ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 125 ฟ้องหอเมฆาพิรุณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 127 ความคิดปีศาจ

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 126 ตรวจสอบกำไร


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 126 ตรวจสอบกำไร

แปลโดย iPAT  

วิธีการบ่มเพาะแบ่งระดับตามขีดจำกัดของวิธีการเหล่านั้น

ตัวอย่างเช่นเคล็ดวิชาบ่มเพาะพลังปราณเบื้องต้นที่หลี่ฉิงซานฝึกฝนจะทำให้เขากลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นสามเมื่อเขาบรรลุขั้นเก้าของมัน นี่แสดงให้เห็นว่าเคล็ดวิชานี้ไม่ดีนัก โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นวิธีการบ่มเพาะระดับต่ำสุด ดังนั้นเขาจะต้องหาวิธีบ่มเพาะใหม่ในอนาคต

มีวิธีการบ่มเพาะมากมายที่สามารถทำให้ผู้ฝึกฝนก้าวไปถึงระดับจอมยุทธ์ขั้นเก้าโดยตรงหรือกระทั่งผ่านภัยพิบัติสวรรค์ครั้งแรก หนังสือที่เขาอ่านยังกล่าวอย่างคลุมเครือว่ามีวิธีการบ่มเพาะที่เหนือกว่านั้นอยู่ด้วยแต่ความรู้ของผู้เขียนมีจำกัดในด้านนี้

อย่างไรก็ตามพวกมันมีอยู่จริง เคล็ดวิชากระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์คือหนึ่งในนั้น

วัวดำเคยบอกว่ามันเป็นเคล็ดวิชาของพระโพธิสัตว์ นั่นทำให้มันดูยิ่งใหญ่มาก แม้แต่โลกใบนี้ พระโพธิสัตว์ก็ยังเป็นตัวตนที่นั่งอยู่บนแท่นดอกบัวและมองดูสิ่งมีชีวิตทั้งหมดด้วยสายตาแห่งความเมตตากรุณาหรือไม่แยแส

ผู้ฝึกตนกล้าพอที่จะเรียกตนเองว่าผู้บ่มเพาะแต่ไม่ใช่ผู้อมตะหรือพระโพธิสัตว์ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ตัวตนที่มีอยู่ในโลกของคนธรรมดา บางที่เขาอาจพบเห็นตัวตนดังกล่าวเมื่อเขาผจญภัยไปยังสถานที่ที่อยู่เหนือกว่าสวรรค์ทั้งเก้าดังที่วัวดำกล่าวถึง ในความคิดของหลี่ฉิงซาน พวกเขาเป็นผู้ฝึกตนที่ทรงพลังมาก มันทรงพลังจนเขาไม่สามารถแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง

ข้อสรุปที่เขาได้รับง่ายมาก ความสามารถระดับใดที่ผู้ฝึกตนครอบครองจนกลายเป็นพระโพธิสัตว์? มันอธิบายได้ด้วยตัวของมันเอง

สำหรับเสี่ยวอัน เขาพึ่งฝึกฝนเคล็ดวิชานี้มาเพียงไม่กี่เดือน เขายังไม่บรรลุแม้แต่ขั้นแรกของมัน อย่างไรก็ตามข้อได้เปรียบของเขากลับเห็นได้ชัดมากขึ้นเรื่อยๆ

โดยปกติแล้วเสี่ยวอันจะมองหลี่ฉิงซานจากด้านข้างอย่างเงียบๆ เขาต้องการเพียงเนื้อหนังเพื่อที่เขาจะได้อยู่เคียงข้างหลี่ฉิงซานได้อย่างเปิดเผยมากขึ้น นอกจากนั้นเขายังต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อช่วยเหลือหลี่ฉิงซานและไม่เป็นตัวถ่วง

ด้วยความเฉลียวฉลาดของเด็กน้อย เขาสามารถเข้าใจความน่าสะพรึงกลัวของเคล็ดวิชากระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์มากกว่าหลี่ฉิงซาน เขาตระหนักว่าพระภิกษุที่สร้างเคล็ดวิชานี้ขึ้นมาต้องผ่านความสิ้นหวังมามากเพียงไร เขายอมก้าวเข้าสู่ขุมนรก ใช้กระดูกประกอบเป็นแท่นดอกบัว ดื่มกินเลือดเนื้อ ซึมซับความสิ้นหวังมากจนรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์

แต่เพื่อเป้าหมาย เขายอมสละทุกสิ่ง แม้มันจะหมายถึงการเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิต เผชิญหน้ากับความทุกข์ทรมานอย่างไม่รู้จบสิ้นก็ตาม

หลี่ฉิงซานนำกระเป๋าร้อยสมบัติสีสันสดใสออกมาจากอกและยิ้ม “ดูว่ามันคือสิ่งใด?”

เขานำกระเป๋าร้อยสมบัติมาจากที่ใด เห็นได้ชัดว่าเขาฆ่าและไม่ลืมที่จะปล้นชิง การปล้นคนรวยเพื่อช่วยคนจนถือเป็นความยุติธรรมอย่างหนึ่งในสายตาของเขา เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาปล้นสมบัติมาจากแม่เล้าเพื่อชดเชยความขัดสนของตนเอง น่าเสียดายที่ฟู่หรงไม่มีกระเป๋าร้อยสมบัติ มิฉะนั้นเขาคงมีกระเป๋าร้อยสมบัติอีกใบอยู่ในมือ

“เป็นอย่างไร? ข้าบอกแล้วว่าจะทำและข้าก็ทำจริงๆ!”

เปลวไฟในเบ้าตาของเสี่ยวอันสั่นไหวอย่างมีความสุข

หลี่ฉิงซานกล่าว “มาดูกันว่าครั้งนี้เราเก็บเกี่ยวสิ่งใดได้บ้าง” เขาส่งพลังปราณเข้าไปในกระเป๋าร้อยสมบัติและพบพื้นที่มิติที่อยู่ภายใน มันมีขนาดใกล้เคียงกับกระเป๋าร้อยสมบัติของเขา

มีสมบัติอยู่ค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่เป็นของจิปาถะเช่นเครื่องสำอาง เสื้อผ้า หรือผ้าเช็ดหน้า สิ่งที่เขาสนใจคือเม็ดยา ยันต์ สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณ และเคล็ดวิชา

อย่างไรก็ตามไม่มียันต์หรือสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณอยู่ในกระเป๋าร้อยสมบัติใบนี้ เห็นได้ชัดว่านางดูแลหอเมฆาพิรุณมานานหลายปีแล้ว ดังนั้นนางจึงเลิกให้ความสำคัญกับการต่อสู้ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้นางเสียชีวิต

มีเม็ดยาไม่กี่ขวดแต่สองขวดดูเหมือนจะเป็นยาปลุกกำหนัด หลี่ฉิงซานสูดกลิ่นและรู้สึกว่าเป้ากางเกงของเขาร้อนขึ้นทันที

มีอีกสองขวดที่ให้ผลลัพธ์ตรงข้าม พวกมันเรียกว่าเม็ดยาสงบใจ เขาสูดดมมัน จากนั้นสภาพจิตใจของเขาก็ปลอดโปร่งขึ้น แต่เป้ากางเกงของเขายังไม่สงบ

มีเคล็ดวิชาการบ่มเพาะที่เรียกว่าทักษะคู่เมฆาพิรุณ หลี่ฉิงซานมองผ่านและสามารถบอกได้ว่าผู้ฝึกฝนสามารถบรรลุเป็นจอมยุทธ์ขั้นหกหากประสบความสำเร็จ มันดีกว่าเคล็ดวิชาบ่มเพาะพลังปราณเบื้องต้นของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย น่าเสียดายที่มันเป็นทักษะการบ่มเพาะคู่ที่ต้องพึ่งพาผู้ชายและผู้หญิงโดยใช้คู่หูเสมือนหม้อต้มยามนุษย์ ยาปลุกกำหนัดและยาสงบใจมีไว้เพื่อสิ่งนี้

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่นิกายเมฆาพิรุณเปิดหอนางโลมจำนวนมาก แท้จริงแล้วมันมีไว้เพื่อสนับสนุนการบ่มเพาะของพวกเขา มันเป็นข้ออ้างอันชอบธรรม เงินเป็นเรื่องรอง การบ่มเพาะเป็นเรื่องหลัก มิฉะนั้นมันคงถูกผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ทำลายไปนานแล้ว

เห็นได้ชัดว่าหลี่ฉิงซานจะไม่ฝึกเคล็ดวิชาเช่นนี้ แม้เคล็ดวิชาบ่มเพาะพลังปราณเบื้องต้นของเขาจะด้อยกว่าแต่วิธีการฝึกฝนของมันง่ายกว่าและสามารถสร้างรากฐานที่ยอดเยี่ยม โดยพื้นฐานแล้วผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่มักเริ่มต้นด้วยสิ่งนี้

เขาโยนของทั้งหมดทิ้งไป สุดท้ายเขาก็พบเม็ดยารวบรวมพลังปราณสองขวด ไม่ว่าผู้บ่มเพาะจะมาจากนิกายใด เม็ดยารวบรวมพลังปราณยังเป็นเม็ดยาพื้นฐานที่พวกเขาต้องมีเสมอ มันมีอยู่สิบกว่าเม็ดแต่นี่ก็เพียงพอที่จะช่วยปลอบใจเขาแล้ว ด้วยวิธีนี้เขาก็มีเม็ดยารวบรวมพลังปราณในการครอบครองเกินเจ็ดสิบเม็ดไปแล้ว กล่าวได้ว่าตอนนี้เขาค่อนข้างร่ำรวย

อีกรายการที่เขาสนใจเล็กน้อยคือกองสมุดบัญชี มันทำให้เขาค่อนข้างสับสน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะมอบมันให้โจวเหวินปิงในวันพรุ่งนี้

นอกจากนั้นเขายังได้ตั๋วแลกเงินที่มีมูลค่าหลายแสนตำลึง แม้เงินจะเป็นเป้าหมายรองของหอเมฆาพิรุณ แต่พวกเขาก็เหมือนโจรที่ขโมยเงินจากกระเป๋าของลูกค้าโดยตรง แน่นอนว่าไม่มีที่ใดใช้เก็บเงินได้ดีกว่ากระเป๋าร้อยสมบัติ

หากเป็นก่อนหน้านี้ หลี่ฉิงซานคงรู้สึกมีความสุขมากที่ได้รับเงินจำนวนมาก เขาจะสามารถซื้อเนื้อหรือโสมได้มากเท่าที่เขาต้องการ แต่ตอนนี้มันไม่แม้แต่จะสามารถซื้อเม็ดยาที่มีประสิทธิภาพให้เขา

เขามอบกระเป๋าร้อยสมบัติใบใหม่ให้เสี่ยวอัน “นี่เป็นของเจ้า!”

เสี่ยวอันวางป้ายไม้ของเขาลงในกระเป๋าร้อยสมบัติใบใหม่และส่งใบเดิมคืนให้หลี่ฉิงซาน จากนั้นเขาก็เล่นกับมันอย่างสนุกสนาน ตอนนี้เขาดูเหมือนเด็กธรรมดามาก

หลี่ฉิงซานมองเสี่ยวอันและต้องเผยรอยยิ้มออกมา ความเครียดที่สะสมมาค่อยๆบรรเทาลง เขารู้สึกถึงความสงบที่มาพร้อมกับครอบครัว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ได้โดดเดี่ยว

เม็ดยารวบรวมพลังปราณถูกโยนขึ้นสู่อากาศก่อนจะตกลงในปากของหลี่ฉิงซาน เขาเริ่มทำสมาธิและฝึกฝนอีกครั้ง

ปัจจุบันจ้าวจื่อป๋อกำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อระงับความโกรธของเขา “ไอ้สารเลวหลี่ฉิงซาน! เขาทำกับข้าเช่นนี้จริงๆ...” เก้อเจี้ยนและเฉียนหรงจื่อหุบปากด้วยความหวาดกลัว

“ผู้บัญชาการ เหตุใดเราไม่ไปฆ่าเขาซะ!?” ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ที่อยู่ด้านข้างกล่าวด้วยเจตนาสังหาร ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์เหล่านี้ล้วนเป็นคนที่จ้าวจื่อป๋อไว้ใจ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการแบ่งเบาภาระของเจ้านาย ในสายตาของพวกเขา ไม่ว่าหลี่ฉิงซานจะแข็งแกร่งเพียงใด มันก็มีเพียงความตายรอเขาอยู่หากเขาถูกปิดล้อมโดยจอมยุทธ์ขั้นสามหรือสี่

“หากข้าฆ่าเขาได้ ข้าคงทำไปนานแล้ว!” จ้าวจื่อป๋อระงับความโกรธของตน “ข้าส่งคนไปตรวจสอบที่เมืองชิงเหอแล้ว เราจะได้รับคำตอบในไม่ช้า เพียงรอจนถึงเวลานั้น ตอนนี้ไม่มีผู้ใดสามารถแตะต้องเขา เก้อเจี้ยน อย่าไปหาเขาอีก ข้าจะส่งคนอื่นไปแทน หรงจื่อ พวกเจ้าต่างเป็นเด็กใหม่ เจ้าจงใช้เวลาร่วมกับเขาให้มากขึ้น เจ้าต้องสืบต่อไปว่าเขาโกหกหรือไม่!”

เก้อเจี้ยนรู้สึกโล่งอกแต่การแสดงออกของเฉียนหรงจื่อกลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังจากทั้งหมดความโหดเหี้ยมของหลี่ฉิงซานในคืนนี้ทำให้นางหวาดกลัวมาก

เก้อเจี้ยนกล่าวเสริมด้วยความกังวล “โจวเหวินปิงดูเหมือนจะชอบเด็กคนนี้มาก หากเราลงเอยด้วยการต่อสู้กับเขาจริงๆ...”

จ้าวจื่อป๋อตัดบท “หากเราต้องต่อสู้กับเขาจริงๆ ไม่มีผู้ใดในเมืองเจียเผิงที่สามารถช่วยเขาได้!”

หลี่ฉิงซานไม่รู้เกี่ยวกับแผนการของคนเหล่านี้ แม้เขาจะรู้แต่เขาก็ไม่สนใจ เขากำลังเขมือบเม็ดยารวบรวมพลังปราณราวกับลูกอมเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเอง ตราบเท่าที่เขาแข็งแกร่งพอ เขาจะจัดการเจ้ากรรมนายเวรจ้าวเหลียงฉิงก่อนที่จะจัดการเจ้ากรรมนายเวรจ้าวจื่อป๋ออีกคน

ในเวลาเพียงสองชั่วโมง เม็ดยารวบรวมพลังปราณสามเม็ดก็เลื่อนลงสู่กระเพาะอาหารของเขาและกลายเป็นพลังปราณและปราณปีศาจของเขา แม้เขาจะพึ่งพาทักษะจิตวิญญาณเต่าแต่ความสามารถในการดูดซับเม็ดยารวบรวมพลังปราณของเขาก็ไม่ได้เหนือกว่าผู้ฝึกตนคนอื่นๆมากนัก