ตอนที่แล้วตอนที่ 248 ดาบเพลิงบิน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 250 เรียกว่าอาวุธจักรกลวิญญาณ

ตอนที่ 249 ชนะ


ดาบเพลิงแดงปรากฏอยู่ต่อหน้าถังเทียนทันทีเขาตวาดออกมา “หิมะสายฟ้า!”

หิมะสายฟ้าเข้าใจความคิดของถังเทียนได้ทันทีแขนทั้งสองที่กางออกพลันประกบเข้ามาทันใดแผ่นกระดานใสวิชาประทับหัตถ์ใหญ่ก่อรูปอยู่ต่อหน้าเขาเหมือนกับไม้ซุงที่ใช้กระแทกประตูเมืองได้ชนปะทะดาบเพลิงโดยตรง

สีหน้าของม่อจื่อหวีเปลี่ยนทันที  เขาไม่เคยคิดว่าคู่ต่อสู้จะใช้วิธีที่อุกอาจโจมตีใส่ดาบของเขา

ปัง!

พลังที่รุนแรงกระแทกใส่ดาบ

ดาบที่ใช้ปราณแท้ควบคุมอยู่แต่เดิมสูญเสียการควบคุมทันที  ขณะที่ชั้นรังสีดาบระเบิดออกไปทุกทิศ  เหมือนเมื่อรังต่อระเบิดตัวต่อก็บินไปทั่วทุกทิศ ดูเหมือนกับพลุไฟมากกว่า

ม่อจื่อหวีที่เตรียมจะใช้เคล็ดสังหารถึงกับสบถออกมาปราณแท้ในร่างของเขาปั่นป่วนและทั้งตัวเขาไม่สามารถขยับได้

ทันใดนั้นเสียงคำรามเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหูของเขา

“หิมะสายฟ้า!”

โดยไม่มีคำเตือนร่างสีฟ้าพุ่งเข้าชนคางของปะการังดังปัง..และเรี่ยวแรงที่ทรงพลังส่งให้มันลอยละลิ่วในท้องฟ้า

แม้ว่าศีรษะของม่อจื่อหวีจะมีอาวุธจักรกลปกป้องไว้  แต่ภายใต้พลังโจมตีที่รุนแรงสมองของเขาก็ได้รับความกระเทือนเช่นกัน

ไม่ดีเลย!

ม่อจื่อหวีเป็นนักสู้สายจักรกลที่มีความเชี่ยวชาญมาก โดยไม่ต้องคิดอะไรเขารู้แล้วว่าสถานการณ์ของเขาอาจจบลง แต่ว่าท่าโจมตีของถังเทียนทำให้ปราณแท้ทั้งหมดในร่างของเขาปั่นป่วนเมื่อสูญเสียการควบคุมปราณแท้ สำหรับนักสู้สายจักรกลนั่นก็คือพ่ายแพ้

ปัง!

ที่หลังของเขาเขารู้สึกถึงแรงปะทะที่ทรงพลัง ถ้าไม่ใช่พลังป้องกันของอาวุธจักรกล หลังของม่อจื่อหวีคงไม่เหลือแน่

ปะการังกลายเป็นริ้วแสงสีแดงในอากาศพุ่งกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรง

อิฐนับไม่ถ้วนปลิวกระเด็นและในหลุมตื้นนั้นปกคลุมไปด้วยรอยแตกรอยร้าว ปะการังนอนนิ่งอยู่กับที่ไม่ไหวติง

ถนนใหญ่ตลอดสายเงียบเป็นป่าช้า

สายลมกระโชกพัดแรงหิมะสายฟ้ายังลอยอยู่ในอากาศชิ้นส่วนชำรุดบนร่างของมันทั้งหมดที่ถูกลมพัดใส่ส่งเสียงดังแคล้งๆอยู่ในท่ามกลางถนนเงียบ ทุกคนได้ยินเสียงอย่างชัดเจน

ปลาปะการังถือว่ามีชื่อที่สุดในตระกูลม่อ  นอกจากหอคอยห้าวหาญแล้วเขาเป็นนักสู้สายจักรกลที่แข็งแกร่งที่สุด แต่นักสู้สายจักรกลที่แข็งแกร่งที่สุดนี้ กลับพ่ายแพ้วีรบุรุษไร้ชื่อเสียงคนหนึ่ง

ผู้ชมส่วนใหญ่เป็นศิษย์ของตระกูลม่อและพวกเขารู้จักความแข็งแกร่งของม่อจื่อหวีดี ปะการังคืออาวุธจักรกลที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากหอคอยห้าวหาญและพวกเขาใช้ทุนถึง 30 ล้านเหรียญดาวเพื่อสร้างมัน แต่อาวุธจักรกลนี้กลับถูกอาวุธจักรกลชำรุดที่เหมือนจะพังได้ตลอดเวลาถล่มยับเยิน

ศิษย์ทุกคนกำลังมองดูด้วยความโกรธแค้น

นี่คือเมืองม่อเฉิงและการแข่งขันมีอยู่ทั่วทุกมุมตระกูลม่อจะทนอับอายอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ศิษย์บางส่วนที่ไร้ยางอายก้าวออกมาจากฝูงชนในถนนที่เงียบอยู่ก่อนนั้นเพิ่มชุดอาวุธจักรกลมากกว่ายี่สิบชุด

ในห้องใต้หลังคาห่างออกไปท่านจางที่ตอนแรกตกใจเพราะฝีมือของถังเทียน ปล่อยเสียงหัวเราะลั่น  “นั่นคือตระกูลเก่าแก่!  พวกเขาจะเรียกตัวว่าตระกูลเก่าแก่ได้อย่างไรถ้าพวกเขาไม่เด็ดขาด?”

หลิ่วย่าจือมองดูเงียบๆ  นัยน์ตาของเขาจับจ้องดูอาวุธจักรกลชำรุดนั้น

อาวุธจักรกลนั้นนอกจากมีสภาพที่น่าอนาถยังสามารถใช้ปราณแท้ระดับห้าได้ ความจริงด้วยระบบการทำงานอย่างนี้ยังไม่อาจเทียบได้กับคิงคองเลยแม้แต่น้อย แต่ความเคลื่อนไหวที่อาจหาญก่อนหน้านั้นทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหว  เป็นอาวุธจักรกลที่ว่องไวเหลือเกิน

มีอาวุธจักรกลที่คล่องแคล่วว่องไวขนาดนั้นอยู่ในโลกด้วยหรือนี่!

เมื่อเทียบกันแล้ว  แม้ว่าคิงคองของเขาจะทรงพลังมากแต่มันก็ยังงุ่มง่ามมาก ที่ทำให้สั่นสะท้านเสียวสันหลังก็คือความเชี่ยวชาญที่น่ากลัวขนาดนั้นบวกกับรูปแบบการโจมตีจากอากาศ ถ้าเขาสู้กับมัน เขาจะมีโอกาสชนะหรือไม่?

เขาไม่มั่นใจ

มันแตกต่างจากอาวุธจักรกลที่เขาเคยพบมาก่อนนั้นระบบการทำงานอาวุธจักรกลที่ลึกลับนั้นยังไม่เข้ากันดีเท่าไหร่ และนักสู้สายจักรกลนั้นมีพลังสูงส่งเข้ากันได้เป็นอย่างดี พลังที่สมบูรณ์แบบนั้นทำให้หลิ่วย่าจือไม่ต้องการสู้กับเขาแม้แต่น้อย

นอกจากความว่องไวของอาวุธจักรกลที่เห็นแล้ว  ในแง่มุมอื่นยังนับว่าไม่มีอะไรดี  แต่นักสู้สายจักรกลผู้นั้นเป็นผู้ใช้ประโยชน์จากการต่อสู้ได้ดีทั้งที่การผสานยังไม่สมบูรณ์ แต่กลับร่วมมือกันได้ดีอย่างคาดไม่ถึงและยากจะรับมือได้

จุดนั้นทำให้หน้าของหลิ่วย่าจือยิ่งบิดเบี้ยวน่าเกลียด

เจ้าหมอนั่นโผล่ออกมาจากไหนกันแน่?

ทันใดนั้นเสียงเย็นชาดังออกมาจากด้านหลังของศิษย์ทุกคน

“ทุกคน ถอยออกไป!”

ศิษย์ทุกคนของตระกูลม่อพากันสั่นขณะที่พวกเขาหันไปมองบุรุษวัยกลางคนที่แต่งตัวคล้ายชาวนาที่มีใบหน้าเขียวคล้ำปรากฏตัวอยู่บนถนน

“ปรมาจารย์เหล่ง!”ศิษย์ทุกคนทักทายพร้อมกัน

ทุกคนสูดหายใจหนาวเหน็บขณะที่สายตาทุกคนจับจ้องอยู่ที่บุคคลผู้แต่งตัวมอซอผู้นี้  ในเมืองม่อเฉิงผู้ที่ได้รับยกย่องเรียกว่าปรมาจารย์เหล่ง มีอยู่เพียงคนเดียวและนั่นก็คือม่อเหล่ง ปรมาจารย์วิศวจักรกลของตระกูลม่อ ตำแหน่งปรมาจารย์ทางด้านวิศวจักรกลมิใช่ว่าจะได้มาง่าย  ในสวรรค์วิถีทั้งหมดพวกที่รับการยกย่องว่าเป็นปรมาจารย์วิศวกรจักรกลแทบจะนับด้วยนิ้วมือข้างเดียวได้เลยและทั้งหมดนั้นมีความรู้เรื่องจักรกลในระดับที่สูงส่ง

ตระกูลม่อมีความสามารถเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันจักรกลสุดขอบฟ้าได้ก็เพราะพวกเขามีปรมาจารย์วิศวจักรกลอยู่กับพวกเขา

นี่นับเป็นครั้งแรกที่หลายๆคนได้เห็นม่อเหล่ง

ส่วนม่อเหล่งทำเป็นไม่ได้ยินคำทักทายของพวกเขาเขาเดินเฉียดไหล่เหล่าศิษย์ในตระกูลไปทีละคน และเดินตรงไปหาถังเทียนและถาม  “ใครเป็นคนสร้างอาวุธจักรกลนี้?”

ถังเทียนชี้ไปที่ประตูลานบ้าน“นางอยู่ข้างใน”

เขาหันหน้าไปอีกทางโดยไม่พูดอะไรและเดินตรงเข้าไปในลานบ้านโดยไม่สนใจถังเทียน

แต่ถังเทียนคาดเดาได้แล้วว่าใครตั้งคำถามกับเขาและเดาสถานะของคนผู้นี้ได้ ใจของเขาพองโต เขาสู้มาเป็นเวลานานทีเดียวก็เพื่อดึงดูดให้ระดับสูงของตระกูลม่อปรากฎตัวไม่ใช่หรือ?

ปรมาจารย์วิศวจักรกลเขาน่าจะมีอำนาจเพียงพอ!

ถังเทียนวิ่งตรงเข้าไปที่ลานบ้าน

ศิษย์ทุกคนมองกันเองอยู่นาน  พวกเขาไม่รู้ว่าจะทำยังไง

“พาจื่อหวีกลับไป  ตรวจดูว่าเขาบาดเจ็บหนักหรือไม่”  เสียงเย็นชาดังขึ้นจากด้านหลังพวกเขา

ทุกคนหน้าซีดกันหมด  เป็นประมุขตระกูลนั่นเอง!

ม่อเว่ยเทียนเดินผ่านพวกเขาทุกคนไปด้วยสีหน้าเย็นชาทำให้ทุกคนชะงักอยู่กับที่ไม่กล้าขยับตัวสักนิ้ว อำนาจของประมุขตระกูล คนภายนอกไม่มีวันเข้าใจได้

ม่อเว่ยเทียนเข้าไปในลานบ้านและมีนักสู้ใบหน้าเย็นชาสองสามคนยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก นักสู้สองสามคนเหล่านี้มีปราณที่แข็งแกร่งและอันตราย  ทุกคนเป็นนักสู้สวรรค์วิถี  สำหรับตระกูลเก่าแก่ด้านจักรกลที่มั่งคั่งการจ้างนักสู้สองสามคนเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก

เมื่อม่อเว่ยเทียนปรากฏตัว  หลิ่วย่าจือและท่านจางมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

พวกเขามองหน้ากันเองลางสังหรณ์ไม่ดีผุดขึ้นในใจพวกเขา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านจางเขาเค้นสติปัญญาของเขา ทุกสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องคุยโตทั้งหมด และเมื่อจ้องมองลงไปทุกอย่างที่เกิดขึ้นเหมือนกับเป็นการตบหน้าของเขา ทำให้สีหน้าของเขาบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวสีเขียวสลับกันไป  หลิ่วย่าจือไม่มีแก่ใจเยาะเย้ยเขา  ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ด้วยฝีมือของอาวุธจักรกลลึกลับ นั่นทำให้กลุ่มของผู้อาวุโสสูญเสียความเชื่อมั่นเขาไปแล้ว  ถ้างานนี้ยังผิดพลาดอีก  อย่างนั้นวันคืนของเขาในองค์การก็คงจะนับวันได้เลย

สำหรับองค์การแล้ว  งานนี้ถือว่าสำคัญมาก!

“ตอนนี้เราจะทำยังไงดี?”  หลิ่วย่าจือถามเสียงอ่อย  เขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการวางแผน

ท่านจางสงบจิตใจได้อย่างรวดเร็วแววดุร้ายฉายผ่านหน้าเขา  เขาตอบ“รอให้คนของตระกูลม่อออกไปก่อน...”

เขาทำท่ามือเหมือนตัดศีรษะทำให้หัวใจของหลิ่วย่าจือสั่นไหว

มีความคิดที่สองแต่มีความรู้สึกว่าเป็นวิธีที่ง่ายและทรงประสิทธิภาพที่สุด  ตราบใดที่ทั้งสองคนถูกกำจัด ฝ่ายตรงข้ามจะไม่สามารถหยุดสิ่งที่จะมาถึงได้  แต่ถ้าตระกูลม่อรู้ว่าเป็นพวกเขา  อย่างนั้นพวกเขาจะไม่มีทางออก  สายตาของเขากวาดมองไปที่คนสองคนที่อยู่นอกลานบ้าน  ทุกคนนั้นเป็นนักสู้ระดับสวรรค์วิถี  เขาไม่กลัวเลย

“ให้มู่จื่อจัดการเรื่องนี้”  ท่านจางกล่าว “ความเคลื่อนไหวของเขารวดเร็ว”

หลิ่วย่าจือลังเลชั่วขณะและไม่มีปฏิกิริยาอะไร  เขาพูดถูก คิงคองโดดเด่นมากเกินไป ถ้าพวกเขาสู้กันชื่อเสียงของเขาจะต้องเป็นที่รู้จัก

มู่จื่อ...

หลิ่วย่าจือคิดถึงคนๆหนึ่ง แล้วอดสะท้านใจไม่ได้ ไม่มีใครกล้าขัดใจมู่จื่อ เขาเป็นคนอันตรายในองค์การเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งติดทำเนียบนักสู้สวรรค์วิถีและการเอาชนะนักสู้ระดับสวรรค์วิถีสองสามคนเป็นเรื่องที่ง่ายมาก

“ข้าจะต้องชิงลงมือก่อน”ประกายอำมหิตปรากฏอยู่ในดวงตาของท่านจาง

หลิ่วย่าจือตกใจ  “ม่อเว่ยเทียนกับม่อเหล่งยังคงอยู่ตรงนั้น

“จะมีอะไรขู่ขวัญมากไปกว่าฆ่านักสู้สองคนต่อหน้าพวกเขา?”  ท่านจางกล่าวเย็นชา  “ข้าคิดว่ามันผ่านไปแล้ว  ก่อนหน้านั้นเราใช้วิธีที่ใจดีเกินไป และนั่นคือข้อผิดพลาดของข้า  เราไม่ควรให้ตระกูลม่อลังเลใจอีก  เราต้องให้พวกเขารู้ว่าตระกูลเก่าแก่หมีหมาอันใด ก็แค่มดแมลงอ่อนแอเท่านั้น  ในโลกนี้มีหลายอย่างที่เหนือกว่าพวกเขา  เราแข็งแกร่งกว่าพวกเขาแน่นอน”

หลิ่วย่าจือไม่สามารถโต้เถียงอะไรได้อีกเนื่องจากเขาเห็นท่านจางลงบันไดหายลับสายตาไป

ถังเทียนยังคงยืนสงบอยู่ข้างๆโดยมีหิมะสายฟ้ายืนอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้ม่อเหล่งลูบคลำตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง  เซรีนยังคงยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าของนางกังวล  เขาเป็นคนมีชื่อเสียงเป็นเป้าหมายของนางในอดีต

“อย่าทำอย่างนี้ได้ไหม....”

หิมะสายฟ้าโอดครวญและประท้วงถังเทียนอย่างอ่อนอกอ่อนใจผ่านการติดต่อทางใจเขาปลอบโยนมันทันที “ไม่เป็นไรหรอกน่า ให้เขาแตะนิดแตะหน่อย เจ้าไม่เสียหายอะไรสักหน่อย”

ม่อเว่ยเทียนมองดูถังเทียนด้วยความสนใจ ม่อเหล่งอยู่กับอาวุธจักรกลทำให้เขาเบาใจได้  เขาจึงให้ความสนใจถังเทียนมากขึ้น  จากการต่อสู้นั้น เขาเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง  สำหรับเขาแล้วม่อจื่อหวีไม่มีข้อผิดพลาดอะไร  ตรงกันข้าม เขาระมัดระวังมากและไม่เปิดช่องว่างแต่อย่างใด แต่รูปแบบการต่อสู้ของคู่ต่อสู้ดูเหมาะสมเหตุสมผลและด้วยเหตุนี้จึงสร้างโอกาสให้ตัวเขาเอง

สำหรับหลายๆคนม่อจื่อหวีแพ้อย่างอยุติธรรม

แต่ม่อเว่ยเทียนไม่ได้เห็นทำนองนั้น  คนผู้นี้ที่อยู่ต่อหน้าเขาไม่ใช่คนที่ใช้วิธีต่อสู้แบบดั้งเดิม และทำให้เขานัยน์ตาเป็นประกาย  เขาเชื่อว่าถังเทียนจะชนะได้อย่างง่ายดายต่อให้ถังเทียนกับม่อจื่อหวีสู้กันอีกครั้ง

สำหรับเขาแล้วเห็นว่าโอกาสที่นักสู้สายจักรกลจะเอาชนะคู่ต่อสู้อย่างถังเทียนมีน้อยนิด

ม่อเว่ยเทียนไม่ได้เชี่ยวชาวญอาวุธจักรเท่ากับม่อเหล่ง  แต่ในฐานะที่เป็นประมุขตระกูลม่อ  เขาเป็นผู้มองการณ์ไกลและละเอียดสุขุมและสามารถอยู่ในมุมสูงเพื่อแก้ปัญหา

รูปแบบการต่อสู้นี้เป็นการฉีกกฎเกณฑ์การต่อสู้แบบเก่ามันโดดเด่นมากและต้องการคุณสมบัติชั้นสูงจากอาวุธจักรกล อาวุธจักรกลธรรมดาไม่มีทางคล่องแคล่วว่องไวได้ขนาดนั้น

ตอนนี้อาวุธจักรกลมีขนาดใหญ่ขึ้นทุกที อาวุธจักรกลสูงสามหรือสี่เมตรสามารถพบเห็นได้บ่อยขึ้น

สำหรับความรู้ของทุกคนอาวุธจักรกลจะต้องหนาแน่น หนัก งุ่มง่าม, แข็งแกร่งและมีพลังป้องกันอย่างดี

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเผชิญกับอาวุธจักรกลที่ประณีตขนาดนั้นพอถึงตอนนี้ม่อเหล่งหยุดเคลื่อนไหวและขมวดคิ้ว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด