ตอนที่แล้วตอนที่ 9-4 ดาบนามว่าประหารปรปักษ์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 9-6 การประลอง

ตอนที่ 9-5 สนามประลอง


ถึงเวลากลางคืนนครหลวงแชนน์ยังคงคึกคักงดงามเหมือนกับตกแต่งไว้ แต่เขตทุรกันดารนอกนครแชนน์ตะวันออกนั้นรกร้างมาก บนเส้นทางที่รกร้างมีร่างมนุษย์ที่คล้ายภูตพรายร่างหนึ่งมุ่งหน้าไปทางตะวันออกอย่างรวดเร็ว

ในพริบตาเดียวร่างมนุษย์นั้นก็เดินทางไปไกลเกินร้อยเมตร

คนผู้นี้คือศิษย์ส่วนตัวของเทพสงคราม  ดาวรุ่งคนปัจจุบันของเมืองหลวง บลูเมอร์อาเคอร์ลุนด์

นครหลวงแชนน์รายล้อมไปด้วยภูเขามากมาย นอกเมืองแชนน์ตะวันตกก็คือภูเขาเทพสงครามและภูเขาอื่นๆ ขณะที่นอกเมืองแชนน์ด้านตะวันออกก็มียอดเขาทั่วไปจำนวนหนึ่งเช่นกัน บลูเมอร์มาถึงภูเขาที่ดูเหมือนธรรมดาลูกหนึ่งอย่างรวดเร็ว

บนยอดเขานี้มีลักษณะสูงเหมือนสันมีด  ที่ด้านบนของจุดสูงสุดนี้บุรุษคนหนึ่งอยู่ในท่านั่งสมาธิ ดูจากวิธีที่เขานั่งนิ่งอยู่ที่นั่นใครๆก็อาจลืมความรู้สึกประหลาดว่าคนผู้นี้นั่งอยู่ตรงนั้นมาเป็นเวลานับล้านๆ ปีแล้ว

เมื่อขึ้นมาถึงยอดเขาบลูเมอร์พูดด้วยความเคารพ  “พี่ใหญ่”

เห็นได้ชัดว่าคนที่นั่งเข้าสมาธิอยู่บนยอดเขาก็คือพี่ชายของบลูเมอร์ที่ใครรู้จักกันในนามว่าโอลิเวอร์ เซียนกระบี่อัจฉริยะ  คืนนี้ไม่มีพระจันทร์ลอยอยู่ในท้องฟ้า ไม่มีดวงดาวในความมืดมิด มีแต่ร่างเลือนรางของโอลิเวอร์

“น้องรอง, เจ้าต้องการอะไร?”เสียงเยือกเย็นดังขึ้น

บลูเมอร์รู้ว่าพี่ชายของเขาทำสมาธิอยู่ที่นี่บนยอดเขามาสามปีเต็ม  สามปีที่ผ่านมานี้พี่ชายของเขาไม่กินไม่ดื่มอะไรเลย  เขาใช้ท้องฟ้าเป็นหลังคาและพื้นดินเป็นเตียงนอน

สามปีมาแล้วเมื่อเขาได้พบเห็นพี่ชาย แต่เขาสามารถรู้สึกถึงราศีที่แผ่ออกมาจากร่างพี่ชายนั้นน่ากลัวราศีเช่นนั้นสร้างความประทับใจให้เกิดความคิดอย่างเดียวว่าโอลิเวอร์สามารถเอาชนะเขาได้

แต่หลังจากผ่านมาสามปีพี่ชายของเขาดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นก้อนหินบนยอดเขาไม่มีราศีที่ดุร้ายเลยแม้แต่น้อย

ไม่มีใครที่คิดได้ว่าโอลิเวอร์ในปัจจุบันนี้มีพลังมากมายเพียงไหน

“พี่ใหญ่, วันที่สี่เดือนหน้ากล่าวคืออีกสิบห้าวันจากนี้ข้าจะประลองกับเชื้อสายของตระกูลนักรบเลือดมังกรที่สนามประลองนครหลวง”  บลูเมอร์เรียนด้วยความเคารพ

“ตระกูลนักรบเลือดมังกร?”

เสียงที่เยือกเย็นตามปกติของเขาดูเหมือนจะทิ้งร่องรอยความสนใจอยู่บ้าง “ตามตำนานนักรบเลือดมังกรระดับเซียนคือยอดฝีมือในหมู่เซียน ข้าต้องการประลองแลกเปลี่ยนฝีมือกับนักรบเลือดมังกรอยู่เหมือนกัน แต่นักรบเลือดมังกรระดับเซียนสาบสูญไปจากทวีปยูลานนานแล้ว อืม..คนที่เจ้าประลองด้วยแข็งแกร่งเพียงไหน?”

“หลังจากแปลงร่างแล้ว  เขาน่าจะมีพลังเท่านักรบระดับเก้าชั้นสูง”  บลูเมอร์เรียนด้วยความเคารพ

“โอว ใช้วิชากระบี่ที่ข้าสอนให้เจ้าเจ้าก็น่าจะไร้เทียมทานในหมู่นักสู้ระดับเก้าแล้ว”  โอลิเวอร์พูดอย่างใจเย็น  “พอเถอะ เจ้าไปได้แล้ว”

บลูเมอร์ลังเลเล็กน้อยจากนั้นเขาพูดเสียงเบา  “พี่ใหญ่,วันประลองของข้าท่านพอจะมาได้ไหม?”

โอลิเวอร์เงียบอยู่ครู่หนึ่ง

“วันที่ 4 กุมภาพันธ์ เข้าใจแล้วถ้าข้ามีเวลาข้าจะรีบไปที่นั่น ”เสียงของโอลิเวอร์ไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย ยังคงเยือกเย็นเหมือนเช่นเคย

“อย่างนั้นข้าขออำลา”  บลูเมอร์จากไปทันที

ยอดเขากลับสู่ความเงียบสงบเหมือนดังเดิมเงาร่างมนุษย์นั้นยังคงอยู่ในความมืดไม่ขยับแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของยอดเขานั้นเสมอมา

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ปี 10009 ตามปฏิทินยูลาน นี่คือวันที่สองอัจฉริยะกำลังจะประลองฝีมือกันและหลายคนในเมืองหลวงตื่นเต้นรีบมาที่สนามประลองฝีมือของเมืองหลวง  ตั๋วเข้าชม 80,000 ใบถูกขายหมดเกลี้ยงไปนานแล้วและวันนี้ไม่ใช่แค่ชาวเมืองหลวงเท่านั้นที่มาเข้าชม  ยังมีคนจากเมืองในเขตมณฑลต่างๆ มาร่วมชมอีกด้วย

คณะของลินลี่ย์มาถึงสนามประลองแต่เนิ่นๆและได้รับห้องส่วนตัว ลินลี่ย์ เรย์โนลด์และเยลร่วมสนทนากันอย่างกระตือรือร้น

“พี่ใหญ่เยลนึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะสามารถมาที่นี่ได้เช่นกัน” เรย์โนลด์หัวเราะ

หน้าผากของเยลเต็มไปด้วยเหงื่อ  ขณะมองดูลินลี่ย์และเรย์โนลด์เขาหัวเราะอย่างมีความสุข  “หลังจากข้าได้ยินว่าเจ้ามาถึงเมืองหลวงแล้วน้องสี่กับน้องสามก็อยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกันต่อให้งานที่สำคัญที่สุดก็กลายเป็นเรื่องไม่สำคัญ ยังไงข้าก็ต้องมา  ครั้งนี้ข้าจะมาช่วยเชียร์น้องชายของน้องสาม”

“พี่ใหญ่เยล, น้องสี่พวกเจ้ามากันพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว ขาดแต่พี่รองคนเดียว”  ลินลี่ย์พูดอย่างมีอารมณ์

“น้องรองตอนนี้เป็นประธานมุขมนตรีของจักรวรรดิยูลานไปแล้ว  เขามีสถานะสูงส่งมาก  อีกอย่างเพราะที่นั่นไกลจากนี่มากเป็นหมื่นกิโลเมตรเขาจะหาเวลาได้ยังไง?”  เยลถอนหายใจเช่นกัน

เรย์โนลด์หัวเราะพลางสบถ“เมื่อครั้งที่เราสี่พี่น้องยังอยู่ด้วยกันในสถาบันพี่รองเก่งและหัวดีเขาเข้าร่วมทุกกิจกรรมของสถาบันและเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้พวกเขา ข้ารู้ว่าตอนนั้นพี่รองเหมาะกับวงการข้าราชการแล้ว แล้วดูสิ?  เพียงสิบปีต่อมาเขากลายเป็นประธานมุขมนตรีของจักรวรรดิยูลานไปได้”

“โชคดีที่จักรพรรดิของจักรวรรดิยูลานพระองค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์ได้สำเร็จ  นี่ทำให้ตำแหน่งสถานะของน้องรองเพิ่มระดับขึ้นทันที”เยลพูดอย่างเห็นด้วย

เสียงฝีเท้าดังขึ้นได้ยินอยู่นอกประตู

“พี่ใหญ่ เราจะออกไปที่ลานประลองกันแล้วไปกันเถอะ”  เมื่อได้ยินเสียงเรียกเช่นนี้เยล, ลินลี่ย์และเรย์โนลด์ลุกขึ้นและออกไปจากห้องพักทันที

ในใจกลางสนามประลองมีเวทีประลองที่กว้างและยาวสามร้อยเมตรเวทีประลองสร้างจากหินที่แข็งแกร่งทนทานและร่ายเวทขนาดใหญ่สำทับอีกชั้นหนึ่ง

ด้านตะวันออกและตะวันตกของเวทีประลองจะเป็นแท่นชมดูสำหรับครอบครัวของผู้เข้าแข่งขัน

ด้านหน้าตรงของเวทีประลองถูกกันไว้ให้เจ้าภาพผู้จัดการประลอง

วอร์ตันลินลี่ย์และคนอื่นๆ ออกมาจากอุโมงค์ เมื่อเห็นผู้ชมจำนวนนับไม่ถ้วนรายล้อมในแท่นชมดูเต็มพื้นที่พวกเขาอดรู้สึกทึ่งมิได้

“คนมากมายเหลือเกิน”  วอร์ตันฝืนยิ้ม

เกทส์พูดพลางหัวเราะพลาง  “วอร์ตัน วันนี้มีคนเข้าชมถึงแปดหมื่นคนสู้ให้เต็มที่อย่าให้เสียหน้าล่ะ”

เสียงกระหึ่มจากฝูงชนที่ดูเหมือนเสียงหวีดหวิวของคลื่นทะเลเต็มอยู่ในอากาศ ลินลี่ย์และคณะของเขารู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นของผู้เข้าชมอย่างช่วยไม่ได้

จักรวรรดิโอเบรียนคือจักรวรรดินักสู้ระดับสูง การประลองระหว่างสุดยอดอัจฉริยะสองคนดึงดูดความสนใจของผู้คนนับไม่ถ้วน  มีผู้ชมภายในถึง 80,000คนและด้านนอกสนามชมการประลองก็มีหลายคนที่หวังจะได้เห็นการประลองครั้งนี้

เหนือที่นั่งของวอร์ตัน,ลินลี่ย์ เยล เรย์โนลด์ บาร์เกอร์และน้องๆ และคนอื่นทั้งหมดล้วนนั่งสงบ  ฝ่ายของบลูเมอร์ก็มาถึงเร็วเช่นกัน

บลูเมอร์มีคนหลายคนอยู่กับเขาเช่นกันเกินกว่าร้อย

“ส่วนมากเป็นศิษย์กิตติมศักดิ์ของวิทยาลัยเทพสงครามดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาคอยสนับสนุนบลูเมอร์สินะ” ลินลี่ย์พูดพลางหัวเราะอย่างใจเย็น

เขาสามารถบอกได้ว่าคนทั้งหมดนั้นแข็งแกร่งมาก

“มันดียังไง เอาคนมาเชียร์เสียมากมาย?”  เยลหัวเราะอย่างรังเกียจ

ในเวลานี้เริ่มมีเสียงกระหึ่มดังขึ้นเห็นได้ชัดว่าผู้เข้าร่วมประลองทั้งสองคนจะปรากฏตัวแล้ว ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นมาก

“แปดหมื่นคน  คนส่วนใหญ่ที่ข้าเคยเห็นมารวมตัวในที่เดียวกัน แม้แต่ในกองทัพก็คือหมื่นคนเพื่อฝึกรบร่วมกัน”  เรย์โนลด์จ้องมองดูภาพในสนามแข่งขันประลอง  เนื่องจากสี่จักรวรรดิใหญ่ในปัจจุบันนี้ไม่ได้อยู่ในยุคที่มีสงครามขนาดใหญ่  จึงยากที่จะได้เห็นกองทัพต่างๆ มารวมตัวกัน

“ทุกคน, เงียบ!”

เสียงดังขึ้นราวกับฟ้าผ่ากลบเสียงไปทั้งสนามประลอง ผู้ชมแปดหมื่นคนเงียบเสียงทันทีขณะที่พวกเขาจ้องมองดูชายชราผมเงินที่อยู่ในกลางสนามประลอง

ลินลี่ย์และคนอื่นเริ่มหัวเราะเบาๆ  ชายชราผมเงินผู้นี้ก็คือยอดฝีมือระดับเก้าคนหนึ่ง  เนื่องจากความกล้าในการใช้ปราณยุทธของเขา จึงไม่ยากที่เขาจะใช้เสียงกลบไปทั่วสนามประลองได้

“สำหรับการประลองต่อสู้ครั้งนี้ แม้แต่ผู้ทำหน้าที่กรรมการก็ยังเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่ง”  ลินลี่ย์ถอนหายใจรำพึง

ชายชราผมเงินตะโกนลั่น  “ทุกท่าน,การประลองครั้งนี้ที่เรากำลังจะได้เห็นคือการประลองที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ไม่นานนี้  ผู้เข้าร่วมการประลองทั้งสองคนนี้คนหนึ่งคือศิษย์ส่วนตัวของเทพสงคราม มาร์ควิสบลูเมอร์  อีกคนหนึ่งคือผู้สืบเชื้อสายตระกูลนักรบเลือดมังกรเคานท์วอร์ตัน ทั้งสองคนนี้นับเป็นอัจฉริยะอย่างมิต้องสงสัย  แต่ว่าใครแข็งแกร่งกว่ากันเล่า?”

ชายชราผมเงินเริ่มหัวเราะ  “อีกไม่นานทุกคนก็จะทราบกัน  สำหรับผู้ตัดสินในวันนี้  ข้าคาดว่าทุกคนคงจะมีความสุขมากเมื่อได้ทราบว่าพวกเขาเป็นใคร”

“คนแรกคือศิษย์ส่วนตัวของเทพสงคราม ลอร์ดเคนยอน”  ชายชราผมเงินพูดเสียงแจ่มชัด

บุรุษวัยกลางคนจอนผมสีเทาสวมชุดยาวสีฟ้าเดินออกมาจากอุโมงค์  และจากนั้นด้วยการเดินเพียงก้าวเดียว  ดูเหมือนเขาเปลี่ยนเป็นภาพพร่าเลือนแล้วลอร์ดเคนยอนก็มาปรากฏตัวในตำแหน่งผู้ตัดสิน จากนั้นนั่งลงทันที

การปรากฏตัวของลอร์ดเคนยอนผู้นี้ส่งผลให้ทุกคนในสนามประลองส่งเสียงอื้ออึง

“ยอดฝีมือระดับเซียน”  ลินลี่ย์มั่นใจ

จากนั้นเคนยอนแค่ใช้วิชาบินตรงไปที่ตำแหน่งผู้ตัดสินซึ่งอยู่ซ้ายสุดเท่านั้น

“ท่านที่สองก็คือฝ่าบาทจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโอเบรียนของเราเอง” เสียงของบุรุษผมเงินลากเสียงสูงขึ้นและโจฮันน์ที่แต่งตัวงดงามหรูหรายิ้มเต็มหน้าเดินตรงไปที่นั่งของผู้ตัดสินนั่งในตำแหน่งกลาง

การเสด็จมาถึงของจักรพรรดิกระตุ้นให้เกิดความยินดีปรีดาเป็นธรรมดา

หน้าของชายชราผมเงินเต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “หลังจากเห็นว่าใครคือผู้ตัดสินคนที่สามของเรา  ข้าเองยังตกใจและดีใจไปพร้อมกัน”  บุรุษชราผมเงินจงใจชะงักเล็กน้อยและผู้ชมทั้งแปดหมื่นคนเงียบเสียงกันหมดและตั้งใจฟัง  ผู้ตัดสินคนที่สามเป็นใครกันแน่?

“ผู้ตัดสินคนที่สามคือความภาคภูมิใจของจักรวรรดิของเรา....เซียนดาบจ้าวภูผา ลอร์ดเฮนด์เซน”

ทันทีที่คำว่า ‘ลอร์ดเฮนด์เซน’ประกาศออกมา ทั่วทั้งสนามประลองดูเหมือนแทบคลั่ง เนื่องจากคนเป็นจำนวนมากเริ่มโห่ร้องตะโกนอย่างตื่นเต้น

“เฮนด์เซน!  เฮนด์เซน!!”

“เซียนดาบจ้าวภูผา!”

นักรบที่ทรงพลังบางส่วนเริ่มใช้ปราณยุทธส่งเสียงตะโกน เสียงกระหึ่มราวกับฟ้าถล่มทลายดังเป็นระลอกรอบสนามประลองเนื่องจากทุกคนล้วนคลั่งไคล้กันทั้งนั้น

“บ้าไปแล้ว พวกเขาบ้ากันไปหมดแล้ว” เกทส์อึดอัด“มันคุ้มค่ากับการคลั่งไคล้ยอดฝีมือระดับเซียนขนาดนี้เชียวหรือนี่?”

ซาสเลอร์มองดูเขาพลางหัวเราะ “เจ้าอยู่ในจักรวรรดิโอเบรียนมาไม่นานเท่าใด  เจ้าไม่รู้หรอกว่าเซียนดาบจ้าวภูผาทรงอิทธิพลขนาดไหน”

ตาของเรย์โนลด์เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน  “หลังจากเข้าถึงระดับเซียน ลอร์ดเฮนด์เซนมีประสบการณ์ท้าประลองและต่อสู้มานับไม่ถ้วน  แต่เขาไม่เคยพ่ายแพ้เลยแม้แต่ครั้งเดียว!  แม้แต่กับยอดฝีมือชั้นเซียนระดับสูงของจักรวรรดิ  เขาก็ยังประสบความสำเร็จเอาชนะได้  เขาคือนักสู้ชั้นเซียนหมายเลขหนึ่ง ไม่มีใครในนักสู้ระดับเซียนที่สามารถเอาชนะเขาได้  เซียนดาบจ้าวภูผาเฮนด์เซน!”

ลินลี่ย์วอร์ตันและคนอื่นจ้องมองอุโมงค์ไกลๆ รอคอยให้เฮนด์เซนปรากฏตัวอย่างเงียบงัน

ในที่สุดเฮนด์เซนก็เดินออกมา

เฮนด์เซนปรากฏตัวออกมาอย่างเรียบง่ายไม่ได้ตกแต่งอะไรโครงหน้าของเขาเข้มและชัดเจนเหมือนกับสลักขึ้นจากหิน  เขาสวมชุดยาวสีเทาเรียบง่ายและหลังของเขาสะพายดาบหนักสีดิน

ก้าวย่างของเขามั่นคงแน่นอน  เฮนด์เซนไม่ได้ใช้วิชาบิน เขาก้าวเดินไปตามปกติ

เพียงเดินก้าวเดียวเขาเดินจากอุโมงค์ไปถึงปะรำชมของเจ้าภาพในก้าวที่สองเท่านั้น เขามาถึงข้างจักรพรรดิโจฮันน์จากนั้นนั่งในที่นั่งถัดจากโจฮันน์

เหมือนกับว่าเขาเทเลพอร์ต!

“นั่นอะไร?” ลินลี่ย์เห็นบางอย่างที่เหลือเชื่อ

บาร์เกอร์และคนอื่นๆตะลึงกันหมด

“เทเลพอร์ตหรือเปล่า?”  วอร์ตันพึมพำ

แต่ลินลี่ย์กล้ายืนยันได้แน่นอนว่าไม่ใช่เทเลพอร์ต!  เท่าที่ลินลี่ย์รู้ไม่มีใครที่ยังมีชีวิตสามารถเทเลพอร์ตได้  การเทเลพอร์ตเป็นแค่เทพนิยาย

“เมื่อท่านเฮนด์เซนเดินออกมาแผ่นดินทั้งหมดดูเหมือนจะสั่นสะเทือน ในพริบตาก็ย่นระยะทางให้สั้นได้ทันทีทำให้เขาก้าวเดินจากระยะหลายสิบเมตรในก้าวเดียว  ด้วยท่าทางผ่อนคลายไม่ต้องอาศัยความเร็วเลยแม้แต่น้อย แค่เพียงก้าวเดียว เขาสามารถย่นระยะทางได้หรือ?”

มันน่าประหลาดเกินไป

การฝึกฝนของลินลี่ย์เองอาศัยแนวทางที่แตกต่างกันสองทางหนึ่งนั้นคือแบ่งเป็นกฎธรรมชาติของธาตุดินและอีกทางหนึ่งคือปรับตามกฎธรรมชาติของธาตุลม

เคล็ดง่ายๆนี้ซึ่งเฮนด์เซนใช้วิธีกระตุ้นบางอย่างเกี่ยวกับกฎธรรมชาติของธาตุดิน  แต่... ลินลี่ย์ไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด  เฮนด์เซนทำแบบนั้นได้ยังไง?

“เฮ้อ”

ลินลี่ย์ถอนหายใจลึกและนั่งลงอย่างสงบ

“เขามีชื่อเสียงเป็นอันดับหนึ่งในหมู่นักสู้ระดับเซียน  ในช่วงหลายปีมานี้ไม่มีใครเคยเอาชนะเขาได้   สมเหตุผลแล้วที่คนอย่างเขามีความสามารถอย่างนั้น”  ลินลี่ย์ยังคงมั่นใจมาก

เฮนด์เซนอาจมีความสามารถที่น่าทึ่งของตนเอง  แต่ในทางกลับกันเฮนด์เซนก็คงไม่เข้าใจพลังโจมตีสั่นสะเทือนของลินลี่ย์ได้มิใช่หรือ?

แม้ว่าทั้งสองจะขัดเกลาฝีมือตามกฎธรรมชาติของธาตุดิน  แต่พวกเขาก็ลงมือฝึกฝนในเส้นทางที่ต่างกัน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด