ตอนที่ 249 ชนะ
ดาบเพลิงแดงปรากฏอยู่ต่อหน้าถังเทียนทันทีเขาตวาดออกมา “หิมะสายฟ้า!”
หิมะสายฟ้าเข้าใจความคิดของถังเทียนได้ทันทีแขนทั้งสองที่กางออกพลันประกบเข้ามาทันใดแผ่นกระดานใสวิชาประทับหัตถ์ใหญ่ก่อรูปอยู่ต่อหน้าเขาเหมือนกับไม้ซุงที่ใช้กระแทกประตูเมืองได้ชนปะทะดาบเพลิงโดยตรง
สีหน้าของม่อจื่อหวีเปลี่ยนทันที เขาไม่เคยคิดว่าคู่ต่อสู้จะใช้วิธีที่อุกอาจโจมตีใส่ดาบของเขา
ปัง!
พลังที่รุนแรงกระแทกใส่ดาบ
ดาบที่ใช้ปราณแท้ควบคุมอยู่แต่เดิมสูญเสียการควบคุมทันที ขณะที่ชั้นรังสีดาบระเบิดออกไปทุกทิศ เหมือนเมื่อรังต่อระเบิดตัวต่อก็บินไปทั่วทุกทิศ ดูเหมือนกับพลุไฟมากกว่า
ม่อจื่อหวีที่เตรียมจะใช้เคล็ดสังหารถึงกับสบถออกมาปราณแท้ในร่างของเขาปั่นป่วนและทั้งตัวเขาไม่สามารถขยับได้
ทันใดนั้นเสียงคำรามเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหูของเขา
“หิมะสายฟ้า!”
โดยไม่มีคำเตือนร่างสีฟ้าพุ่งเข้าชนคางของปะการังดังปัง..และเรี่ยวแรงที่ทรงพลังส่งให้มันลอยละลิ่วในท้องฟ้า
แม้ว่าศีรษะของม่อจื่อหวีจะมีอาวุธจักรกลปกป้องไว้ แต่ภายใต้พลังโจมตีที่รุนแรงสมองของเขาก็ได้รับความกระเทือนเช่นกัน
ไม่ดีเลย!
ม่อจื่อหวีเป็นนักสู้สายจักรกลที่มีความเชี่ยวชาญมาก โดยไม่ต้องคิดอะไรเขารู้แล้วว่าสถานการณ์ของเขาอาจจบลง แต่ว่าท่าโจมตีของถังเทียนทำให้ปราณแท้ทั้งหมดในร่างของเขาปั่นป่วนเมื่อสูญเสียการควบคุมปราณแท้ สำหรับนักสู้สายจักรกลนั่นก็คือพ่ายแพ้
ปัง!
ที่หลังของเขาเขารู้สึกถึงแรงปะทะที่ทรงพลัง ถ้าไม่ใช่พลังป้องกันของอาวุธจักรกล หลังของม่อจื่อหวีคงไม่เหลือแน่
ปะการังกลายเป็นริ้วแสงสีแดงในอากาศพุ่งกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรง
อิฐนับไม่ถ้วนปลิวกระเด็นและในหลุมตื้นนั้นปกคลุมไปด้วยรอยแตกรอยร้าว ปะการังนอนนิ่งอยู่กับที่ไม่ไหวติง
ถนนใหญ่ตลอดสายเงียบเป็นป่าช้า
สายลมกระโชกพัดแรงหิมะสายฟ้ายังลอยอยู่ในอากาศชิ้นส่วนชำรุดบนร่างของมันทั้งหมดที่ถูกลมพัดใส่ส่งเสียงดังแคล้งๆอยู่ในท่ามกลางถนนเงียบ ทุกคนได้ยินเสียงอย่างชัดเจน
ปลาปะการังถือว่ามีชื่อที่สุดในตระกูลม่อ นอกจากหอคอยห้าวหาญแล้วเขาเป็นนักสู้สายจักรกลที่แข็งแกร่งที่สุด แต่นักสู้สายจักรกลที่แข็งแกร่งที่สุดนี้ กลับพ่ายแพ้วีรบุรุษไร้ชื่อเสียงคนหนึ่ง
ผู้ชมส่วนใหญ่เป็นศิษย์ของตระกูลม่อและพวกเขารู้จักความแข็งแกร่งของม่อจื่อหวีดี ปะการังคืออาวุธจักรกลที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากหอคอยห้าวหาญและพวกเขาใช้ทุนถึง 30 ล้านเหรียญดาวเพื่อสร้างมัน แต่อาวุธจักรกลนี้กลับถูกอาวุธจักรกลชำรุดที่เหมือนจะพังได้ตลอดเวลาถล่มยับเยิน
ศิษย์ทุกคนกำลังมองดูด้วยความโกรธแค้น
นี่คือเมืองม่อเฉิงและการแข่งขันมีอยู่ทั่วทุกมุมตระกูลม่อจะทนอับอายอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ศิษย์บางส่วนที่ไร้ยางอายก้าวออกมาจากฝูงชนในถนนที่เงียบอยู่ก่อนนั้นเพิ่มชุดอาวุธจักรกลมากกว่ายี่สิบชุด
ในห้องใต้หลังคาห่างออกไปท่านจางที่ตอนแรกตกใจเพราะฝีมือของถังเทียน ปล่อยเสียงหัวเราะลั่น “นั่นคือตระกูลเก่าแก่! พวกเขาจะเรียกตัวว่าตระกูลเก่าแก่ได้อย่างไรถ้าพวกเขาไม่เด็ดขาด?”
หลิ่วย่าจือมองดูเงียบๆ นัยน์ตาของเขาจับจ้องดูอาวุธจักรกลชำรุดนั้น
อาวุธจักรกลนั้นนอกจากมีสภาพที่น่าอนาถยังสามารถใช้ปราณแท้ระดับห้าได้ ความจริงด้วยระบบการทำงานอย่างนี้ยังไม่อาจเทียบได้กับคิงคองเลยแม้แต่น้อย แต่ความเคลื่อนไหวที่อาจหาญก่อนหน้านั้นทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหว เป็นอาวุธจักรกลที่ว่องไวเหลือเกิน
มีอาวุธจักรกลที่คล่องแคล่วว่องไวขนาดนั้นอยู่ในโลกด้วยหรือนี่!
เมื่อเทียบกันแล้ว แม้ว่าคิงคองของเขาจะทรงพลังมากแต่มันก็ยังงุ่มง่ามมาก ที่ทำให้สั่นสะท้านเสียวสันหลังก็คือความเชี่ยวชาญที่น่ากลัวขนาดนั้นบวกกับรูปแบบการโจมตีจากอากาศ ถ้าเขาสู้กับมัน เขาจะมีโอกาสชนะหรือไม่?
เขาไม่มั่นใจ
มันแตกต่างจากอาวุธจักรกลที่เขาเคยพบมาก่อนนั้นระบบการทำงานอาวุธจักรกลที่ลึกลับนั้นยังไม่เข้ากันดีเท่าไหร่ และนักสู้สายจักรกลนั้นมีพลังสูงส่งเข้ากันได้เป็นอย่างดี พลังที่สมบูรณ์แบบนั้นทำให้หลิ่วย่าจือไม่ต้องการสู้กับเขาแม้แต่น้อย
นอกจากความว่องไวของอาวุธจักรกลที่เห็นแล้ว ในแง่มุมอื่นยังนับว่าไม่มีอะไรดี แต่นักสู้สายจักรกลผู้นั้นเป็นผู้ใช้ประโยชน์จากการต่อสู้ได้ดีทั้งที่การผสานยังไม่สมบูรณ์ แต่กลับร่วมมือกันได้ดีอย่างคาดไม่ถึงและยากจะรับมือได้
จุดนั้นทำให้หน้าของหลิ่วย่าจือยิ่งบิดเบี้ยวน่าเกลียด
เจ้าหมอนั่นโผล่ออกมาจากไหนกันแน่?
ทันใดนั้นเสียงเย็นชาดังออกมาจากด้านหลังของศิษย์ทุกคน
“ทุกคน ถอยออกไป!”
ศิษย์ทุกคนของตระกูลม่อพากันสั่นขณะที่พวกเขาหันไปมองบุรุษวัยกลางคนที่แต่งตัวคล้ายชาวนาที่มีใบหน้าเขียวคล้ำปรากฏตัวอยู่บนถนน
“ปรมาจารย์เหล่ง!”ศิษย์ทุกคนทักทายพร้อมกัน
ทุกคนสูดหายใจหนาวเหน็บขณะที่สายตาทุกคนจับจ้องอยู่ที่บุคคลผู้แต่งตัวมอซอผู้นี้ ในเมืองม่อเฉิงผู้ที่ได้รับยกย่องเรียกว่าปรมาจารย์เหล่ง มีอยู่เพียงคนเดียวและนั่นก็คือม่อเหล่ง ปรมาจารย์วิศวจักรกลของตระกูลม่อ ตำแหน่งปรมาจารย์ทางด้านวิศวจักรกลมิใช่ว่าจะได้มาง่าย ในสวรรค์วิถีทั้งหมดพวกที่รับการยกย่องว่าเป็นปรมาจารย์วิศวกรจักรกลแทบจะนับด้วยนิ้วมือข้างเดียวได้เลยและทั้งหมดนั้นมีความรู้เรื่องจักรกลในระดับที่สูงส่ง
ตระกูลม่อมีความสามารถเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันจักรกลสุดขอบฟ้าได้ก็เพราะพวกเขามีปรมาจารย์วิศวจักรกลอยู่กับพวกเขา
นี่นับเป็นครั้งแรกที่หลายๆคนได้เห็นม่อเหล่ง
ส่วนม่อเหล่งทำเป็นไม่ได้ยินคำทักทายของพวกเขาเขาเดินเฉียดไหล่เหล่าศิษย์ในตระกูลไปทีละคน และเดินตรงไปหาถังเทียนและถาม “ใครเป็นคนสร้างอาวุธจักรกลนี้?”
ถังเทียนชี้ไปที่ประตูลานบ้าน“นางอยู่ข้างใน”
เขาหันหน้าไปอีกทางโดยไม่พูดอะไรและเดินตรงเข้าไปในลานบ้านโดยไม่สนใจถังเทียน
แต่ถังเทียนคาดเดาได้แล้วว่าใครตั้งคำถามกับเขาและเดาสถานะของคนผู้นี้ได้ ใจของเขาพองโต เขาสู้มาเป็นเวลานานทีเดียวก็เพื่อดึงดูดให้ระดับสูงของตระกูลม่อปรากฎตัวไม่ใช่หรือ?
ปรมาจารย์วิศวจักรกลเขาน่าจะมีอำนาจเพียงพอ!
ถังเทียนวิ่งตรงเข้าไปที่ลานบ้าน
ศิษย์ทุกคนมองกันเองอยู่นาน พวกเขาไม่รู้ว่าจะทำยังไง
“พาจื่อหวีกลับไป ตรวจดูว่าเขาบาดเจ็บหนักหรือไม่” เสียงเย็นชาดังขึ้นจากด้านหลังพวกเขา
ทุกคนหน้าซีดกันหมด เป็นประมุขตระกูลนั่นเอง!
ม่อเว่ยเทียนเดินผ่านพวกเขาทุกคนไปด้วยสีหน้าเย็นชาทำให้ทุกคนชะงักอยู่กับที่ไม่กล้าขยับตัวสักนิ้ว อำนาจของประมุขตระกูล คนภายนอกไม่มีวันเข้าใจได้
ม่อเว่ยเทียนเข้าไปในลานบ้านและมีนักสู้ใบหน้าเย็นชาสองสามคนยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก นักสู้สองสามคนเหล่านี้มีปราณที่แข็งแกร่งและอันตราย ทุกคนเป็นนักสู้สวรรค์วิถี สำหรับตระกูลเก่าแก่ด้านจักรกลที่มั่งคั่งการจ้างนักสู้สองสามคนเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก
เมื่อม่อเว่ยเทียนปรากฏตัว หลิ่วย่าจือและท่านจางมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
พวกเขามองหน้ากันเองลางสังหรณ์ไม่ดีผุดขึ้นในใจพวกเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านจางเขาเค้นสติปัญญาของเขา ทุกสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องคุยโตทั้งหมด และเมื่อจ้องมองลงไปทุกอย่างที่เกิดขึ้นเหมือนกับเป็นการตบหน้าของเขา ทำให้สีหน้าของเขาบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวสีเขียวสลับกันไป หลิ่วย่าจือไม่มีแก่ใจเยาะเย้ยเขา ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ด้วยฝีมือของอาวุธจักรกลลึกลับ นั่นทำให้กลุ่มของผู้อาวุโสสูญเสียความเชื่อมั่นเขาไปแล้ว ถ้างานนี้ยังผิดพลาดอีก อย่างนั้นวันคืนของเขาในองค์การก็คงจะนับวันได้เลย
สำหรับองค์การแล้ว งานนี้ถือว่าสำคัญมาก!
“ตอนนี้เราจะทำยังไงดี?” หลิ่วย่าจือถามเสียงอ่อย เขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการวางแผน
ท่านจางสงบจิตใจได้อย่างรวดเร็วแววดุร้ายฉายผ่านหน้าเขา เขาตอบ“รอให้คนของตระกูลม่อออกไปก่อน...”
เขาทำท่ามือเหมือนตัดศีรษะทำให้หัวใจของหลิ่วย่าจือสั่นไหว
มีความคิดที่สองแต่มีความรู้สึกว่าเป็นวิธีที่ง่ายและทรงประสิทธิภาพที่สุด ตราบใดที่ทั้งสองคนถูกกำจัด ฝ่ายตรงข้ามจะไม่สามารถหยุดสิ่งที่จะมาถึงได้ แต่ถ้าตระกูลม่อรู้ว่าเป็นพวกเขา อย่างนั้นพวกเขาจะไม่มีทางออก สายตาของเขากวาดมองไปที่คนสองคนที่อยู่นอกลานบ้าน ทุกคนนั้นเป็นนักสู้ระดับสวรรค์วิถี เขาไม่กลัวเลย
“ให้มู่จื่อจัดการเรื่องนี้” ท่านจางกล่าว “ความเคลื่อนไหวของเขารวดเร็ว”
หลิ่วย่าจือลังเลชั่วขณะและไม่มีปฏิกิริยาอะไร เขาพูดถูก คิงคองโดดเด่นมากเกินไป ถ้าพวกเขาสู้กันชื่อเสียงของเขาจะต้องเป็นที่รู้จัก
มู่จื่อ...
หลิ่วย่าจือคิดถึงคนๆหนึ่ง แล้วอดสะท้านใจไม่ได้ ไม่มีใครกล้าขัดใจมู่จื่อ เขาเป็นคนอันตรายในองค์การเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งติดทำเนียบนักสู้สวรรค์วิถีและการเอาชนะนักสู้ระดับสวรรค์วิถีสองสามคนเป็นเรื่องที่ง่ายมาก
“ข้าจะต้องชิงลงมือก่อน”ประกายอำมหิตปรากฏอยู่ในดวงตาของท่านจาง
หลิ่วย่าจือตกใจ “ม่อเว่ยเทียนกับม่อเหล่งยังคงอยู่ตรงนั้น
“จะมีอะไรขู่ขวัญมากไปกว่าฆ่านักสู้สองคนต่อหน้าพวกเขา?” ท่านจางกล่าวเย็นชา “ข้าคิดว่ามันผ่านไปแล้ว ก่อนหน้านั้นเราใช้วิธีที่ใจดีเกินไป และนั่นคือข้อผิดพลาดของข้า เราไม่ควรให้ตระกูลม่อลังเลใจอีก เราต้องให้พวกเขารู้ว่าตระกูลเก่าแก่หมีหมาอันใด ก็แค่มดแมลงอ่อนแอเท่านั้น ในโลกนี้มีหลายอย่างที่เหนือกว่าพวกเขา เราแข็งแกร่งกว่าพวกเขาแน่นอน”
หลิ่วย่าจือไม่สามารถโต้เถียงอะไรได้อีกเนื่องจากเขาเห็นท่านจางลงบันไดหายลับสายตาไป
ถังเทียนยังคงยืนสงบอยู่ข้างๆโดยมีหิมะสายฟ้ายืนอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้ม่อเหล่งลูบคลำตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง เซรีนยังคงยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าของนางกังวล เขาเป็นคนมีชื่อเสียงเป็นเป้าหมายของนางในอดีต
“อย่าทำอย่างนี้ได้ไหม....”
หิมะสายฟ้าโอดครวญและประท้วงถังเทียนอย่างอ่อนอกอ่อนใจผ่านการติดต่อทางใจเขาปลอบโยนมันทันที “ไม่เป็นไรหรอกน่า ให้เขาแตะนิดแตะหน่อย เจ้าไม่เสียหายอะไรสักหน่อย”
ม่อเว่ยเทียนมองดูถังเทียนด้วยความสนใจ ม่อเหล่งอยู่กับอาวุธจักรกลทำให้เขาเบาใจได้ เขาจึงให้ความสนใจถังเทียนมากขึ้น จากการต่อสู้นั้น เขาเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง สำหรับเขาแล้วม่อจื่อหวีไม่มีข้อผิดพลาดอะไร ตรงกันข้าม เขาระมัดระวังมากและไม่เปิดช่องว่างแต่อย่างใด แต่รูปแบบการต่อสู้ของคู่ต่อสู้ดูเหมาะสมเหตุสมผลและด้วยเหตุนี้จึงสร้างโอกาสให้ตัวเขาเอง
สำหรับหลายๆคนม่อจื่อหวีแพ้อย่างอยุติธรรม
แต่ม่อเว่ยเทียนไม่ได้เห็นทำนองนั้น คนผู้นี้ที่อยู่ต่อหน้าเขาไม่ใช่คนที่ใช้วิธีต่อสู้แบบดั้งเดิม และทำให้เขานัยน์ตาเป็นประกาย เขาเชื่อว่าถังเทียนจะชนะได้อย่างง่ายดายต่อให้ถังเทียนกับม่อจื่อหวีสู้กันอีกครั้ง
สำหรับเขาแล้วเห็นว่าโอกาสที่นักสู้สายจักรกลจะเอาชนะคู่ต่อสู้อย่างถังเทียนมีน้อยนิด
ม่อเว่ยเทียนไม่ได้เชี่ยวชาวญอาวุธจักรเท่ากับม่อเหล่ง แต่ในฐานะที่เป็นประมุขตระกูลม่อ เขาเป็นผู้มองการณ์ไกลและละเอียดสุขุมและสามารถอยู่ในมุมสูงเพื่อแก้ปัญหา
รูปแบบการต่อสู้นี้เป็นการฉีกกฎเกณฑ์การต่อสู้แบบเก่ามันโดดเด่นมากและต้องการคุณสมบัติชั้นสูงจากอาวุธจักรกล อาวุธจักรกลธรรมดาไม่มีทางคล่องแคล่วว่องไวได้ขนาดนั้น
ตอนนี้อาวุธจักรกลมีขนาดใหญ่ขึ้นทุกที อาวุธจักรกลสูงสามหรือสี่เมตรสามารถพบเห็นได้บ่อยขึ้น
สำหรับความรู้ของทุกคนอาวุธจักรกลจะต้องหนาแน่น หนัก งุ่มง่าม, แข็งแกร่งและมีพลังป้องกันอย่างดี
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเผชิญกับอาวุธจักรกลที่ประณีตขนาดนั้นพอถึงตอนนี้ม่อเหล่งหยุดเคลื่อนไหวและขมวดคิ้ว