ตอนที่ 9-21 ศิษย์อาวุโสที่สุด
ลมภูเขาพัดหวีดหวิวกระหน่ำขณะเดินขึ้นภูเขาลินลี่ย์และคาสโตรเดินได้ก้าวละสองร้อยหรือสามร้อยเมตร
“บนยอดเขาสายฟ้า ศิษย์พี่น้องของเราอยู่ที่นั่นแปดคน ศิษย์พี่ใหญ่ของเราจะอยู่บนยอดสูงสุดของยอดเขาสายฟ้า” คาสโตรบอกอย่างมีอารมณ์
แต่ลินลี่ย์ในตอนนี้กำลังคิดเรื่อการต่อสู้กับศิษย์คนโตและซีซาร์เมื่อพันปีที่แล้ว”
“ท่านคาสโตร ท่านรู้เรื่องอะไรบ้างไหมเกี่ยวกับการประลองระหว่างศิษย์พี่อาวุโสกับซีซาร์?” ลินลี่ย์ถาม
คาสโตรพูดอย่างอิจฉา “เมื่อเกิดการประลองขึ้น ข้ายังไม่ได้ถูกรับเป็นศิษย์ของวิทยาลัยเทพสงครามเลย อย่างไรก็ตามข้าได้ยินศิษย์คนอื่นคุยกัน ซีซาร์ผู้นั้นแข็งแกร่งมากและมีความเร็วสูงเช่นกัน ความเร็วของศิษย์พี่เร็วที่สุดในบรรดาพวกเรา แต่ความเร็วของเขาก็เพียงแค่ทัดเทียมกับความเร็วของซีซาร์”
“พวกเขาไวขนาดไหน?” ลินลี่ย์เองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องความเร็วด้วย
คาสโตรหัวเราะอย่างใจเย็น “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ที่สำคัญข้าไม่ได้เห็นการประลองกับตาตัวเอง แต่ข้าคิดว่า...พวกเขาน่าจะไวกว่าเจ้าและโอลิเวอร์”
ลินลี่ย์สามารถเข้าใจได้ ที่สำคัญร่างมนุษย์ของเขายังไม่บรรลุระดับเซียน เขายังมีช่วงจะต้องเติบโตอีกยาวนาน จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาไม่ทัดเทียมพวกเขา
บนยอดเขาสายฟ้า
บนยอดเขาเป็นพื้นที่เปิดโล่งซึ่งมีความกว้างอยู่ไม่กี่สิบเมตร มีต้นไม้แคระบางส่วนงอกเงยอยู่พอๆกับต้นหญ้าเช่นกัน ถัดจากหนึ่งในต้นไม้แคระโบราณ มีบ้านศิลาอยู่สองหลัง
และบนยอดเขามีบุรุษคนหนึ่งยืนอยู่ที่นั่นกำลังมองลงมา
ลินลี่ย์มองดูบุรุษผู้นี้อย่างระมัดระวังเขาสวมชุดยาวสีฟ้าเรียบง่าย มีรูปร่างค่อนข้างผอม แต่หลังของเขาตั้งตรง ผมของเขาสั้น ยาวเพียงสามนิ้วและเป็นสีฟ้าแค่เพียงแต่มองก็สามารถรู้สึกได้ว่าบุรุษผู้นี้ครองพลังอากาศและกล้าหาญเด็ดเดี่ยว
“คารวะศิษย์พี่ใหญ่” คาสโตรพูดด้วยความเคารพ
บุรุษผมสีฟ้าหันมามองพวกเขา เมื่อสายตาของเขามองดูลินลี่ย์ลินลี่ย์รู้สึกได้ทันทีว่าวิญญาณของเขาดูเหมือนสั่นสะท้านจากการถูกจ้อง
นี่คือการโจมตีหรือ?
ลินลี่ย์ยิ่งตกใจทันที เขาแน่ใจว่าเมื่อเผชิญกับนักรบธรรมดามีแนวโน้มว่าแค่เฉพาะการจ้องมองจากศิษย์อาวุโสนี้ก็สามารถทำลายวิญญาณพวกเขาได้ โชคดีที่เขาเองมีพลังจิตของจอมเวทระดับเก้า
“ไม่เลว” บุรุษผู้นั้นยิ้มและพยักหน้า “เจ้าคือลินลี่ย์สินะ?”
“ข้าเอง” ลินลี่ย์พยักหน้าเช่นกัน
“ข้าชื่อเฟน” บุรุษผู้นั้นยิ้ม “อาจารย์สั่งให้ข้ามาต้อนรับเจ้า เจ้าดื่มเลือดมังกรเพื่อให้มีความสามารถในการแปลงร่าง ข้าเชื่อว่า เจ้าไม่ใช่นักรบเลือดมังกรสายบริสุทธิ์จริงไหม?”
“หืม?” ลินลี่ย์ขมวดคิ้ว
“หลังจากได้ยินเรื่องลักษณะของร่างแปลงมังกรของเจ้า ข้าจึงอนุมานอย่างนี้ ข้าได้พบกับนักรบเลือดมังกรคนอื่นจากตระกูลบาลุคของเจ้ามาแล้ว” เฟนพูดพลางหัวเราะอย่างใจเย็น
“แล้วเป็นยังไงหรือ ถ้าข้าดื่มเลือดมังกร?” ลินลี่ย์สนองตอบ
เฟนศิษย์คนโตของเทพสงครามถอนหายใจอย่างมีอารมณ์ “เท่าที่ข้ารู้นักรบเลือดมังกรบริสุทธิ์มีศักยภาพมากมาย ขณะที่นักรบเลือดมังกรที่ผิดปกติซึ่งดื่มเลือดมังกรจะมีศักยภาพน้อยกว่า ถ้าแป็นนักรบเลือดมังกรบริสุทธิ์ เมื่อถึงระดับพลังสุดยอดของเจ้าบางทีเจ้าอาจจะสู้กับข้าได้”
“แม้ว่าศักยภาพของนักรบเลือดมังกรที่ผิดปกติก็ยังมีแนวโน้มว่ายังแข็งแกร่งกว่าเจ้าด้วยซ้ำ” ลินลี่ย์ไม่สบายใจกับวิธีการพูดของศิษย์พี่ใหญ่ผู้นี้
เฟนขมวดคิ้ว
เขาเป็นคนมีสถานะยิ่งใหญ่คนหนึ่งแม้แต่เซียนที่ทรงพลังที่สุดในโลกอย่างเซียนดาบจ้าวภูผาเฮนด์เซนก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าผู้เยาว์ในสายตาของเฟน ไม่คู่ควรแม้แต่จะได้รับความสนใจจากเขา ความจริงเขาค่อนข้างไม่พอใจกับวิธีที่ลินลี่ย์พูดกับเขา
แต่เมื่อเขาคิดถึงคำแนะนำที่เทพสงครามให้กับเขาเฟนจึงยิ้ม ไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องหงุดหงิดอีกต่อไป
“แน่นอนว่า สุดยอดนักรบแม้จะไม่ได้มีเลือดบริสุทธิ์ก็ตาม แต่ก็มีศักยภาพสูงมากกว่าคนธรรมดา” เฟนยิ้ม จากนั้นมองดูคาสโตรที่อยู่ใกล้ๆ “ศิษย์น้อง ตอนนี้เจ้ากลับไปก่อนเพราะตอนนี้ข้าจะต้องให้ความสนใจลินลี่ย์”
“ขอรับ, ศิษย์พี่” คาสโตรพูดด้วยความเคารพ จากนั้นเขามองลินลี่ย์อย่างมีความหมายส่งสัญญาณให้ลินลี่ย์ว่าไม่ให้เย่อหยิ่งจนเกินไป จากนั้นเขาออกไปจากเขา
ลินลี่ย์สูดหายใจลึก เขาก็เช่นกัน เข้าใจว่าที่นี่วิทยาลัยเทพสงครามคือสถานที่ดีที่สุดจึงค่อนข้างจะอ่อนน้อม
“ลินลี่ย์, นั่งลงสนทนากันเถอะ” แค่เพียงเขาโบกมือเฟนก็ทำให้ที่นั่งไม้ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ลอยมาลงอยู่ต่อหน้าเขาและลินลี่ย์
เห็นอย่างนี้แล้วลินลี่ย์รู้สึกทึ่งจริงๆ
เฟนใช้เคล็ดวิชาอะไร? ลินลี่ย์ไม่ได้รู้สึกถึงพลังปราณเลยแม้แต่น้อย
“ข้าได้ยินว่าเจ้าปฏิเสธฮ็อดเดิลเหรอ?” เฟนหัวเราะ แม้แต่เฟนก็ยังให้เกียรติฮ็อดเดิล ที่สำคัญฮ็อดเดิลเป็นยอดฝีมือระดับเทพ
“ถูกแล้ว” ลินลี่ย์พยักหน้า
“นับว่าฉลาด” เฟนหัวเราะ “ลินลี่ย์เราควรจะรู้สึกโชคดีที่ได้เกิดมาในทวีปยูลาน”
“โอว?” ลินลี่ย์รู้สึกสับสน
เฟนพูดต่อ “เซียนหลายคนมีชื่อเสียงมาเป็นร้อยๆปีและมีความสนุกเพลิดเพลิน สมาชิกครอบครัวส่วนใหญ่ของพวกเขาเมื่อแก่ตายไปแล้ว พอไม่มีอะไรผูกพันพวกเขาได้ ส่วนใหญ่จึงเดินทางไปยังพิภพเบื้องสูง”
ลินลี่ย์พยักหน้า เขาเข้าใจเรื่องนี้
ในที่สุดนักสู้จะเพิ่มความเบื่อหน่ายกับสิ่งที่พิภพระดับสูงเสนอให้ หลังจากผ่านไปร้อยปี สมาชิกครอบครัวที่ไม่ได้ถึงระดับเซียนก็คงตายไปนานแล้วเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะตัดสินไปเดินทางไปยังพิภพระดับสูง
“แต่สิ่งที่คนเหล่านั้นไม่เข้าใจก็คือยอดฝีมือหลายคนของพิภพระดับสูงก็ปรารถนาจะมายังพิภพยูลานเช่นกัน” รอยยิ้มปรากฏอยู่ที่ริมฝีปากของเฟน “ลินลี่ย์เมื่อห้าพันปีที่แล้ว ยอดฝีมือหลายคนจากดินแดนชั้นสูงต่างๆก็ลงมายังทวีปยูลาน เจ้ารู้เรื่องนี้บ้างไหม?”
“ข้าได้ยินมาบ้าง” ลินลี่ย์พยักหน้า
“ข้าคาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะรู้เรื่องนี้” เฟนพยักหน้า “ยอดฝีมือนับไม่ถ้วนเหล่านั้นมายังทวีปยูลาน เป็นเพราะมีบางอย่างในดินแดนพิภพนี้ซึ่งดึงดูดพวกเขามา”
เฟนส่ายศีรษะและถอนหายใจ “แต่เซียนหลายคนแทนที่จะเลือกออกไปยังพิภพระดับสูงซึ่งยอดฝีมือมีมากทั่วไปราวกับเมฆบนฟ้า พวกเขากลับปล่อยสิ่งที่อยู่ใกล้ให้หลุดห่างออกไป”
“ลินลี่ย์ ข้าจะบอกเรื่องนี้ให้เจ้าทราบ อย่าเพิ่งรีบร้อนไปพิภพระดับสูง อยู่ที่นี่แหละโดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าจะได้รู้ว่าพิภพแห่งนี้มีประโยชน์มากมายขนาดไหน เพราะสิ่งที่เป็นความลับซ่อนอยู่ภายในทวีปยูลาน สำหรับตอนนี้ ข้ายังบอกเจ้าไม่ได้” เฟนกล่าวพลางหัวเราะ
ลินลี่ย์มองดูเฟนอย่างสงสัย “ทำไมถึงบอกเรื่องนี้กับข้า?”
เซียนหลายคนไม่รู้เรื่องนี้ ทำไมเฟนจึงตัดสินใจบอกเขา?
“อาจารย์สั่งข้าให้บอก” เฟนกล่าว
“เทพสงคราม?” ลินลี่ย์ไม่เข้าใจจริงๆ
นี่เป็นครั้งที่สองที่เทพสงครามช่วยเขา ครั้งแรกเขาสั่งจักรพรรดิโจฮันน์ให้เลือกวอร์ตัน ขณะที่ตอนนี้เขาสั่งให้เฟนบอกความลับเหล่านี้กับเขา
เฟนพูดทันที “ลินลี่ย์ ข้าได้ยินว่าเจ้าค่อนข้างจะทรงพลัง เรามาซ้อมมือกันเถอะ เจ้าจะว่ายังไงบ้าง?”
ลินลี่ย์ตาเป็นประกาย เขาพยักหน้าทันที
ได้ฝึกฝีมือกับคนระดับเฟนย่อมได้ประโยชน์แน่นอน แค่เพียงพลิกมือลินลี่ย์ดึงกระบี่เลือดม่วงออกมา เขากระโจนถอยหลังด้วยความเร็วสูงขณะเดียวกันเกล็ดดำก็ขึ้นคลุมทั้งร่างและหนามแหลมปรากฏออกมาเช่นกัน
เมื่อเห็นดวงตาสีทองเยือกเย็นไร้ความรู้สึกเฟนถอนหายใจชมเชย “ร่างมังกรที่ผิดแผกของเจ้านี้ดูเหมือนจะมีความพิเศษมาก มาเถอะ เจ้าพร้อมหรือยัง?”
ลินลี่ย์ร่ายเวทเงาลมเสร็จแล้ว
“พร้อมแล้ว” ลินลี่ย์พยักหน้า
เมื่อมองดูลินลี่ย์ เฟนจำคำสั่งอาจารย์ได้เขาอดระบายลมหายใจไม่ได้ เหตุผลที่เขากระตุ้นให้ลินลี่ย์ซ้อมฝีมือเป็นเพราะคำสั่งของเทพสงคราม
สำหรับเทพสงครามนั้น เป็นเวลาที่จะให้ลินลี่ย์ได้รู้ว่ายอดฝีมือของทวีปที่แท้จริงมีพลังมากขนาดไหน
“ลินลี่ย์, ข้าไวมากนะ ระวังให้ดี” เฟนพูดพลางยิ้ม ความจริงลินลี่ย์เลือกใช้กระบี่เลือดม่วงเพราะเขาได้ยินมาว่าเฟนนั้นรวดเร็ว
กระบี่เลือดม่วงมีระดับความเร็วที่น่าประหลาดเมื่อใช้ได้ถูกต้อง
“มาเริ่มกัน” ตาของเฟนเป็นประกาย
“ควั่บ!” แสงสีฟ้าเปล่งออกมาจากร่างของเฟน ทรงพลังมากจนมันปริและแตกออก
เฟนเคลื่อนไหวทันที
ลินลี่ย์รู้สึกได้แต่ว่าแสงที่เหมือนสายฟ้าพุ่งเข้าหาเขาทันที อย่างน้อยเร็วกว่าโอลิเวอร์สองเท่า ความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวนี้ลินลี่ย์ไม่สามารถหลบพ้นได้เลย
“น่ากลัวจริงๆ!”
ลินลี่ย์เอนตัวไปข้างหลังขณะที่กระบี่เลือดม่วงแปลงเป็นความเคลื่อนไหวของพายุหมุนอย่างรวดเร็วเกิดประกายไฟสีม่วงนับไม่ถ้วนซึ่งโจมตีใส่สายฟ้าสีฟ้า
สัจธรรมแห่งธาตุลม –ระลอกลม
ลินลี่ย์ไม่กล้าใช้วิชาอื่น ถ้าเขาใช้วิชาทำนองสายลมแทน บางทีเขาอาจไม่สามารถแตะต้องศัตรูได้เลย มีแต่ใช้ความเร็วจึงจะต้านรับให้ตัวเขาได้
“บึ้ม!” พลังที่น่ากลัวกระแทกใส่ปลายกระบี่เลือดม่วง
และจากนั้นลินลี่ย์สามารถรู้สึกได้ชัดว่าแสงสายฟ้าดูเหมือนจะส่งผ่านเข้ากระบี่เลือดม่วงตรงมาที่ตัวของเขากระแทกใส่เกล็ดดำของเขา
“ปัง!”
หนักพอๆกับค้อนศึกที่หวดเข้าใส่วิญญาณของลินลี่ย์ ลินลี่ย์ปลิวลอยขึ้นไปข้างบน จากนั้นก็ร่วงลงมากับพื้นทันที ตลอดทั้งร่างสั่นสะท้านเนื่องจากพลังสายฟ้ายังคงทิ้งระลอกอยู่ในตัวของลินลี่ย์
ตลอดร่างของเขารู้สึกเป็นอัมพาต ลินลี่ย์รู้สึกแต่เพียงว่ากล้ามเนื้อของเขาสูญเสียพลังไปหมดและเขาสามารถประคองได้แต่สติเท่านั้น
หลังจากผ่านไปนานลินลี่ย์ค่อยฟื้นคืนสติเต็มที่ และแขนขาทั้งสี่และกล้ามเนื้อของเขาฟื้นพลังกลับมาช้าๆเช่นกัน ตอนนี้ลินลี่ย์ยืนขึ้นได้แล้วจ้องมองเฟนอย่างเหลือเชื่อ
เมื่อเขาประลองกับโอลิเวอร์ ลินลี่ย์เชื่อว่าตนเองเป็นเซียนชั้นสูงแล้วซึ่งก็หมายความว่ามีน้อยคนนักในแผ่นดินนี้ที่สามารถเอาชนะเขาได้
แต่ตอนนี้หลังจากซ้อมมือกับเฟน เขาตระหนักได้ว่าความแตกต่างระหว่างตัวเขาเองกับเฟนมากมายยิ่งนัก
เฟนไวกว่าเขาสองเท่า แม้ว่าจะมีเสียงไม่มากก็ตาม เมื่อเข้าสู้ในการสู้รบด้วยความเร็วความได้เปรียบในเรื่องความเร็วเล็กน้อยก็หมายความว่าอีกฝ่ายที่เร็วกว่านั้นมีเปรียบ เร็วเป็นสองเท่า นี่เป็นช่องว่างที่ไม่อาจเทียบได้
ไม่มีทางที่เขาจะตอบโต้ได้เลย
ยิ่งกว่านั้นสายฟ้าโจมตีนั่นสะท้านถึงวิญญาณของเขามาก เฟนยั้งมือไม่ได้ใช้เต็มกำลังเนื่องจากเขาไม่ต้องการทำร้ายลินลี่ย์
“อะไรกัน เจ้าไม่อาจทำใจเชื่อได้หรือ?” เฟนกลับไปนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ และหัวเราะ
ใจของลินลี่ย์อยู่ในสภาพสับสน “แม้ว่าข้าจะรู้ว่าท่านแข็งแกร่ง ท่านเฟน แต่ข้าคาดไม่ถึงเลย .. ว่าข้าจะไม่สามารถต้านทานท่านได้แม้แต่น้อย ท่านเฟน, ท่านเข้าถึงระดับเทพแล้วหรือ?”
“ไม่, ข้ายังเป็นแค่เซียนชั้นสูง” เฟนส่ายศีรษะ
“ข้าเองก็เป็นเซียนชั้นสูง แต่...” ลินลี่ย์ไม่สามารถเข้าใจได้
เฟนหัวเราะมองดูลินลี่ย์ จากนั้นถอนหายใจอย่างมีอารมณ์ “ลินลี่ย์ อย่าถูกหลอกด้วยคำว่า ‘ระดับเซียนชั้นสูง’ ในสายตาของยอดฝีมืออย่างเราสิ่งที่เรียกว่า ‘ชั้นสูง’ ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือเจ้าจะทำความเข้าใจเรื่องของกฎธรรมชาติได้มากเพียงไหน”
“ถ้าเจ้าเข้าใจแค่ส่วนที่เล็กน้อยที่สุดของกฎธรรมชาติ อย่างนั้นเจ้าย่อมเป็น ‘เซียนชั้นสูง’ ในสายตาของคนธรรมดา” เฟนพูดอย่างรังเกียจ
ลินลี่ย์ตะลึง
ใช่แล้วนั่นเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน เมื่อลินลี่ย์เชี่ยวชาญการใช้ดาบจนถึงชั้น ‘กำหนด’ นั่นเป็นการยืมพลังกำหนดของฟ้าและดินมาใช้ยังไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับกฎธรรมชาติเลย
แต่วิชาที่เขาพัฒนาบนพื้นฐานสัจธรรมแห่งธาตุดินและสองเคล็ดวิชาที่เขาพัฒนามาจากสัจธรรมของธาตุลม ระลอกลมและทำนองลมนั่นอยู่บนพื้นฐานที่เขาเองมีความรู้ แต่ยังเป็นส่วนเล็กน้อยของความเข้าใจเรื่องกฎธรรมชาติ
“ตามที่อาจารย์พูดไว้กฎแห่งธาตุมีขอบเขตกว้างขวางเหมือนมหาสมุทร ถ้าเจ้าเข้าใจได้เพียงน้ำหยดหนึ่งในทะเล เจ้าก็เป็นเซียนชั้นสูงได้ ถ้าเจ้าเข้าใจได้เท่าหยดน้ำร้อยหยด เจ้าก็ยังเป็นเซียนระดับสูงอยู่ดี แต่มีความแตกต่างกันระหว่างเซียนทั้งสองนี้อย่างใหญ่หลวง!”
แววเดียวดายปรากฏอยู่บนใบหน้าของเฟน “กฎแห่งธาตุแท้จริงแล้วกว้างขวางและไร้ขอบเขต สมมติว่าหลังจากเข้าใจ 1% ของกฎได้นักสู้ผู้นั้นก็สามารถเข้าถึงระดับเทพชั้นต้น”
“สำหรับเจ้ากับโอลิเวอร์ เจ้ายังเชี่ยวชาญไม่ถึง 0.01% ด้วยซ้ำ” เฟนหัวเราะขณะจ้องมองลินลี่ย์ “บอกข้าทีแม้ว่าเจ้าทั้งสองคนจะได้รู้แจ้งเพียงบางส่วน ความรู้ของพวกเจ้าจะเทียบกับเราที่ฝึกฝนมาเป็นพันปีได้ยังไง?”
ลินลี่ย์เข้าใจ
ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะเท่าไหน เขาก็ยังใช้เวลาน้อยกว่าสิบปีเพื่อทำสมาธิเข้าถึงกฎแห่งธาตุ
แล้วเฟนเล่า? เขาทำอย่างเดียวกันมาเป็นเวลาหลายพันปี ต่อให้เฟนจะไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์เท่าเขา ความเข้าใจเรื่องกฎธรรมชาติของเขา จะน้อยกว่าลินลี่ย์ได้ยังไง?
“ลินลี่ย์ เซียนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกอย่างเซียนดาบจ้าวภูผาเฮนด์เซน กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงเมื่อสหัสวรรษที่ผ่านมา ยอดฝีมือที่แท้จริงเหล่านั้นฝึกฝนมาเป็นเวลานับพันปีจนถึงจุดเกินกว่าจะสนใจความเอาใจใส่และชื่อเสียงในโลก พวกเขาทุกคนล้วนฝึกสมาธิและฝึกฝนส่วนตัวกันทั้งนั้น
ลินลี่ย์ตะลึง
เซียนดาบจ้าวภูผามีชื่อเสียงและชื่อว่าเป็นเซียนที่ทรงพลังมากที่สุด
“รายชื่อและการจัดอันดับเหล่านั้นเจ้าอาจเคยได้ยินว่าไม่มีอะไรต่อยอดฝีมือระดับเซียน คนส่วนใหญ่ในทวีปก็รู้ เจ้ารู้ไหมว่ายอดฝีมือที่ทรงพลังที่เจ้ายังไม่รู้มีอยู่เท่าใด? ผู้โชคดีรอดชีวิตจากสงครามเมื่อห้าพันปีที่แล้วก็ยังลอบฝึกฝนตนเองอยู่นับตั้งแต่นั้น ข้าปฏิเสธที่จะเชื่อว่าพวกเขายินดีจะไปจากทวีปยูลาน” ดวงตาของเฟนมีรอยยิ้ม