ตอนที่ 30 : นิกายกฎนภากำลังแตกตื่น
ณ นิกายกฎนภา ตำหนักใหญ่
เจ้านิกายกฎนภานั่งอยู่บนบัลลังก์ภายในโถงขนาดใหญ่ บุรุษสตรีหลาบสิบคนอยู่อยู่ที่โถงแห่งนี้ บ้างก็นั่งด้านหน้าด้วยเก้าอี้สง่างาม บ้างก็นั่งข้างหลังด้วยเบาะเรียบง่าย ส่วนที่เหลือทั้งหมดนั้นต่างยืนแผ่นหลังชนกำแพงข้างหลังผู้เฒ่าของพวกเขาแต่ละคน
นี่คือโถงใหญ่แห่งนิกายกฎนภา เป็นสถานที่ที่การตัดสินใจที่ทำให้โลกสั่นคลอนเกิดขึ้นในทุกวัน ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนแต่มีอำนาจที่จะสั่นคลอนภูผาและเคลื่อนวารีสมุทร
มีทั้งคนชราและหนุ่มสาวอายุน้อยในที่แห่งนี้ บางคนที่นั่งหน้านั้นดูยังหนุ่มขณะที่บางคนแก่เฒ่า ทำให้เกิดคำถามว่าผู้ใดคือคนที่อายุมากกว่ากันแน่
เจ้านิกายสวมชุดขาวไร้ที่ติดูธรรมดา เขามัดผมด้วยปิ่นไม้ธรรมดาและกำลังฟังผู้เฒ่าชุดดำพูด แม้ว่าเจ้านิกายจะนั่งอย่างสบายบนบัลลังก์ แต่ก็ไม่มีใครตัังคำถามในเกียรติยศของเขา
ผู้เฒ่าชุดดำที่พูดนี้คือหัวหน้าผู้เฒ่าแห่งหอสรรพาวุธ
“พวกเราสร้างโล่สลักลึกล้ำและจะแจกจ่ายในสัปดาห์ที่จะมาถึง”
หัวหน้าผู้เฒ่าหอสรรพาวุธกล่าว
“เยี่ยมมาก รายงานต่อไป”
เจ้านิกายกล่าวโดยไม่พูดสิ่ที่ไม่จำเป็น
ผู้เฒ่าชุดดำอีกคนลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินมาที่หน้าเจ้านิกายก่อนจะประสานมือคารวะ เขามิใช่ใครนอกจากหัวหน้าผู้เฒ่าฮั่น
“คารวะใต้เท้า การเตรียมการทุกอย่างสำหรับบททดสอบต่อไปเสร็จแล้ว และตำแหน่งจะถูกจัดการอย่างเคย ด้วยการแข่งแบบคัดออก”
หัวหน้าผู้เฒ่าฮั่นตอบ
“อืม ลองดูว่าจะเพิ่มจำนวนอีกซักหน่อยได้ไหมในรอบนี้”
เจ้านิกายบอก
“เพิ่มจำนวนรึ? ข้าจะลองดูว่าเป็นไปได้หรือไม่ แต่ข้าไม่รู้ว่าสถานที่ทดสอบจะจุคนได้มากพอหรือไม่”
หัวหน้าผู้เฒ่าฮั่นตอบ
“ผู้เฒ่าใหญ่สองบอกข้าว่าค่ายกลของลานทดสอบพร้อมที่จะจุคนได้มากกว่าเดิมแล้วในปีนี้”
เจ้านิกายพูด
คนส่วนใหญ่ที่นั่งอยู่ในโถงนั้นแปลกใจเมื่อได้ยินคำพูดของเจ้านิกายยกเว้นแต่คนไม่กี่คน ผู้เฒ่าใหญ่สองนั้นทำหน้าที่เรื่องลานทดสอบทั้งหมดและลานที่ได้รับสืบทอดของนิกาย เขาคือหนึ่งในสามยอดฝีมือขอบเขตย่างวิถีของนิกาย ผู้เฒ่าใหญ่สองนั้นเป็นคนสันโดษที่นับว่าทุกคำพูดคือทองคำ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกมาสื่อสารในรอบสิบปี
หัวหน้าผู้เฒ่าฮั่นโค้งคำนับรับคำเจ้านิกาย
“หากผู้เฒ่าใหญ่สองกล่าวเช่นนั้นก็ย่อมได้ ใต้เท้า”
หลังจากหัวหน้าผู้เฒ่าฮั่นพูดจบและกำลังจะหันกลับไปนั่งนั้นเอง เจ้านิกายพูดขึ้นอีก
“การสืบเรื่องมิติปั่นป่วนก้าวหน้าไปถึงไหนแล้วรึ?”
เจ้านิกายถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หัวหน้าผู้เฒ่าฮั่นหยุดเดินและยืนตรงก่อนจะพูด
“ศิษย์และผู้เฒ่าของเราที่ได้รับภารกิจเดินทางออกจากนิกายไปแล้ว ส่วนผู้เฒ่าที่อยู่ภายนอกในพื้นที่นั้นก็ได้รับแจ้งเรื่องแล้วเช่นกัน”
หัวหน้าผู้เฒ่าฮั่นกล่าว
“เกิดมิติปั่นป่วนเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่?”
เจ้านิกายถาม
“ใช่แล้วใต้เท้า มิติปั่นป่วนเกิดขึ้นในทุกวันตั้งแต่ที่ครั้งแรกเกิดขึ้น ศิษย์ยอดจับดาราพยายามอย่างมากที่จะหาต้นตอ แต่มันก็คงอยู่เป็นเวลาน้อยเกินไปที่จะหาต้นตอได้”
หัวหน้าผู้เฒ่าฮั่นตอบ
เจ้านิกายลูบคางพูด
“เจ้าบอกว่าร่องรอยซับซ้อนเกินไปงั้นรึ?”
“ใช่แล้วใต้เท้า ทีแรกศิษญ์ของเราแทบจะหาตำแหน่งคร่าว ๆ ของมิติปั่นป่วนไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ต่อมาก็ระบุตำแหน่งที่เกิดไม่ได้ จากนั้นเลยหาทางอื่นในการยืนยันโดยการวิเคราะห์จุดเด่นของมัน”
ผู้เฒ่าฮั่นพูดก่อนจะหยุดพัก
“แต่พวกเขาก็ยืนยันแม้แต่แหล่งเดียวไม่ได้ว่ามันคล้ายกับสิ่งใด”
ผู้เฒ่าฮั่นกล่าว
คนที่เหลือทำหน้างุนงงเว้นเสียแต่บางคนที่รู้ว่าคำพูดหัวหน้าผู้เฒ่าฮั่นหมายถึงสิ่งใด
“เจ้าจะบอกว่ามันคือ ‘ไอ้นั่น’ สินะ”
เจ้านิกายพูดอย่างคลุมเครือ
“ใช่แล้วใต้เท้า มันเหนือกว่าที่ข้อมูลจับดาราที่มีจะระบุตัวตนได้ มัน…ราวกับว่ามาจากโลกที่เหนือกว่า”
หัวหน้าผู้เฒ่าฮั่นตอบด้วยความหวาดผวาเล็กน้อยในน้ำเสียง
ความประหลาดใจเกิดขึ้นในสายตาของทุกคนที่อยู่ ณ โถงแห่งนี้พร้อมกันเว้นเสียแต่เจ้านิกายและหัวหน้าผู้เฒ่าฮั่น คนส่วนใหญ่เพิ่งจะรู้เรื่องเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่พวกเขาไม่คิดว่าเรื่องจะร้ายแรงถึงเพียงนี้
เจ้านิกายหลับตาราวกับกำลังคิดหนัก เขาไม่ได้พูดอะไรเลยจนกระทั่งหนึ่งชั่วโมงต่อมา ระหว่างนั้นไม่มีผู้ใดกล้าพูด แม้แต่หัวหน้าผู้เฒ่าฮั่นก็ไม่เดินออกไปจากตำแหน่งเดิม
“เพิ่มจำนวนศิษย์ที่ออกไปสืบเรื่องแล้วบอกให้ผู้เฒ่าสูงสุดกับผู้เฒ่าใหญ่หนึ่งด้วย”
เจ้านิกายประกาศด้วยเสียงที่เปี่ยมไปด้วยพลัง
กลับมายังชายป่าเมืองเหนือ หลินมู่กำลังหลับอยู่ในกระท่อมโดยไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ต่อเนื่องมากมายได้เริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่ที่เขาได้แหวนลึกลับมาครอง
พระอาทิตย์เร้นกายในหุบเขา อากาศเย็นยะเยือก เสียงร้องยามเช้าของวิหคปลุกป่าจากการหลับใหล หลินมู่ตื่นจากห้วงแห่งการนอนและเตรียมเนื้อทำอาหารเช้า
ขณะที่เนื้อยังไม่สุก หลินมู่ละสายตามาฝึกประจำวันของวันนี้ เขาเก่งขึ้นและเชี่ยวชาญขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่เขาจบการฝึกครั้งแรกของวัน หลินมู่ก็กินอาหารเช้าและนั่งลงท่องบทสงบใจ
เขาเรียนรู้จากเมื่อวานแล้วและเตรียมอาหารที่น้อยกว่เาดิม มันเป็นปริมาณที่มากพอและดูดซึมได้ทั้งหมด จากนั้นหลินมู่จึงเตรียมตัวสำหรับการออกล่าในวันนี้ เขาอยากจะล่าสัตว์ป่าให้ได้เพื่อที่จะขายวัตถุดิบในวันพรุ่งนี้ที่ไปเมืองเหนือเพื่อถามเรื่องห้องโรงเตี๊ยม
หลินมู่สวมชุดเกราะหนังที่ชิงมาจากศพโจรที่เขาสังหารและรัดให้แน่นจนรู้สึกอึดอัด เขาเช็ดดาบสั้นให้สะอาดและนำกลับเข้าฝัก
หลินมู่เรียนรู้จากการต่อสู้ครั้งแรกมาแล้ว และมันทำให้เขาอยากได้อาวุธมากขึ้น หลังจากวิเคราะห์การต่อสู้หลายครั้ง เขาได้ข้อสรุปว่าหนึ่งในเหตุผลที่เขาชนะก็คือเขามีเครื่องมือสองชิ้นที่ใช้เป็นอาวุธได้นอกจากดาบ เขารู้ว่าถ้าเขาไม่มีขวานกับมีดถลกหนัก เขาคงจะแพ้หรือไม่ก็ตายไปแล้ว
มันทำให้เขาแน่ใจว่าเขาจะต้องซื้ออาวุธเพิ่มในครั้งต่อไปที่เข้าเมืองซึ่งก็คือวันพรุ่งนี้ หลินมู่คิดว่าเขาควรจะไปดูกับดักที่เขาวางไว้เพื่อหาเหยื่อล่อที่จะนำมาใช้งาน
เขาอยากจะใช้ทุกโอกาสที่จะได้ในวันนี้ เพราะเป็นไปได้ที่เขาได้ห้องสำหรับหน้าหนาวในวันพรุ่งนี้แล้วเขาอาจจะไม่ได้กลับกระท่อมไปอีกนาน