ตอนที่แล้วตอนที่ 31 : สัตว์พิเศษ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 33 : สัตว์กลายพันธุ์

ตอนที่ 32 : ศิลาจิต


หลินมู่ทำการค้นหาในรอยแยกมิติด้วยใบหน้าตื่นเต้น เขาหาไม่นานสิ่งของก็มาเจอกับเขาก่อนหรือจะเรียกว่ามากระแทกมือเขาก็ได้ มันเป็นของที่ค่อนข้างแข็งและรู็สึกเจ็บเมื่อโดนกระแทก เขาดึงมือออกมาเมื่อเก็บมันไว้ในแหวน

หลินมู่เรียกมันออกมาดู ของชิ้นนี้เป็นกระเป๋าที่น่าจะทำจากหนังสัตว์ชั้นสูง ผิวสัมผัสและความรู้สึกของกระเป๋านั้นทำให้หลินมู่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่มีเพียงชนชั้นสูงหรือพ่อค้าที่ร่ำรวยเท่านั้นที่จะใช้

เขาเปิดกระเป๋าดูข้างใน สิ่งแรกที่ได้เห็นคือแสงสะท้อนจากด้านในกระเป๋า แม้จะเป็นยามวิกาลและแทบจะไม่มีแสงใดยกเว้นแสงดารา หลินมู่ก็มิอาจเข้าใจได้ว่าในกระเป๋านั้นมีอะไรเพราะมีแสงสะท้อนบังของข้างในเอาไว้ ยากที่เขาจะบอกได้

หลินมู่กลับไปที่กระท่อมและจุดตะเกียงให้แสงสว่าง เมื่อมีแสงมากพอแล้ว หลินมู่จึงเทของในกระเป๋าลงบนโต๊ะเพื่อดูของอยู่ในกระท่อม ก้อนหินเล็ก ๆ เริ่มออกมาจากกระเป๋าและอยู่รวมกันเป็นกองในไม่นาน

ก้อนหินนั้นโปร่งใสและสะท้อนแสงสีขาวจาง ๆ ทั้งกองมีอยู่เกือบร้อยก้อน แต่ละก้อนมีขนาดเท่าเล็บนิ้วมือ หลินมู่มองกองหินไม่วางตา เขาหยิบก้อนหนึ่งขึ้นมาและรู้สึกถึงความสบายกายจากมือที่ถือก้อนหินนั้น

“นี่มัน…นี่มันศิลาจิต!”

หลินมู่อุทาน

“แล้วก็ยัง…มีตั้งเยอะขนาดนี้เลย”

หลินมู่พูดเสียงดัง

หลินมู่เคยเห็นศิลาจิตมาก่อนครั้งหนึ่ง มันเป็นเมื่อสองปีก่อนที่เขาไปเมืองอู๋หลิมเพื่อดูการประลองประจำปี รางวัลสามอันดับแรกของการประลองนั้นคือศิลาจิต หนึ่งในนายพรานที่เก่งกาจของเมืองเหนือได้เข้าร่วมในครั้งนั้นและได้อันดับสาม

รางวัลอันดับสามนั้นคือศิลาจิตก้อนเดียว นายพรานที่ได้มันมาเอามาอวดให้คนมากมายในงานเลี้ยงฉลองที่เมืองเหนือ หลินมู่เองก็ได้เห็นมันในครั้งนั้น

นายพรานที่ชนะที่สามได้กลายเป็นผู้บ่มเพาะพลังในอีกหกเดือนต่อมาเพราะได้ตำราบ่มเพาะมาด้วย แม้จะไม่มีใครรู้ว่าเขาได้ตำราบ่มเพาะมาจากที่ใด เพราะเขาไม่เคยตอบคำถามเหล่านั้นเลย แต่เขาก็เป็นหนึ่งในสองนายพรานแห่งเมืองเหนือเท่านั้นที่เป็นผู้บ่มเพาะพลัง

มีความคิดมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวหลินมู่ ความคิดนั้นรบกวนใจจนเขาต้องท่องบทสงบใจเพื่อให้ตัวเองสงบลง เมื่อใจเย็นลงแล้ว หลินมู่จึงค่อย ๆ คิดในหลายจุดที่เขาคิดมาก่อนอย่างเป็นระบบ

อย่างแรกคือเขามองกระเป๋าที่ศิลาจิตไหลออกมา เพื่อหาสัญลักษณ์ที่จะบอกได้ว่ามันมาจากที่ใดหรือเป็นของใคร หลินมู่มองด้านในกระเป๋าและด้านนอกแต่ก็ไม่พบอะไรที่จะบ่งบอกเจ้าของกระเป๋าใบนี้ได้

ต่อมาเขาก็คิดถึงที่มาของศิลาจิต

‘โอสถฟื้นฟูสี่สายโลหิตมาจากนิกายสามหม้อโบตั๋น หรือว่าศิลาจิตจะมาจากที่นั่นด้วย?’

หลินมู่คิด

‘ถ้าเป็นที่อื่นก็คงจะมาจากเมืองอู๋หลิม มีแค่ตระกูลร่ำรวยหรือเจ้าเมืองเท่านั้นที่จะมีศิลาจิตมากมายเช่นนี้’

เขาคิดต่อ

สิ่งที่สามที่เขาทำคือคิดถึงมูลค่าของศิลาจิต เขานับศิลาจิตทั้งหมดและนับได้ 103 ก้อน แม้ว่าเขาจะรู้ว่าได้มาอย่างน้อย 100 ก้อน แต่จำนวนที่มากขนาดนี้ก็ยังทำให้เขาตกตะลึง

แม้แต่ในงานประลองที่หลินมู่เคยไปดู รางวัลที่หนึ่งก็ได้ศิลาจิตเพียงแค่ 5 ก้อน ซึ่งเป็นคนในเมืองที่ชนะ เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าศิลาจิตที่เขามีในตอนนี้จะขายเป็นเงินได้กี่เหรียญทอง สิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดที่เขามีเทียบกับมูลค่าของมันได้ก็น่าจะเป็นโอสถฟื้นฟูสี่สายโลหิต

เรื่องที่สี่ หลินมู่คิดถึงวิธีใช้งานศิลาจิตที่ดีที่สุด วิธีที่น่าจะถูกต้องมากที่สุดน่าจะเป็นการใช้บ่มเพาะพลัง แต่ถ้าจะบ่มเพาะพลัง เขาต้องรอจนกว่าเขาจะได้ตำราบ่มเพาะพลังมา ส่วนวิธีที่ตรงไปตรงมาคือการขายมัน แต่ถ้าขายมันไปก็จะทำให้เขามีปัญหาเข้าตัวแทน หลินมู่รีบล้มเลิกความคิดนี้

หลินมู่หายใจเข้าลึกและเก็บศิลาจิตในกระเป๋าก่อนจะเก็บกระเป๋าใส่แหวน

‘ไม่ว่าข้าจะทำอะไรกับศิลาจิตนี่ก่อน อย่างแรกข้าต้องระวังตัวให้มาก อย่างน้อยก็ต้องมีร่างกายขั้น 8 ก่อนที่จะคิดอะไรไปมากกว่านี้’

หลินมู่สรุป จบการใช้สมองของค่ำคืนนี้

หลินมู่เงยหน้ามองท้องนภาและเห็นว่ามันยังคงมืดอยู่ เขานอนบนเตียงและหลับใหล ต่อมาก็ตื่นขึ้นในสามชั่วโมงเมื่อข้างนอกมีแสงสว่างส่องเข้ามา หลินมู่เริ่มทำอาหารและฝึกตนประจำวันอย่างที่ทำทุกเช้า

วันนี้คือวันที่เขาจะเข้าไปที่เมืองเพื่อหาข้อมูลเรื่องห้องโรงเตี๊ยม หลินมู่หวังว่าเขาจะหาห้องพักในหน้าหนาวเจอเพื่อที่ได้ไม่ต้องกังวลและใช้สมาธิกับการฝึกเพียงอย่างเดียว

หลังจากจบตอนเช้า หลินมู่เตรียมเดินทางไปที่เมือง เขาเรียกเลื่อนที่ทำเองและวางซากหมาป่าเล็กเอาไว้ เขาเอาถุงใหญ่คลุมมันและเริ่มเดินทางเข้าเมือง

การเดินทางเข้าเมืองครั้งนี้ไม่ได้มีอะไรสำคัญนัก เขาไม่ค่อยเจอผู้คนมากเท่าใด หลังจากพ่อค้าออกจากเมือง จำนวนนักเดินทางที่เข้ามาในเมืองก็น้อยลงอย่างเห็นได้จัด เมื่อเขาผ่านสวนแอปเปิ้ลจิตหลินมู่ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันคุ้นเคยจากแอปเปิ้ลจิต

เขาพยายามนึกถึงความรู้สึกนี้และพบว่ามันคือปราณจิต ปราณจิตที่เขาสัมผัสได้จากศิลาจิตนั้นคล้ายกับแอปเปิ้ลจิตลูกหนึ่ง ความต่างเดียวก็คือมันเข้มข้นกว่าศิลาจิตเป็นอย่างมาก

‘ผลไม้จิตม่วงที่ข้าเจอจะเทียบกับศิลาจิตได้ไหมนะ’

หลินมู่คิด

หลินมู่เข้าเมืองและพบการหายไปของพ่อค้า ร้านข้างทางและร้านค้าที่เห็นในสามวันก่อนหายลับไปแล้ว ความเป็นเมืองเหนือนั้นได้กลับมาสู่แต่ก่อน

หลินมู่คิดว่าเขาควรจะขายหมาป่าเล็กที่ใดเมื่อพ่อค้าออกจากเมืองไปแล้ว เขาต้องนำมันไปขายในร้านค้าในเมือง เขานึกถึงเรื่องจากคราวที่แล้วและไม่อยากจะทำมัน

‘ถ้าข้าจะขายมันที่ร้าน คนคงจะเห็นแล้วจะต้องมีคนอยากจะขโมยจากข้าไปอีกแน่’

หลินมู่คิด

ขณะที่เขากำลังคิดนั้นเอง หลินมู่ไม่รู้ตัวเลยว่าได้มาถึงที่ถนนสายหลักของเมืองแล้ว ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาและเขามั่นใจแล้วว่าจะขายมันที่ไหน

‘ใช่แล้ว ข้าเอาไปขายร้านจิงเหว่ยก็ได้นี่นา นางกับตาแก่คนนั้นคงไม่ทำอะไรข้า แล้วข้าก็ซื้ออาวุธเพิ่มได้ด้วย’

หลินมู่คิด

จากนั้นเขาจึงเปลี่ยนเส้นทางและเดินไปที่ซอยเปลี่ยนที่มีร้านค้าฝุ่นหนาตั้งอยู่ หลินมู่มาถึงร้านและทิ้งเลื่อนก่อนจะเปิดประตูร้านที่เปิดยากและเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดก็ดังขึ้น

เมื่อประตูเปิด เขาถือหมาป่าเล็กเดินเข้ามาข้างในร้าน เมื่อเห็นว่าไร้ผู้คนบนโต๊ะขาย เขาสั่นกระดิ่งที่อยู่บนโต๊ะ หลินมู่รอห้านาทีก่อนที่นางต๋วนเค่อจะเดินออกมาจากประตูหลังโต๊ะขาย

ต๋วนเค่อสวมชุดสีชมพูอ่อนและมีปิ่นปักผมรูปดอกไม้ขาวขนาดเล็กบนเส้นผม หลินมู่สงสัยว่านางมีปิ่นปักผมกี่แบบกันแน่ ต๋วนเค่อมองเขาอย่างเคยด้วยหน้าตาย

นางเดินมาที่โต๊ะขายและถาม

“วันนี้เจ้าต้องการอะไร?”

“ข้ามาขายซากสัตว์นี่ ไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่?”

หลินมู่ยิ้มสุภาพ

“ได้สิ เอามาให้ข้าดู”

ต๋วนเค่อตอบ

หลินมู่แบกมันไว้ที่ด้านหลังต๋วนเค่อจึงไม่ได้เห็นอย่างชัดเจน หลินมู่ดึงหมาป่าเล็กที่เขาแบกบนหลังมาวางบนโต๊ะ จากนั้นจึงหันไปมองใบหน้าต๋วนเค่อและได้เห็นใบหน้าตกใจของนางเป็นครั้งแรก

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด