ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 126 ตรวจสอบกำไร
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 128 บดขยี้จ้าวเหลียงฉิง

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 127 ความคิดปีศาจ


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 127 ความคิดปีศาจ

แปลโดย iPAT  

ด้วยเม็ดยารวบรวมพลังปราณ พลังปราณครึ่งหนึ่งถูกเปลี่ยนเป็นปราณปีศาจ ส่วนที่เหลือถูกแหวนมิติชำระล้างอย่างเข้มข้น สุดท้ายพลังปราณที่หลี่ฉิงซานได้รับจึงเหลือเพียงหนึ่งในสิบส่วนจากเริ่มต้น กล่าวได้ว่าเม็ดยารวบรวมพลังปราณสิบเม็ดสำหรับเขาเทียบเท่ากับหนึ่งเม็ดสำหรับคนทั่วไป นั่นเป็นสาเหตุที่เขาต้องกินมันในปริมาณมาก

หากผู้ฝึกตนเต็มใจ พวกเขาสามารถกินเม็ดยารวบรวมพลังปราณทุกๆสามวันหรือแม้แต่ทุกวัน อย่างไรก็ตามมันถือเป็นการสิ้นเปลืองเนื่องจากพวกเขาไม่สามารถแปลงมันให้เป็นพลังปราณได้ทั้งหมดและฤทธิ์ยาที่ตกค้างยังจะส่งผลเสียต่อร่างกายอีกด้วย

หลี่ฉิงซานไม่กลัวสิ้นเปลืองและไม่กลัวผลกระทบใดๆ เขายังคิดกับตัวเองว่าแก่นปีศาจของเขาตะกละเกินไป

เดิมทีมันเป็นเรื่องยากที่เขาจะบ่มเพาะพลังปราณ แต่ตอนนี้เขามีเม็ดยารวบรวมพลังปราณจำนวนมาก ดังนั้นเขาจึงลองเปลี่ยนวิธี

อย่างไรก็ตามรากเหง้าของการบ่มเพาะของเขาอยู่บนเส้นทางปีศาจ เคล็ดวิชาเก้ากระทิงสองพยัคฆ์เป็นเส้นทางหลักที่จะนำเขาไปสู่สวรรค์ทั้งเก้าที่วัวดำปูทางไว้ให้ หากเขาให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะพลังปราณของมนุษย์มากกว่าและละเลยสิ่งสำคัญที่สุด มันจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่

ตอนนี้เขามีทรัพยากรอยู่ในมือแล้ว เขาไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเม็ดยารวบรวมพลังปราณอีกต่อไป ดังนั้นมันก็ถึงเวลาที่เขาต้องกลับสู่เส้นทางเดิม

หลังจากคิดได้เช่นนี้ เขาก็หยุดบ่มเพาะพลังปราณและกระโจนผ่านต้นไม้ไปพร้อมกับเสี่ยวอัน เขาเดินทางไปอีกด้านหนึ่งของภูเขา เขามองไม่เห็นเมืองเจียเผิงจากจุดนี้ ใต้เท้าของเขาเป็นหน้าผาสูงหลายร้อยเมตรและแม่น้ำชิงเหอที่เชี่ยวกราก

หน้าผาแห่งนี้ทำหน้าที่เสมือนเขื่อนกั้นน้ำ ดังนั้นกระแสน้ำในบริเวณนี้จึงเชี่ยวกรากเป็นพิเศษ เมื่อเวลาผ่านไปมันจึงสร้างถ้ำลึกขึ้นที่ใต้ผาซึ่งเหมาะสมที่จะใช้เป็นฐานทัพลับ

หลี่ฉิงซานกระโจนลงจากหน้าผาและลงไปในแม่น้ำ เขาว่ายอยู่ในน้ำสักพักก่อนจะพบถ้ำใต้น้ำที่ลึกมากและเป็นสีดำสนิทเหมือนปากของสัตว์ร้ายขนาดมหึมา เขาไม่กลัวมัน ตรงข้าม เขามีความสุขมาก เขาเคลื่อนที่ลึกเข้าไปในถ้ำที่มืดมิด

จากนั้นเขาก็ปล่อยปราณปีศาจออกมาและกลับคืนสู่ร่างปีศาจ

รูม่านตาของเขาเป็นสีแดงเข้มเหมือนเปลวไฟ ผิวของเขาดำสนิทเหมือนเหล็กดำ ฟันของเขาแหลมคมเหมือนใบมีด

นี่คือร่างจริงของหลี่ฉิงซาน

ร่างขนาดมหึมาสูงเกือบเจ็ดเมตรของเขาผลักมวลน้ำออกไปรอบๆ กระแสน้ำไหลวนอยู่รอบตัวเขาราวกับถูกพลังที่มองไม่เห็นผลักดัน

เสี่ยวอันเฝ้ามองอยู่ด้านหนึ่งอย่างเงียบๆ ด้วยวิธีนี้ หลี่ฉิงซานจึงรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นในการฝึกฝนอยู่ที่นี่

หลี่ฉิงซานสะบัดมือและทำให้มวลน้ำแยกออกเป็นสองฝั่ง เขาหยิบเม็ดยารวบรวมพลังปราณทั้งหมดออกมา หลังจากพิจารณาอยู่ชั่วครู่ เขาก็เก็บเม็ดยาสิบเม็ดกลับไป

เขาโยนเม็ดยารวบรวมพลังปราณมากกว่าหกสิบเม็ดเข้าไปในปากและกลืนพวกมันลงท้องไปในครั้งเดียว

เขาไม่ได้บ่มเพาะพลังปราณแต่เขาใช้หมัดปีศาจวัว

ในส่วนลึกของสถานที่มืดมิด เส้นผมสีแดงของเขาสะบัดตัวไปรอบๆขณะที่เขากระทืบเท้าและออกหมัด การเคลื่อนไหวทั้งหมดของเขาราบรื่นและลื่นไหลมาก ท้ายที่สุดนี่คือความสามารถดั่งเดิมของเขา ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับมันมาก

เมื่อเม็ดยารวบรวมพลังปราณเข้าสู่ร่างกายของเขา ปราณปีศาจของเขาก็ไหลเร็วขึ้นสิบเท่า เขาคำรามอย่างบ้าคลั่งราวกับร่างกายของเขากำลังจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ

แม้เม็ดยารวบรวมพลังปราณจะมีประโยชน์ แต่ชะตากรรมของผู้ฝึกตนที่กินเม็ดยาจำนวนมากเข้าไปในครั้งเดียวย่อมเลวร้ายมาก อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาไม่ใช่จอมยุทธ์พลังปราณแต่เป็นปีศาจ

“หยุด!” หลี่ฉิงซานตะโกนเสียงดัง

กระดองเต่าจิตวิญาณปรากฏขึ้นรอบๆแก่นปีศาจของเขาและพยายามปราบปรามมัน

หลังจากนั้นปราณปีศาจก็ถูกควบคุมและเริ่มไหลช้าลง มันหลอมรวมกับทุกส่วนในร่างกายของเขา

เขาไม่ได้หยุดเคลื่อนไหวแต่เขารู้สึกว่าร่างกายของตนกำลังขยายใหญ่ขึ้น มัดกล้ามเนื้อของเขาดูราวกับถูกหลอมขึ้นมาจากเหล็กกล้า

เขาเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

ในเวลาเพียงชั่วครู่ เขาสูงขึ้นถึงหนึ่งเมตร ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นมาก เพียงหมัดธรรมดาของเขาก็เหมือนกระสุนปืนใหญ่ที่พุ่งผ่านมวลน้ำอย่างรุนแรงและสร้างหลุมขนาดใหญ่ไว้บนพื้น

แม้เขาจะยังไม่บรรลุขั้นที่สองของหมัดปีศาจวัวและครอบครองความแข็งแกร่งของกระทิงสองตัว แต่ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อร่างกายของเขาเปลี่ยนไป จิตใจของเขาก็เปลี่ยนแปลงเช่นกัน เขาสูญเสียความเยือกเย็นในฐานะมนุษย์ส่วนหนึ่งและถูกแทนที่ด้วยสัญชาตญาณที่ดุร้ายของปีศาจ

‘ด้วยความแข็งแกร่งนี้ ไม่มีผู้ใดที่ข้าไม่สามารถฆ่า!’ นี่คือความคิดของเขา แม้เขาจะต้องต่อสู้กับจ้าวจื่อป๋อ เขาก็มั่นใจว่าสามารถเอาชนะ แล้วเหตุใดเขาต้องกลัวจ้าวเหลียงฉิงที่อ่อนแอกว่า เขายังคิดว่าเหตุใดเขาไม่บุกหอเมฆาพิรุณและฆ่าอีกฝ่ายเพื่อรับเม็ดยารวบรวมพลังปราณมากขึ้น

หลังจากนั้นหลี่ฉิงซานก็ใช้ทักษะจิตวิญญาณเต่าและกลับคืนร่างมนุษย์ ธรรมชาติที่ดุร้ายของเขาสงบลงแต่ความคิดเหล่านั้นยังวนเวียนอยู่ในใจของเขา เขาเริ่มคิดถึงผลประโยชน์และต้นทุนที่มาพร้อมกันอย่างจริงจัง

ความกังวลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือสถานะปีศาจของเขาอาจถูกเปิดเผย แต่ตราบเท่าที่เขาลงมือและเก็บกวาดอย่างหมดจด คนอื่นอาจคิดว่าจ้าวเหลียงฉิงหนีไปหรือหายตัวไป แม้เขาจะถูกตั้งข้อสงสัย แต่เขาก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งในสายตาของคนทั่วไป ผู้ใดจะคิดว่าเขาสามารถฆ่าจอมยุทธ์ขั้นห้า

ยิ่งเขาคิดเกี่ยวกับมันมากเท่าใด เขาก็ยิ่งมั่นใจว่ามันคุ้มค่าที่จะเดิมพันมากเท่านั้น หากเขาเก็บไพ่ตายไว้ตลอดเวลา มันจะเป็นการสูญเปล่า ตราบเท่าที่คนอื่นๆไม่เห็นไพ่ตายของเขา ไพ่ตายของเขาก็จะยังเป็นไพ่ตายต่อไป

หลี่ฉิงซานบอกเสี่ยวอันเกี่ยวกับความคิดนี้และเห็นได้ชัดว่าเสี่ยวอันไม่คัดค้าน ดังนั้นทั้งสองจึงเริ่มคุ้ยกันอยู่ใต้น้ำเกี่ยวกับวิธีที่พวกเขาจะลอบสังหารจอมยุทธ์ขั้นห้า จ้าวเหลียงฉิง

นี่เป็นทั้งการทำเพื่อกำจัดศัตรูและรับทรัพยากรในเวลาเดียวกัน

หลี่ฉิงซานว่ายออกจากถ้ำใต้น้ำและลอยไปตามกระแสน้ำก่อนจะขึ้นฝั่งในพื้นที่เงียบสงบ จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าไปในตรอกที่มืดสนิทของเมืองเจียเผิงอย่างรวดเร็ว

เขาเดินผ่านถนนที่เหมือนเขาวงกตแต่ยังมองเห็นหอคอยเจ็ดชั้นที่อยู่ในระยะไกลได้อย่างชัดเจน

คืนนั้นดวงจันทร์สว่างไสวแต่เขาเคลื่อนไหวอยู่ในเงามืด เขาปกปิดกลิ่นอายทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นปราณปีศาจหรือพลังปราณ เขาเหมือนพยัคฆ์ที่เดินอยู่ในป่าอย่างนุ่มนวลและเงียบงัน

ผู้คนที่เดินผ่านไปมาไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นการคงอยู่ของเขา สิ่งที่พวกเขารู้สึกมีเพียงสายลมยามค่ำคืนที่พัดผ่านไปเท่านั้น ค่ำคืนในฤดูร้อนที่อบอ้าว มวลอากาศเย็นที่พัดผ่านทำให้พวกเขารู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงแกนกระดูก ชายผู้หนึ่งตัวสั่นโดยไม่สามารถบอกได้ว่ามันเกิดจากเจตนาสังหาร

หลี่ฉิงซานยืนอยู่ในตรอกด้านหลังหอเมฆาพิรุณ หลังกำแพงขนาดใหญ่ มันไม่เหมือนกำแพงของหอโคมแดงแต่เหมือนป้อมปราการมากกว่า

เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้ไม่สามารถหยุดหลี่ฉิงซาน เขาปีนข้ามกำแพงและซ่อนตัวอยู่ในสวนเล็กๆ

เขาสูดกลิ่นต่างๆเข้าไป เพื่อให้ประสาทสัมผัสรับกลิ่นของเขาแข็งแกร่งขึ้น เขาจึงปล่อยปราณปีศาจออกมาเล็กน้อย เงาดำเคลือบคลุมทั่วร่างของเขาขณะที่เส้นผมของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง ในเวลาเดียวกันหน้าผากของเขาก็มีรอยนูนสองจุดปรากฏขึ้น ร่างกายของเขาสูงขึ้นประมาณสามสิบเซนติเมตร นั่นทำให้เขากลายเป็นชายผิวคล้ำร่างกายกำยำ

อย่างไรก็ตามก่อนที่ร่างกายของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปมากกว่านี้ เขาก็ค้นพบสิ่งที่กำลังค้นหา แต่เขาไม่รีบร้อนกลับคืนร่างมนุษย์อย่างสมบูรณ์

เขาค้นพบว่ากลิ่นของฟู่รหรงไม่ได้มาจากชั้นบนแต่มาจากด้านล่าง เขาแทรกซึมเข้าไปในห้องใต้ดินและค้นพบสุราชั้นดีหลายร้อยไห แต่เขายังไม่พบฟู่หรง กลิ่นของนางยังอยู่ใต้เท้าของเขา ปรากฏว่าวังใต้ดินถูกซ่อนไว้ใต้หอเมฆาพิรุณ ไม่แปลกเลยที่เจ้าหน้าที่ของทางการไม่พบเด็กสาวที่ถูกลักพาตัวมาระหว่างค้นหา

เขาตามกลิ่นไปก่อนจะพบกับกำแพง กลิ่นจบลงที่นั่น หลี่ฉิงซานแนบใบหูกับผนัง ดังคาด เขาได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน วังใต้ดินอยู่ที่นั่นแต่เขาไม่พบวิธีเปิดเส้นทาง นอกจากนั้นเขาก็ไม่ต้องการทิ้งร่องรอยไว้มากเกินไป

ในที่สุดเสี่ยวอันก็พบไหสุราที่ติดแน่นอยู่กับพื้น มันคือกลไกที่ใช้เปิดเส้นทาง

ด้วยการย้ายไหสุรา ประตูลับบนผนังพลันเปิดออก ทันทีที่ทั้งสองเข้าไป กำแพงก็ปิดตัวลงอีกครั้ง ข้างหน้าของพวกเขาคือบันไดมืดที่คดเคี้ยวลงไป หลี่ฉิงซานเดินลงไปอย่างไม่ลังเล

เสียงครวญครางดังขึ้นขณะที่สองร่างที่เปลือยเปล่ากระแทกเข้าหากันอย่างรุนแรง จ้าวเหลียงฉิงกล่าวอย่างชั่วร้าย “ข้าจะฆ่าเขา!” ฟู่หรงตอบกลับด้วยร่างกาย

ทั้งสองไม่ได้ใช้เม็ดยาในการบ่มเพาะแต่ใช้วิธีบ่มเพาะคู่แบบดั้งเดิมที่สุด

หลังจากเสร็จกิจ ใบหน้าของจ้าวเหลียงฉิงก็เต็มไปด้วยเหงื่อ เขาไม่ต้องการฟู่หรงอีกต่อไป หากไม่ใช่เพื่อการบ่มเพาะ เขาคงไม่ยอมนอนกับหญิงผู้นี้ เขาออกคำสั่ง “พาผู้หญิงพวกนั้นมา!”