ตอนที่ 9-14 อัจฉริยะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
วอร์ตันตะลึงกับข่าวนี้ทันที
แท้จริงแล้ววอร์ตันต้องการแต่งงานกับนีน่าในนครหลวงอย่างเปิดเผยแทนที่จะพานางหนี
“เคย์ลัน, ข้อมูลนี้ของเจ้าจริงหรือเปล่า?” ลินลี่ย์จ้องมองเคย์ลันและถามทันควัน
เคย์ลันพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “อาจารย์ลินลี่ย์ แม้ว่าฝ่าบาทจะยังไม่ประกาศอย่างเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชน แต่ข้อมูลนี้มาจากการสนทนาของบิดาข้ากับฝ่าบาท อาจารย์ลินลี่ย์,ข้าเชื่อว่าท่านสามารถตัดสินด้วยตัวเองกับความถูกต้องของข่าวนี้”
ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย
ไม่มีความจำเป็นที่มหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายจะต้องโกหกลูกชายตนเอง และเพราะพลังจิตของลินลี่ย์อยู่ในขั้นจอมเวทระดับเก้าแล้ว ถ้าเคย์ลันโกหกในตอนนี้ลินลี่ย์ก็น่าจะรู้สึกได้
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราพี่น้องรู้สึกขอบคุณที่เจ้าช่วยเหลือ,เคย์ลัน” ลินลี่ย์กล่าวขอบคุณ
ถึงตอนนี้ใจของวอร์ตันเข้าใจชัดอีกครั้ง เขาพูดกับเคย์ลันด้วยความรู้สึกขอบคุณอีกครั้ง “เคย์ลัน ขอบคุณที่เจ้ามาเตือนเรา”
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า ข้าแค่หวังว่าในอนาคตนีน่าจะมีชีวิตที่เป็นสุข แค่นี้แหละข้าจะต้องไปแล้ว” เคย์ลันโค้งตัวเล็กน้อยให้ลินลี่ย์และวอร์ตัน จากนั้นเดินออกมา
วอร์ตันมองดูเคย์ลันจากไป จากนั้นหันมาทางลินลี่ย์ทันที “พี่ใหญ่ เราจะทำไงดี?” ตอนนี้จิตใจของวอร์ตันว้าวุ่น
“เราควรจะทำยังไงดี?” ลินลี่ย์พูดด้วยความเชื่อมั่นเต็มที่ “สำหรับตอนนี้ เราจะเริ่มย้ายออกไปจากเมืองหลวงทันที”
ลินลี่ย์มองไปทางวังหลวงอย่างเย็นชา “เราไม่มีทางเลือก ข้าจะสั่งคนให้ไปบอกเยลและเรียกเขามา ตอนนี้เราจะต้องใช้เส้นทางลับของหอการค้าดอว์สันพารีเบ็คกา ลีนาเจนน์และครอบครัวของลุงฮิลแมนออกไปจากเมืองหลวง และจักรพรรดิจะต้องไม่พบว่าพวกเขาจากไปแล้ว
ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากนัก ต่อให้จักรพรรดิพบก็ตามที
แม้ว่าจักรพรรดิโจฮันน์จะสงสัยลินลี่ย์ แล้วจะทำยังไงได้? เขากล้ารุกรานลินลี่ย์? ที่สำคัญตัวเขาเองไม่ใช่เทพสงคราม และถ้าเขากล้ารุกรานลินลี่ย์ ใครจะรับคำสั่งให้ไปจัดการกับลินลี่ย์?
…..
วันนั้นลินลี่ย์เชิญเยลเข้ามา หลังจากปรึกษาเรื่องนี้เป็นเวลานานกับเยล เยลตบอกและให้สัญญาทันที “น้องสาม ไม่ต้องห่วงก็แค่คนไม่กี่คนจะไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน”
จากนั้นเยลหัวเราะ “ความจริง, น้องสาม ต่อให้จักรพรรดิพบเขาก็จะแกล้งทำเป็นไม่รู้อยู่ดี”
ลินลี่ย์ยิ้มเช่นกัน
เขาเข้าถึงระดับเซียนแล้ว แม้ว่าสถานะของจักรพรรดิจะสูงส่ง แต่ลินลี่ย์ไม่กลัวใคร ความจริงคนเดียวที่ลินลี่ย์กลัวก็คือบุรุษผู้อาศัยอยู่บนภูเขาเทพสงคราม
“ยังไงก็เถอะ พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกพบดีกว่า” ลินลี่ย์สั่ง
……..
แม้ว่าเจนน์รีเบ็คกาและลีนาจะไม่เต็มไปจากไป แต่พวกนางรู้ว่าพวกนางจะได้พบกับกลุ่มของลินลี่ย์อีกดังนั้นพวกนางจึงยอมทำตามคำแนะนำของหอการค้าดอว์สันและออกไปจากเมืองหลวงเงียบๆ
ความจริงลินลี่ย์และวอร์ตันยังไม่ทิ้งความหวังทั้งปวง
พวกเขาหวังว่าในวันที่15 มีนาคม จักรพรรดิโจฮันน์จะทรงเลือกวอร์ตันที่ตำหนักนักสู้ แม้ว่าโอกาสจะน้อยมาก...แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ว่าจักรพรรดิโจฮันน์อาจเปลี่ยนพระทัย
ที่สำคัญนีน่าหนีไปกับวอร์ตันก็หมายความว่าแตกหักกับราชตระกูลของนาง ในขณะที่วอร์ตัน เขาพ่อบ้านแอชลี่ย์และฮิลแมนทุกคนสะดวกสบายและคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในเมืองหลวงหากไม่จำเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาไม่ต้องการใช้วิธีสุดท้าย
….
เมื่อแต่ละวันผ่านไปและวันที่ 15 มีนาคมใกล้เข้ามาเช่นกัน ถนนโรงแรมและร้านค้าอาหารของเมืองหลวงเต็มไปด้วยการพูดคุยกันเรื่องวอร์ตันบลูเมอร์และพี่ชายของพวกเขา
ทุกคนพยายามคาดเดาว่าใครจะเป็นผู้ได้แต่งงานกับองค์หญิงเจ็ด
วันที่ 15มีนาคมมาถึงจนได้ เช้าวันนั้นหิมะที่หาดูได้ยากได้ตกในเมืองหลวงในตอนเช้าตรู่ แม้ว่าพระอาทิตย์จะฉายแสงตอนเจ็ดหรือแปดนาฬิกาแต่ก็ยากจะมองเห็นได้ไกลเกินกว่าสิบเมตร
“เฮ้อ” วอร์ตันยืนอยู่นอกคฤหาสน์ระบายลมหายใจยาว
สองสามวันที่ผ่านมานี้ จิตใจของเขามีแรงกดดันมาก
“พอเถอะ วันนี้เราจะรู้คำตอบกัน วางใจได้” ลินลี่ย์หัวเราะพลางตบไหล่วอร์ตัน วอร์ตันหันหน้ามองดูพี่ชายของเขา เมื่อมองดูลินลี่ย์วอร์ตันรู้สึกเหมือนกับว่าลินลี่ย์คือแหล่งสนับสนุนที่แข็งแกร่งที่สุดของเขามีลินลี่ย์อยู่ที่นั่นด้วย วอร์ตันรู้สึกว่ามีความมั่นใจ
“ถูกแล้ว” วอร์ตันพยักหน้าแข็งขัน
ลินลี่ย์กับวอร์ตันขึ้นรถม้าทันทีและมุ่งหน้าไปยังวังหลวง เพราะพายุหิมะรถม้าจึงเดินหน้าไปได้ช้ามาก นอกจากนี้ยังมีรถม้าหลายคันมุ่งหน้าไปยังวังหลวงในวันนี้
ที่ประตูเข้าวัง
รถม้าคันแล้วคันเล่าหยุดที่หน้าประตูและขุนนางต่างๆลงมาจากรถม้าของตนและพูดคุยทักทายกันอย่างสนุกสนาน
“ท่านโอลิเวอร์มาถึงแล้ว” เมื่อเห็นโอลิเวอร์และบลูเมอร์เดินออกมาจากรถม้าพร้อมกับขุนนางและอำมาตย์ด้านนอกต้อนรับพวกเขาอย่างเป็นกันเอง
เมื่อเห็นพวกขุนนางและอำมาตย์เดินตรงมาที่เขาแทบจะทันทีที่ออกจากรถ โอลิเวอร์อดขมวดคิ้วไม่ได้
“น้องรอง เข้าไปข้างในกันเถอะ” โอลิเวอร์สนใจมองดูพวกขุนนางมากนักขณะที่เขาปล่อยพลังคลื่นออกมาจากร่างของเขาผลักพวกขุนนางที่กำลังจะเข้ามาออกไปด้านข้างรวมทั้งพวกอำมาตย์มุขมนตรีโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับพวกเขาแม้แต่น้อย
พวกขุนนางและอำมาตย์ได้แต่มองหน้ากันเอง พวกเขาประหลาดใจอย่างช่วยไม่ได้
“ใต้เท้า, เรามาถึงแล้วขอรับ” เสียงสารถีขับรถม้าดังขึ้นและจากนั้นวอร์ตันและลินลี่ย์ออกมาจากรถโดยสาร ครั้งนี้พวกขุนนางและอำมาตย์ฉลาดพอที่จะไม่เข้าไปใกล้เกินไปนัก พวกเขาเพียงแต่ร้องเรียกทักทายอยู่ในระยะที่ปลอดภัย
ลินลี่ย์และวอร์ตันไม่ให้ความสนใจพวกขุนนางมากนักขณะที่พวกเขามุ่งตรงไปที่ตำหนัก
“ลินลี่ย์” โอลิเวอร์ก็หยุดชะงักและหันหน้ามาต้อนรับทักทายลินลี่ย์
“โอลิเวอร์” ลินลี่ย์ยังคงรู้สึกให้เกียรติต่อคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังอย่างโอลิเวอร์ ไม่มีใครสามารถเข้าถึงพลังระดับนี้โดยไม่คร่ำเคร่งกับการฝึกฝนตนเองมาหลายปี
ลินลี่ย์ วอร์ตันโอลิเวอร์และบลูเมอร์เดินเป็นแถวเดียวกัน มุ่งหน้าสู่ตำหนักผู้กล้า
“ลินลี่ย์, วันนั้นที่สนามประลอง..บอกตามตรงเลยนะ, ข้าอยากจะสู้กับเจ้าต่อจริงๆ” ใบหน้าของโอลิเวอร์มีรอยยิ้มที่เป็นมิตร
“โอว?อย่างนั้นทำไมเจ้าถึงยกเลิกโอกาสเช่นนั้นเล่า?ข้าไม่มีทางเชื่อว่าเจ้ากลัวเฮนด์เซนแน่” ลินลี่ย์พูดพลางหัวเราะอย่างใจเย็น
โอลิเวอร์และลินลี่ย์ทั้งสองคนสามารถรู้สึกถึงพลังของกันและกันได้ แม้ในวันนั้นพวกเขาจะถูกเฮนด์เซนใช้พลังบีบบังคับจนต้องแยกกันแต่หนึ่งในเหตุผลหลักที่พวกเขาถูกบังคับให้แยกกันเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้โจมตีโดยระเบิดพลังออกมาใช้เต็มที่
“ใช่ว่าข้าจะกลัวเฮนด์เซน นอกจากนั้น..การท้าประลองกับเฮนด์เซนคือเป้าหมายที่ข้าตั้งเอาไว้เมื่อหกปีที่แล้ว หลังจากเชี่ยวชาญกระบี่อัคนี ข้าต้องท้าประลองเขาอย่างแน่นอน” โอลิเวอร์มองดูเขา “ที่สนามประลองข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะดำเนินการต่อสู้กับเจ้าได้ แต่การต่อสู้คราวนี้คงต้องเป็นหลังจากการต่อสู้กับเฮนด์เซนแล้ว”
“ข้าไม่ต้องการให้เฮนด์เซนรู้ความลับวิชากระบี่อัคนี ถ้าข้าใช้วิชากระบี่นี้กับเจ้าไปจะไม่เป็นการเปิดเผยไม้ตายข้าให้เขารู้หรือ?” ใบหน้าของโอลิเวอร์มีรอยยิ้ม “ข้าต้องการเห็นจริงๆว่าเซียนกระบี่จ้าวภูผาเฮนด์เซนขึ้นชื่อในเรื่องพลังป้องกันจะสามารถทนพลังโจมตีของข้าได้หรือไม่?”
ลินลี่ย์พยักหน้า
“ในการประลองระหว่างข้ากับเซียนกระบี่จ้าวภูผาตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนเจ้าคิดว่าใครจะชนะ?” จู่ๆโอลิเวอร์ก็ถามขึ้น
ลินลี่ย์นิ่งครู่หนึ่ง
วันนั้นลินลี่ย์เห็นชั้นพลังงานสีดำบนตัวกระบี่อัคนีมันให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดมาก ลินลี่ย์มั่นใจมากในดาบหนักอดาแมนเทียมของตัวเขาเอง แต่ไม่จำเป็นต้องมั่นใจในความสามารถของเขาในการรับพลังโจมตีของคู่ต่อสู้ของเขา
“เป็นไปได้ทั้งนั้นที่ทั้งท่านหรือเซียนดาบจ้าวภูผาอาจชนะได้ แต่ข้าคิดว่าเซียนดาบจ้าวภูผาเฮนด์เซนมีโอกาสชนะสูงกว่า ที่สำคัญในช่วงเวลาหลายปีมานี้ไม่มียอดฝีมือระดับเซียนที่สามารถเอาชนะเขาได้ เพราะเขามีผลงานเช่นนั้นก็หมายความว่าเขามีพลังให้พึ่งพาได้แน่นอน” ลินลี่ย์พูดอย่างตรงไปตรงมา
โอลิเวอร์พยักหน้า “ใช่แล้ว ข้ายอมรับว่าหกปีที่แล้วเมื่อข้าประลองกับเฮนด์เซน เขาได้เปิดเผยพลังที่แท้จริงของเขาพลังของเฮนด์เซนลึกล้ำยากจะหยั่งได้ แต่ข้าก็มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมในกระบี่อัคนีของข้าเช่นกัน ไม่ว่าพลังป้องกันของเขาจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม เขาจะไม่สามารถทนได้”
ลินลี่ย์หัวเราะ
เป็นไปได้ยังไงที่โอลิเวอร์ช่างคล้ายกับเขามาก? เขาเองก็มีความมั่นใจในดาบหนักอดาแมนเทียมในทำนองเดียวกัน
“กระบี่อัคนีของเจ้ามีพลังโจมตีแบบไหนกันแน่?ทำไมเจ้าถึงได้มั่นใจนัก?” ลินลี่ย์ถามด้วยความสงสัย
โอลิเวอร์หัวเราะ “กระบี่อัคนีของข้าน่ะหรือ?” โอลิเวอร์มองดูลินลี่ย์โอลิเวอร์หยุดเล็กน้อยก่อนจะพูด “ข้าสามารถบอกเจ้าได้เพียงเท่านี้ เจ้าควรจะรู้ได้เดี๋ยวนี้ว่าเคล็ดวิชาของกระบี่อัคนีของข้าเกี่ยวข้องกับการรู้แจ้งกฎธรรมชาติแห่งธาตุมืด”
ลินลี่ย์พยักหน้า
“ดังนั้นนอกจากพลังทะลุทะลวงและพลังโจมตีแล้ว กระบี่อัคนีของข้ายังมีพลังโจมตีจิตวิญญาณ” โอลิเวอร์พูดด้วยความมั่นใจตรงๆ
“พลัตโจมตีจิตวิญญาณ?” ลินลี่ย์ตกใจ
เวทธาตุมืดรวมทั้งคำสาบที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณไว้ด้วย กฎธรรมชาติธาตุมืดรวมเอาคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณทุกอย่าง แต่โอลิเวอร์สามารถพัฒนาพลังโจมตีจิตวิญญาณด้วยกระบี่อัคนีของเขาการรู้แจ้งในกฎธรรมชาติของเขาในเรื่องเหล่านี้น่าประหลาดจริงๆ
“บางทีพลังโจมตีทางกายภาพธรรมดาของกระบี่อัคนีอาจง่ายแก่การป้องกัน แต่ผลทางจิตวิญญาณ..พลังป้องกันธรรมดาแทบไม่มีประโยชน์ ข้าต้องการดูว่าเฮนด์เซนจะป้องกันได้อย่างไร”
ขณะที่โอลิเวอร์พูดท่าทางตื่นเต้นก็ปรากฏอยู่ในใบหน้าของบลูเมอร์เช่นกัน
ลินลี่ย์ต้องยอมรับ...
กระบี่อัคนีมีความน่ากลัวมาก
“ช่างน่ากลัวจริงๆ โจมตีต่อจิตวิญญาณ...” ลินลี่ย์ทึ่งกับพลังวิชาแบบนี้เช่นกัน
“ยิ่งจิตวิญญาณของนักสู้มีพลังมากโอกาสที่พวกเขาจะสามารถป้องกันพลังโจมตีแบบนี้มีมากขึ้น แต่พวกนักรบที่ไม่มีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งต่อให้เป็นนักรบระดับเซียนก็ยังไม่มีพลังจิตวิญญาณมากเท่ากับจอมเวทระดับเก้าด้วยซ้ำ”โอลิเวอร์จึงมั่นใจมาก
นักรบมีพลังจิตน้อยกว่านักเวทในระดับเดียวกันมากนัก
วิชานี้เพ่งเล็งไปที่จุดอ่อนของนักรบอย่างแม่นยำ
“ลินลี่ย์, แล้ววิชาโจมตีของเจ้าเล่าเป็นยังไง?” โอลิเวอร์ถามขึ้นเหมือนกัน
บลูเมอร์ยังคงมองดูลินลี่ย์ ตอนนี้แววหยิ่งยโสมีอยู่ในดวงตาของบลูเมอร์ เขามั่นใจว่าลินลี่ย์คงไม่สามารถรับมือพี่ใหญ่ของเขาได้แน่
ลินลี่ย์ไม่พยายามจะปกปิดอะไร เขาพูดตามตรง “วิชาของข้าที่ใช้กับดาบหนักอดาแมนเทียมทำให้พลังป้องกันตัวไร้ประโยชน์ มันเข้าโจมตีอวัยวะภายในร่างของคู่ต่อสู้โดยตรง”
“ทำให้พลังป้องกันไร้ประโยชน์?” สีหน้าของโอลิเวอร์เปลี่ยน
กล่าวโดยทั่วไปยอดฝีมือจะค่อยๆ สร้างพลังจิตวิญญาณของพวกเขา บนเส้นทางรู้แจ้งกฎธรรมชาติ ระดับความเติบโตในพลังจิตวิญญาณของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นเร็ว ตัวอย่างเช่นพลังจิตของเฮนด์เซนควรจะเทียบเท่ากับจอมเวทระดับเก้าได้
แต่อวัยวะภายในนั้นแตกต่าง
แม้ว่าจะเป็นเรื่องง่ายที่ใครคนหนึ่งจะฝึกฝนพลังกล้ามเนื้อ แต่เป็นเรื่องยากอย่างยิ่งกับการฝึกหัวใจหรือลำไส้ พวกเขาสามารถดูดซับแก่นธาตุได้ทีละเล็กน้อยซึ่งสร้างเสริมความแข็งแรงให้หัวใจและอวัยวะภายในได้เล็กน้อย
ถ้าอวัยวะภายในของคนถูกทำลายคนผู้นั้นจะตายแน่นอน
“ทำให้พลังป้องกันภายนอกเปล่าประโยชน์และเล่นงานส่วนภายในร่างกาย...” โอลิเวอร์รู้สึกชื่นชมลินลี่ย์อยู่ในใจเช่นกันพลังโจมตีเช่นนี้แปลกประหลาดเกินไป แต่ลินลี่ย์ก็ยังพัฒนาขึ้นมาได้
ลินลี่ย์ก็รู้สึกชื่นชมโอลิเวอร์ทำนองเดียวกัน กระบี่อัคนีสามารถโจมตีจิตวิญญาณของคนได้!
……..
ข้าราชบริพารและอำมาตย์ด้านหลังพวกเขาเมื่อเห็นลินลี่ย์และโอลิเวอร์สนทนาอย่างเป็นกันเอง ก็อดรู้สึกทึ่งมิได้
ในไม่ช้าลินลี่ย์และคนอื่นๆก็มาถึงด้านนอกตำหนักผู้กล้า
ลินลี่ย์และโอลิเวอร์มองดูกันเองจากนั้นนำน้องชายของพวกเขาเข้าไปในตำหนักผู้กล้าพร้อมกัน ความจริงแม้ว่าพวกเขาจะอธิบายพลังโจมตีสูงสุดให้ฟังกันเองแต่พลังโจมตีนั้นยากจะป้องกันไว้ได้
ทั้งจิตวิญญาณและอวัยวะภายในคือจุดวิกฤติแน่นอน นี่คือเหตุผลที่อัจฉริยะทั้งสองคนมั่นใจนักและเป็นเหตุผลที่ทั้งสองคนไม่กลัวที่จะบอกความลับให้กับคู่แข่งของตน
ต่อให้ข้าบอกเจ้าแล้วยังไง? ดูซิว่าเจ้าจะทำอะไรได้
…………
มีคนอยู่น้อยรวมตัวกันอยู่ในตำหนักผู้กล้า เมื่อลินลี่ย์และวอร์ตันเข้าไปในตำหนัก มหาดเล็กก็เดินเข้ามาหาทันที “ท่านลินลี่ย์ ฝ่าบาทเตรียมที่นั่งไว้ให้ท่านแล้วเชิญนั่งทางนั้น”
อำมาตย์โดยปกติจะต้องยืน แต่ลินลี่ย์ไม่ต้อง
ลินลี่ย์นั่งลงอย่างเงียบสงบ ขณะที่โอลิเวอร์ก็ถูกมหาดเล็กประจำตำหนักพายังที่นั่งเช่นกัน สายตาของขุนนางและอำมาตย์มากมายในตำหนักมองไปที่ลินลี่ย์และโอลิเวอร์มีทั้งความนับถือและยำเกรง
“ลินลี่ย์, เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะทรงเลือกใคร?” โอลิเวอร์สนทนากับลินลี่ย์ตามปกติขณะที่ขุนนางและอำมาตย์ยังไม่ปรากฏตัวทั้งหมด
“วอร์ตันน้องข้าแน่นอน” ลินลี่ย์พูดตามตรง
โอลิเวอร์มองลินลี่ย์ “ข้าไม่คิดว่าข้าเห็นด้วย โอว ฝ่าบาทเสด็จมาถึงแล้ว” ลินลี่ย์และโอลิเวอร์มองไปทางประตูตำหนัก ขณะนั้นมหาดเล็กจำนวนหนึ่ง, พระราชินีพระสนมและองค์หญิงทั้งเจ็ดเดินเข้าตำหนักมาพร้อมกับจักรพรรดิโจฮันน์