้โกรธ

“ถ้าเจ้าไม่ว่ากระไร เราจะไปสู้กันในจุดอื่น อย่างเช่นมิติประลองเป็นอย่างไร ข้าหวังจริงๆ ว่าจะได้สู้กับเจ้าในมิติประลองแทนที่จะต่อสู้อยู่ในทวีปมังกรทะยานที่มีขีดจำกัดจากสัญญาพันธมิตรปราณก่อกำเนิด” ว่านฉีเป็นคนที่ระมัดระวังมาก เขามักอยู่เบื้องหลังเงาของซุ่นเทียน แม้แต่คำพูด การกระทำและพฤติกรรมต่างๆ ของเขา ก็คล้ายคลึงกับซุ่นเทียนมาก

เขามีความสามารถที่จะเอาชนะเย่ว์หยางได้อย่างง่ายดาย แต่เขายังกังวลว่าเขาจะบาดเจ็บหนักเพราะเย่ว์หยาง เขากังวลว่าซุ่นเทียนจะพบว่าเขาครอบครองพลังปราณก่อกำเนิดระดับ 5

ดังนั้น เขาพลิกแพลงเป็นยื่นข้อเสนอขอต่อสู้กันในมิติประลองแทน

“……” เย่ว์หยางพูดไม่ออก

แม้ว่าเจ้าผู้นี้คิดว่าเขาเป็นคนฉลาด แต่เขาไม่ควรเหมาว่าคนอื่นเป็นคนโง่ทั้งนั้นใช่ไหม?

เย่ว์หยางมั่นใจเต็มร้อยว่ามีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลซ่อนไว้ในแขนเสื้อของเจ้าผู้นี้ เขาจะไม่เชิญเย่ว์หยางเข้ามิติประลองเพียงเพราะเขาต้องการจะให้เกียรติพันธสัญญาพันธมิตรปราณก่อกำเนิดแน่นอน

เขาต้องมีอุบายบางอย่างซ่อนไว้ในแขนเสื้ออยู่แน่

เกี่ยวกับเรื่องอุบายของว่านฉี เย่ว์หยางยังหาไม่พบ แต่เขารู้สึกว่าต้องเกี่ยวกับสัตว์อสูรหรือทักษะแฝงเร้นของเจ้าผู้นี้แน่นอน ทันทีที่เขาเข้าไปในมิติประลอง เย่ว์หยางคิดว่าเขาจะตกเข้าไปในกับดักของว่านฉีและกลายเป็นเหยื่อของเขา

“ดีมาก” เย่ว์หยางเห็นด้วยทันที เขามีสีหน้าเต็มไปด้วยร้อยยิ้มจริงใจอย่างคาดไม่ถึง

เขาล้วงบอลเวทสีดำที่อนุญาตให้พวกเขาถูกส่งเข้าไปในมิติประลอง มันเป็นบอลเวทที่นักรบแดนอเวจีมักใช้กัน แต่ลูกนี้สร้างโดยอาจารย์จิ้งจอกเฒ่า เย่ว์หยางกระแทกบอลลงระหว่างว่านฉีและตัวเขาเอง และบอลระเบิดออกปล่อยลำแสงสีดำท่วมตัวเขาและว่านฉีไว้ภายใน เทเลพอร์ตพวกเขาทั้งสองเข้าไปในมิติประลอง ขณะเดียวกันรอยยิ้มเยือกเย็นปรากฏอยู่ที่ริมฝีปากของว่านฉี สำหรับเขาแล้วไม่ว่าจะเป็นมิติประลองของใครก็ไม่เป็นไร ตราบเท่าที่เขายังซ่อนสนามพลังของเขาจากซุ่นเทียนได้

ตราบใดที่เขาสามารถใช้งานสนามพลังของเขาได้ เจ้าเด็กนี่จะต้องตายในเงื้อมมือของเขาแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีแบบไหน จะเป็นธนูเพลิงศรน้ำแข็ง ของเหล่านั้นจะไร้ประโยชน์ทั้งหมด

ในตอนเริ่นต้นที่ร่างของเขาถูกเทเลพอร์ต เขายังคงเรียกสัตว์อสูรของเขาออกมาฆ่าสหายของเย่ว์หยางที่ด้านนอก เขาต้องการแสดงว่าเขาช่วยไคหยางจากกลุ่มนักสู้ปราณก่อกำเนิดเจ็ดดาว เพื่อที่ว่าเขาอาจจะได้รับการขอบคุณในอนาคต

บึ้ม….

ยักษ์หินสูงสามสิบเมตรใหญ่ขนาดภูเขาย่อมๆ ทลายพื้นแหวกดินออกมาบนพื้นโลก

ยักษ์ศิลาตัวนี้เป็นสัตว์อสูรชั้นทองระดับ 9 ในบรรดาสัตว์อสูรในหอทงเทียนชั้นที่ 5 และต่ำกว่า ไม่มีอสูรตนใดเทียบกับมันได้

มันคือจ้าวอัคนี เป็นจ้าวอสูรทองระดับ 9 ตัวของมันสูงมากกว่า 30 เมตร และตลอดทั้งร่างของมันปกคลุมด้วยหินอุกกาบาตสีดำเงามันที่ยังแข็งกว่าโลหะ มีสองหมัดที่คล่องแคล่วและหัวของมันมีหนามสีดำคลุมทั้งหมดสามารถข่มขู่ศัตรูของมันได้ทันที

แม้แต่มังกรยักษ์ก็ยังจะพบจุดจบอย่างน่าอนาคเมื่อมาเผชิญหน้ากับจ้าวอัคนีตนนี้

ทั้งนี้เพราะพลังป้องกันของจ้าวอัคนีนี้สูงส่งมาก ยิ่งกว่านั้น มันยังทนไฟและมีทักษะ “โลกถล่ม” สะเก็ดดาวตก และทักษะอื่นๆ อีก มันมีความสามารถในการต่อสู้ทั้งในระยะประชิดและระยะยาว เมื่อมีมันอยู่ นักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 2 และต่ำกว่าจะพบว่ายากที่จะรับมือมัน ว่านฉีเพิ่งลอบร่ายเวทเรียกมันออกมาเมื่อเขาลอยตัวลงมายืนบนพื้น โดยใช้ทักษะแฝงเร้น “โทรจิต” เพื่อซ่อนจ้าวอัคนีไว้ใต้พื้น ก่อนที่เย่ว์หยางและว่านฉีจะเข้าไปในมิติประลอง เขาสั่งให้จ้าวอัคนีออกมาจากใต้ดินและกำจัดศัตรูทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสหายหรือศัตรูและทุกอย่างบนพื้นดิน

“คุณพระช่วย!” เจ้าอ้วนไห่เห็นจ้าวอัคนี เขากลัวแทบตาย

แมมม็อธสายฟ้า อสูรทองระดับ 6 เป็นศัตรูที่น่ากลัวแล้ว ตอนนี้ยังต้องเผชิญหน้ากับยักษ์ศิลา จ้าวอัคนี อสูรทองระดับ 9 ที่มีความสูงถึง 30 เมตร

แล้วพวกเขาจะรอดชีวิตได้อย่างไร?

เทียบจ้าวอัคนีตัวนี้ แมมม็อธทองและยักษ์ทองตาเดียวกลายเป็นของเด็กเล่นที่ไม่มีความสำคัญเลย

หลินเหล่ยกลัวจัดจนสั่นไปทั้งตัว ข้างๆ เขาหลินเหมี่ยวหมดสติไปเพราะความกลัวแล้ว เผชิญกับศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างนี้ จะให้พวกเขาสู้ต่อไปได้อย่างไร?

ฮุยไท่หลางรู้สึกว่าได้เวลาที่มันต้องเคลื่อนไหวแล้ว แม้ว่าจ้าวอัคนีนี้จะมีร่างครอบคลุมไปด้วยหิน ดูเหมือนจะไม่ค่อยอร่อยอีกด้วย แต่ผลึกเวทของมันอาจจะมีรสดีเพียงพอก็ได้ พอมันแค่เริ่มจะยืนขึ้น ก็พอดีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกระโดดออกมาจากรถม้าเหยียบหัวฮุยไท่หลางและกระโดดออกไปข้างนอก ประหนึ่งเด็กน้อยผู้เห็นของเล่นที่โปรดปรานที่สุดของตน เธอกระโดดตรงเข้าหาจ้าวอัคนีที่สูงถึงสามสิบเมตร

กลับกลายเป็นเด็กผู้หญิงกินตวนมู่, หลิวเฮ่อ, ปีศาจกินฝัน, ซือเตียว, แม่ทัพปีศาจเก้าหัวและนักสู้ปราณก่อกำเนิดคนอื่นๆ ปีศาจดอกหนามที่ยังไม่วิวัฒนาการเป็นนางพญาดอกหนามมงกุฎทอง แน่นอนว่า เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องเวลา นางยังไม่สามารถย่อยอาหารของนางได้ทั้งหมด มิฉะนั้น นางไม่มีปัญหาที่จะวิวัฒนาการไปเป็นนางพญาดอกหนามมงกุฏทอง

เด็กผู้หญิงนางนี้ได้รับความรักจากเจ้านายของมัน ดังนั้นฮุยไท่หลางตัดสินใจไม่สู้กับจ้าวอัคนีร่วมกับนาง เจ้าสัตว์ประหลาดหินตัวนั้นดูเหมือนจะกินยาก

ฮุยไท่หลางยังคงเห็นอสูรทองน้อยกระโดดออกมาจากรถม้าและพุ่งเข้าโจมตีใส่ยักษ์ทองตาเดียว ฮุยไท่หลางได้แต่ยอมแพ้ทันที

มันเป็นเด็กฉลาด ทำตัวเป็นเด็กว่าง่ายเมื่อเจ้านายยังคงอยู่ที่นี่

ทันทีที่เจ้านายมันออกไป มันก็เริ่มออกล่าเหยื่อ!

ฮุยไท่หลางไม่สนใจเรื่องจริยธรรมหรือความซื่อสัตย์ของน้องๆ มันอีกต่อไป ยื้อแย่งเหยื่อขึ้นอยู่กับพลังของแต่ละตัวอยู่แล้ว

ขณะที่ปีศาจดอกหนาม, อสูรทองน้อยและฮุยไท่หลางโจมตีแย่งสัตว์ประหลาดกันนั้น, เย่คง, เจ้าอ้วนไห่และพี่น้องตระกูลหลี่รีบวิ่งกลับมาซ่อนตัว มิฉะนั้นพวกเขาจะต้องกลายเป็นเลือดเนื้อแหลกเหลวเพราะจ้าวอัคนีแน่

แมมม็อธทองพยายามซ่อนตัวด้วยความกลัว แต่มันหลบไม่ทันก่อนที่จะถูกจ้าวอัคนีใช้มือคว้าตัวมันได้และทุ่มมันไปอีกด้านหนึ่ง ยักษ์ทองตาเดียวน่าสมเพชยิ่งกว่าถูกจ้าวอัคนีเตะปลิวไปเกินกว่าสิบเมตร สำหรับหุ่นงานทั้งสองตัว ออพติมัส ไพร์มและเมกะทรอน พวกมันพยายามเคลื่อนภูเขาน้อยลูกนี้เท่าที่มันจะทำได้ แต่พวกมันกลับถูกหมัดยักษ์ของจ้าวอัคนีทุบจนจมลงไปในพื้น

แมมม็อธทอง, ยักษ์ทองตาเดียวและหุ่นรับใช้ทั้งสองตัว ทั้งหมดนี้ไม่ใช่คู่มือของจ้าวอัคนี

เจ้าอ้วนไห่กลัวมากจนขาสั่นราวกับเป็นบ้า เขารู้สึกว่าแม้ว่าเขาจะแปลงกายได้ เขาก็ยังคงโดนตบกระเด็นด้วยพลังตบของจ้าวอัคนีอยู่ดี

“ข้าจะแปลงกายและสู้เสี่ยงชีวิตกับมัน! พวกเจ้าทั้งสามคนรีบลากรถม้ากลับไป เราไม่สามารถสู้กับเจ้านี่ได้ มีแต่เย่ว์หยางเท่านั้นที่สามารถทำได้” แม้ว่าเจ้าอ้วนไห่จะกลัว แต่เขาก็ยังมีความภักดี เขาเพียงแต่วิ่งไปจนถึงรถม้า เขาไม่ได้ทอดทิ้งสหายและวิ่งหนีไป

“เหลวไหล! เจ้าก็แค่วิ่งไปหาที่ตาย หากเจ้าวิ่งออกไปที่นั่น!” เย่คงพูดไม่ออกเมื่อเขาเห็นด้วงจอมพลังของเขาถูกจ้าวอัคนีจับพลิก

ทันใดนั้น อุกกาบาตยักษ์พุ่งลงมาจากฟ้าใส่หัวของเจ้าอัคนี

เสียงระเบิดกึกก้องกัมปนาท อุกกาบาตแตกเป็นพันๆ ชิ้น ติดไฟกระจายไปทั่วบริเวณ

อย่างไรก็ตาม จ้าวอัคนีดูเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

องค์ชายเทียนหลัวและเสวี่ยทันหลางกำลังมาแต่ที่ไกลถึงกับตกตะลึง อุกกาบาตทำอะไรมันไม่ได้เลยหรือ?

“กรรรร” จ้าวอัคนียกหมัดหินยักษ์หนักเป็นตันเงื้อมาแต่ไกล และทุบใส่องค์ชายเทียนหลัวและเสวี่ยทันหลาง ความเร็วและพลังของหมัดหินที่พุ่งออกมาพอๆ กับดาวตกจากฟ้า

องค์ชายเทียนหลัวและเสวี่ยทันหลางรีบหลบไปในท้องฟ้า แต่ละคนหลบแยกย้ายไปในทิศทางตรงกันข้าม

ผลก็คือหมัดพลาดพวกเขากระแทกใส่หมู่บ้านตระกูลเย่ว์ที่อยู่ไกลออกไปพัง เมื่อหินกระแทกกับพื้น เสียงดังแสบแก้วหูดังประหนึ่งว่าแผ่นดินจะแยกออกจากกัน น่ากลัวกว่าเกิดแผ่นดินไหวเสียอีก

พอเห็นคุณชายสามตระกูลเย่ว์จากไป ไคหยางแห่งจากกลุ่มนักสู้ปราณก่อกำเนิดเจ็ดดาว รู้สึกโล่งใจเหมือนปลดภาระใหญ่ออกจากใจทันที เขาหัวเราะลั่นและลอยตัวขึ้นไปในอากาศเริ่มสะสมพลังปราณก่อกำเนิดระดับ 2 ของเขาไว้ในมือทั้งสอง เพื่อใช้พลังกระบวนท่าสูงสุดกับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน แม้ว่าเขาจะเป็นฝ่ายชนะ แต่ท่านซุ่นเทียนเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดานักสู้ปราณก่อกำเนิดทั้งสามคนยังคงลอยตัวอยู่กลางอากาศ เหมือนกับว่าเขาไม่สบายใจกับสถานการณ์ปัจจุบัน มีเรื่องสับสนวุ่นวายแน่นอน

แม้ว่าหลังจากเย่ว์หยางจากไปแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดยังไม่ถูกกำจัด

ภายในรถม้าโดยสาร มีศัตรูที่ทรงพลังมากซ่อนตัวอยู่ข้างในแน่นอน

ว่านฉีวางอุบายสู้กับเย่ว์หยางในมิติประลอง เพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้สู้เสี่ยงชีวิตกัน ความเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนฉลาดนี้อาจกลายเป็นความเคลื่อนไหวที่โง่เขลาและทำลายเขาโดยสิ้นเชิง

คุณชายสามตระกูลเย่ว์ไม่ใช่คนโง่แน่นอน เขาจะไม่ละทิ้งสหายของเขาและแกล้งทำตัวเป็นวีรบุรุษ สู้กับว่านฉีในมิติประลองกันตามลำพัง ความจริงที่เขาได้กระทำนี้แสดงว่าเขาคิดหลอกว่านฉีและยังมั่นใจว่าจะชนะอีกด้วย ขณะเดียวกัน เขาทิ้งสัตว์อสูรไว้บางส่วนให้สู้กับจ้าวอัคนีของว่านฉี

ซุ่นเทียนผู้ลอยตัวอยู่เหนือปราสาทตระกูลเย่ว์ถึงกับขมวดคิ้ว

คุณชายสามตระกูลเย่ว์ จะใช้อุบายแบบไหนจัดการกับว่านฉี?

นอกจากนี้ สัตว์อสูรชนิดไหนที่เขาทิ้งไว้ให้จัดการกับจ้าวอัคนีกันแน่?

ด้านล่าง จ้าวอัคนีอยู่ยงคงกระพัน ไม่มีสัตว์อสูรใดๆ ที่เป็นคู่ต่อสู้ของมันได้ สัตว์อสูรทั้งหมดวิ่งหนีทันทีที่พวกมันเห็นจ้าวอัคนี

นั่นไง…นอกจากเด็กผู้หญิงคนนี้ที่มีมงกุฎดอกไม้อยู่บนหัว ดูไร้เดียงสามาก ตอนนี้ซุ่นเทียนถึงกับคิดอย่างหนัก ดังนั้นเขาจึงไม่ทันสังเกตเห็นการปรากฏตัวของนาง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาเห็นนางแล้ว ตาของเขาโปนเบิกกว้างทันที เป็นครั้งแรกที่สีหน้าประหลาดใจปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา

นางพญาดอกหนามมงกุฎทองหรือนี่?

นางพญาดอกหนามมงกุฎทองที่สาบสูญไปนานสามพันปี กลับมาปรากฏตัวอีกแล้วหรือนี่?

******************

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด