ตอนที่แล้วตอนที่ 29 : สร้างความคุ้นเคย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 31 : สัตว์พิเศษ

ตอนที่ 30 : นิกายกฎนภากำลังแตกตื่น


ณ นิกายกฎนภา ตำหนักใหญ่

เจ้านิกายกฎนภานั่งอยู่บนบัลลังก์ภายในโถงขนาดใหญ่ บุรุษสตรีหลาบสิบคนอยู่อยู่ที่โถงแห่งนี้ บ้างก็นั่งด้านหน้าด้วยเก้าอี้สง่างาม บ้างก็นั่งข้างหลังด้วยเบาะเรียบง่าย ส่วนที่เหลือทั้งหมดนั้นต่างยืนแผ่นหลังชนกำแพงข้างหลังผู้เฒ่าของพวกเขาแต่ละคน

นี่คือโถงใหญ่แห่งนิกายกฎนภา เป็นสถานที่ที่การตัดสินใจที่ทำให้โลกสั่นคลอนเกิดขึ้นในทุกวัน ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนแต่มีอำนาจที่จะสั่นคลอนภูผาและเคลื่อนวารีสมุทร

มีทั้งคนชราและหนุ่มสาวอายุน้อยในที่แห่งนี้ บางคนที่นั่งหน้านั้นดูยังหนุ่มขณะที่บางคนแก่เฒ่า ทำให้เกิดคำถามว่าผู้ใดคือคนที่อายุมากกว่ากันแน่

เจ้านิกายสวมชุดขาวไร้ที่ติดูธรรมดา เขามัดผมด้วยปิ่นไม้ธรรมดาและกำลังฟังผู้เฒ่าชุดดำพูด แม้ว่าเจ้านิกายจะนั่งอย่างสบายบนบัลลังก์ แต่ก็ไม่มีใครตัังคำถามในเกียรติยศของเขา

ผู้เฒ่าชุดดำที่พูดนี้คือหัวหน้าผู้เฒ่าแห่งหอสรรพาวุธ

“พวกเราสร้างโล่สลักลึกล้ำและจะแจกจ่ายในสัปดาห์ที่จะมาถึง”

หัวหน้าผู้เฒ่าหอสรรพาวุธกล่าว

“เยี่ยมมาก รายงานต่อไป”

เจ้านิกายกล่าวโดยไม่พูดสิ่ที่ไม่จำเป็น

ผู้เฒ่าชุดดำอีกคนลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินมาที่หน้าเจ้านิกายก่อนจะประสานมือคารวะ เขามิใช่ใครนอกจากหัวหน้าผู้เฒ่าฮั่น

“คารวะใต้เท้า การเตรียมการทุกอย่างสำหรับบททดสอบต่อไปเสร็จแล้ว และตำแหน่งจะถูกจัดการอย่างเคย ด้วยการแข่งแบบคัดออก”

หัวหน้าผู้เฒ่าฮั่นตอบ

“อืม ลองดูว่าจะเพิ่มจำนวนอีกซักหน่อยได้ไหมในรอบนี้”

เจ้านิกายบอก

“เพิ่มจำนวนรึ? ข้าจะลองดูว่าเป็นไปได้หรือไม่ แต่ข้าไม่รู้ว่าสถานที่ทดสอบจะจุคนได้มากพอหรือไม่”

หัวหน้าผู้เฒ่าฮั่นตอบ

“ผู้เฒ่าใหญ่สองบอกข้าว่าค่ายกลของลานทดสอบพร้อมที่จะจุคนได้มากกว่าเดิมแล้วในปีนี้”

เจ้านิกายพูด

คนส่วนใหญ่ที่นั่งอยู่ในโถงนั้นแปลกใจเมื่อได้ยินคำพูดของเจ้านิกายยกเว้นแต่คนไม่กี่คน ผู้เฒ่าใหญ่สองนั้นทำหน้าที่เรื่องลานทดสอบทั้งหมดและลานที่ได้รับสืบทอดของนิกาย เขาคือหนึ่งในสามยอดฝีมือขอบเขตย่างวิถีของนิกาย ผู้เฒ่าใหญ่สองนั้นเป็นคนสันโดษที่นับว่าทุกคำพูดคือทองคำ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกมาสื่อสารในรอบสิบปี

หัวหน้าผู้เฒ่าฮั่นโค้งคำนับรับคำเจ้านิกาย

“หากผู้เฒ่าใหญ่สองกล่าวเช่นนั้นก็ย่อมได้ ใต้เท้า”

หลังจากหัวหน้าผู้เฒ่าฮั่นพูดจบและกำลังจะหันกลับไปนั่งนั้นเอง เจ้านิกายพูดขึ้นอีก

“การสืบเรื่องมิติปั่นป่วนก้าวหน้าไปถึงไหนแล้วรึ?”

เจ้านิกายถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

หัวหน้าผู้เฒ่าฮั่นหยุดเดินและยืนตรงก่อนจะพูด

“ศิษย์และผู้เฒ่าของเราที่ได้รับภารกิจเดินทางออกจากนิกายไปแล้ว ส่วนผู้เฒ่าที่อยู่ภายนอกในพื้นที่นั้นก็ได้รับแจ้งเรื่องแล้วเช่นกัน”

หัวหน้าผู้เฒ่าฮั่นกล่าว

“เกิดมิติปั่นป่วนเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่?”

เจ้านิกายถาม

“ใช่แล้วใต้เท้า มิติปั่นป่วนเกิดขึ้นในทุกวันตั้งแต่ที่ครั้งแรกเกิดขึ้น ศิษย์ยอดจับดาราพยายามอย่างมากที่จะหาต้นตอ แต่มันก็คงอยู่เป็นเวลาน้อยเกินไปที่จะหาต้นตอได้”

หัวหน้าผู้เฒ่าฮั่นตอบ

เจ้านิกายลูบคางพูด

“เจ้าบอกว่าร่องรอยซับซ้อนเกินไปงั้นรึ?”

“ใช่แล้วใต้เท้า ทีแรกศิษญ์ของเราแทบจะหาตำแหน่งคร่าว ๆ ของมิติปั่นป่วนไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ต่อมาก็ระบุตำแหน่งที่เกิดไม่ได้  จากนั้นเลยหาทางอื่นในการยืนยันโดยการวิเคราะห์จุดเด่นของมัน”

ผู้เฒ่าฮั่นพูดก่อนจะหยุดพัก

“แต่พวกเขาก็ยืนยันแม้แต่แหล่งเดียวไม่ได้ว่ามันคล้ายกับสิ่งใด”

ผู้เฒ่าฮั่นกล่าว

คนที่เหลือทำหน้างุนงงเว้นเสียแต่บางคนที่รู้ว่าคำพูดหัวหน้าผู้เฒ่าฮั่นหมายถึงสิ่งใด

“เจ้าจะบอกว่ามันคือ ‘ไอ้นั่น’ สินะ”

เจ้านิกายพูดอย่างคลุมเครือ

“ใช่แล้วใต้เท้า มันเหนือกว่าที่ข้อมูลจับดาราที่มีจะระบุตัวตนได้ มัน…ราวกับว่ามาจากโลกที่เหนือกว่า”

หัวหน้าผู้เฒ่าฮั่นตอบด้วยความหวาดผวาเล็กน้อยในน้ำเสียง

ความประหลาดใจเกิดขึ้นในสายตาของทุกคนที่อยู่ ณ โถงแห่งนี้พร้อมกันเว้นเสียแต่เจ้านิกายและหัวหน้าผู้เฒ่าฮั่น คนส่วนใหญ่เพิ่งจะรู้เรื่องเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่พวกเขาไม่คิดว่าเรื่องจะร้ายแรงถึงเพียงนี้

เจ้านิกายหลับตาราวกับกำลังคิดหนัก เขาไม่ได้พูดอะไรเลยจนกระทั่งหนึ่งชั่วโมงต่อมา ระหว่างนั้นไม่มีผู้ใดกล้าพูด แม้แต่หัวหน้าผู้เฒ่าฮั่นก็ไม่เดินออกไปจากตำแหน่งเดิม

“เพิ่มจำนวนศิษย์ที่ออกไปสืบเรื่องแล้วบอกให้ผู้เฒ่าสูงสุดกับผู้เฒ่าใหญ่หนึ่งด้วย”

เจ้านิกายประกาศด้วยเสียงที่เปี่ยมไปด้วยพลัง

กลับมายังชายป่าเมืองเหนือ หลินมู่กำลังหลับอยู่ในกระท่อมโดยไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ต่อเนื่องมากมายได้เริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่ที่เขาได้แหวนลึกลับมาครอง

พระอาทิตย์เร้นกายในหุบเขา อากาศเย็นยะเยือก เสียงร้องยามเช้าของวิหคปลุกป่าจากการหลับใหล หลินมู่ตื่นจากห้วงแห่งการนอนและเตรียมเนื้อทำอาหารเช้า

ขณะที่เนื้อยังไม่สุก หลินมู่ละสายตามาฝึกประจำวันของวันนี้ เขาเก่งขึ้นและเชี่ยวชาญขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่เขาจบการฝึกครั้งแรกของวัน หลินมู่ก็กินอาหารเช้าและนั่งลงท่องบทสงบใจ

เขาเรียนรู้จากเมื่อวานแล้วและเตรียมอาหารที่น้อยกว่เาดิม มันเป็นปริมาณที่มากพอและดูดซึมได้ทั้งหมด จากนั้นหลินมู่จึงเตรียมตัวสำหรับการออกล่าในวันนี้ เขาอยากจะล่าสัตว์ป่าให้ได้เพื่อที่จะขายวัตถุดิบในวันพรุ่งนี้ที่ไปเมืองเหนือเพื่อถามเรื่องห้องโรงเตี๊ยม

หลินมู่สวมชุดเกราะหนังที่ชิงมาจากศพโจรที่เขาสังหารและรัดให้แน่นจนรู้สึกอึดอัด เขาเช็ดดาบสั้นให้สะอาดและนำกลับเข้าฝัก

หลินมู่เรียนรู้จากการต่อสู้ครั้งแรกมาแล้ว และมันทำให้เขาอยากได้อาวุธมากขึ้น หลังจากวิเคราะห์การต่อสู้หลายครั้ง เขาได้ข้อสรุปว่าหนึ่งในเหตุผลที่เขาชนะก็คือเขามีเครื่องมือสองชิ้นที่ใช้เป็นอาวุธได้นอกจากดาบ เขารู้ว่าถ้าเขาไม่มีขวานกับมีดถลกหนัก เขาคงจะแพ้หรือไม่ก็ตายไปแล้ว

มันทำให้เขาแน่ใจว่าเขาจะต้องซื้ออาวุธเพิ่มในครั้งต่อไปที่เข้าเมืองซึ่งก็คือวันพรุ่งนี้ หลินมู่คิดว่าเขาควรจะไปดูกับดักที่เขาวางไว้เพื่อหาเหยื่อล่อที่จะนำมาใช้งาน

เขาอยากจะใช้ทุกโอกาสที่จะได้ในวันนี้ เพราะเป็นไปได้ที่เขาได้ห้องสำหรับหน้าหนาวในวันพรุ่งนี้แล้วเขาอาจจะไม่ได้กลับกระท่อมไปอีกนาน

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด