ตอนที่แล้วตอนที่ 251 – ตอนที่ 232 ใครคือตัวปลอม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 253 – ตอนที่ 234 เจ้าอ้วนไห่ สู้เขา

ตอนที่ 252 – ตอนที่ 233 คู่ต่อสู้ที่น่ากลัว ศัตรูและการเผชิญหน้า


ตอนที่เย่ว์หยางวิ่งเข้าไปในสนามต่อสู้ เซี่ยเชียนเริ่นผู้กำลังรออยู่บนเวทีต่อสู้ขอยอมแพ้ในการต่อสู้ทันที

ทั้งนี้เป็นเพราะเขายังได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ประเภททีมกับนักเรียนของนิกายปราสาทแก้วทะเลตะวันออกทูตมังกรชังหลันวี่ เขาแค่รออยู่บนเวทีต่อสู้ด้วยหวังว่าเย่ว์หยางจะขาดประลอง เพื่อที่ว่าเขาเองจะได้เข้ารอบต่อไป เนื่องจากเย่ว์หยางวิ่งมาถึงทันเวลา เซี่ยเชียนเริ่นตัดสินใจยอมแพ้หลังจากชำเลืองมองดูไป๋หวินเฟย ประมุขนิกายน้อยแห่งนิกายภูเขาหหมอก ในที่สุดเย่ว์หยางก็ได้เห็นหน้าตาของอดีตคู่แข่งความรักของสหายผู้น่าสงสาร เซี่ยเชียนเริ่นและศัตรูที่น่ากลัวคนใหม่ ไป๋หวินเฟย

เซี่ยเชียนเริ่นจริงๆ แล้วไม่ได้ดูเหมือนเซี่ยเทาบิดาของเขา กลับดูเหมือนอาของเขาเซี่ยถูมากกว่า แม้ว่าเขาจะฉลาดพอๆ กับเซี่ยถู แต่เขาก็ไม่มีลักษณะที่มั่นคงเท่ากับเซี่ยถู

ตาและคิ้วของเขามองดูดุร้าย ดูเหมือนเขาจะมีความแค้นกับเย่ว์หยางอย่างหนึ่ง

ข้างล่างเวทีต่อสู้ ไป๋หวินเฟยเป็นศูนย์กลางดึงดูดความสนใจ แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่ยืนอยู่บนเวทีต่อสู้ แต่ผู้คนก็อดไม่ได้ที่จะมองและให้ความสนใจเขา การปรากฏตัวของไป๋หวินเฟยในท่ามกลางผู้คนทำให้เขาดูโดดเด่นเหมือนกับจันทราที่มีหมู่ดาราแวดล้อม เขาเปล่งปลั่งจนคนอื่นๆ อดให้ความสนใจไม่ได้ ท่วงท่าการเคลื่อนไหวในแต่ละอิริบถน่าสนใจจริงๆ ขณะที่เขาปรากฏตัว เขาดูหล่อเหลาจนบุรุษอื่นๆ รู้สึกอิจฉา รูปแบบการแต่งตัวเขาสวมชุดสีขาวคาดเข็มขัดเงินประดับหยกม่วงบนร่างสะโอดสะองได้สัดส่วนจนดูเหมือนเป็นคนชั้นสูง แม้แต่เจ้าชายจากทั่วโลกก็ยังรู้สึกด้อยค่าถ้ามองไปที่เขา

อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผู้คนทำอะไรไม่ถูกแต่สังเกตได้ก็คือมังกรทองซึ่งย่อตัวมันลงจนมีขนาดเล็กด้วยเวทลึกลับบางอย่าง เผ่าพันธุ์มังกรที่ยิ่งใหญ่ ก็คือเผ่าพันธุ์จ้าวมังกรที่สามารถทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าได้อย่างสบาย มันเกาะและพักอยู่ที่ขาของเขาอย่างสบายรอคำสั่งจากเขา

หนึ่งในอสูรของไป๋หวินเฟยก็คือจ้าวมังกรทอง อสูรทองระดับ 7

นี่คือการแสดงออกที่ทำให้คนอื่นสิ้นหวังหมดความคิดที่จะต่อสู้กับเขา นักรบส่วนใหญ่ไม่อาจหาอสูรทองตัวหนึ่งมาได้ตลอดชีวิตของพวกเขา อย่าว่าแต่จ้าวมังกรทอง อสูรทองระดับ 7

“เขากำลังโอ้อวดพลังกับเจ้า” เจ้าเมืองโล่วฮัวหัวเราะ “ทำไมเจ้าไม่แสดงจ้าวอสูรทองของเจ้าอวดเขาบ้างล่ะ?”

“ช่างมันเถอะ, ถ้าข้าพยายามสร้างความประทับใจให้สาวๆ ข้าอาจจะทำอย่างนั้นก็ได้ แต่เขาเป็นบุรุษ ทำไมข้าจะต้องเอามาแสดงอวดบุรุษด้วยกันเล่า” เย่ว์หยางยักไหล่

กรรมการเตือนให้เย่ว์หยางขึ้นเวทีต่อสู้ แม้ว่าเซี่ยเชียนเริ่นจะยอมแพ้ในการแข่งขันไปแล้ว เขาก็ต้องดำเนินหน้าที่บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในการแข่งขัน เช่นสัตว์อสูรที่เขาใช้และอื่นๆ แต่เขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเย่ว์หยางเรียกหนูเบญจธาตุค้นสมบัติออกมา เจ้าหุ่นหนูเหล่านี้ไม่มีพลังต่อสู้ใดๆ เลย แล้วเจ้าเด็กนี่เรียกมันออกมาทำอะไร? จะให้เขารายงานต่อระดับสูงว่าเจ้าเด็กนี่เอาชนะเซี่ยเชียนเริ่นด้วยหุ่นหนูนี่น่ะหรือ?

คนอื่นๆ จะสงสัยได้ว่าพวกเขาจัดการแข่งขันตบตามิใช่หรือ?

กรรมการชุดน้ำเงินต้องการให้เย่ว์หยางเรียกอสูรที่แข็งแกร่งออกมา ถ้าเขาไม่มีอสูรชั้นทอง อย่างน้อยก็อสูรชั้นเงินหรือชั้นทองแดงก็ได้ นี่เรียกหุ่นหนูออกมาจะทำให้คนอื่นสงสัยว่าพวกเขามีการโกงการแข่งขัน เขาก็ไม่อาจรายงานให้เบื้องสูงทราบได้ด้วยข้อมูลเพียงเท่านี้

กรรมการรีบขอร้องเย่ว์หยางเมื่อเขาเห็นว่าเย่ว์หยางลงไปจากเวทีเรียบร้อยแล้ว “นักเรียนไตตัน โปรดเรียกอสูรที่แข็งแกร่งออกมาได้ไหม? หุ่นหนูเป็นอสูรที่ไม่มีพลังต่อสู้”

เย่ว์หยางจึงเรียกต้นดอกหนามพ่นพิษ อสูรสามัญระดับ 1 ออกมา กรรมการอยากจะกระอักเลือดตายเสียให้ได้

หุ่นหนูและต้นดอกหนามพ่นพิษ หรือว่าเจ้าเด็กนี่ชอบสะสมอสูรสวะ ในชีวิตเขาชอบสะสมอสูรสวะ มันบ้าหรือเปล่า?

ผู้ชมด้านนอกเวทีต่อสู้หัวเราะครื้นเครง พวกเขาเห็นอสูรประหลาดถูกเรียกออกมาในการแข่งขันสุดยอดร้อยโรงเรียนก็มากมายหลายชนิด แต่พวกเขาไม่เคยเห็นผู้เข้าแข่งขันเรียกอสูรสวะอย่างหุ่นหนูและดอกหนามพ่นพิษออกมาเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเอาสัตว์อสูรเหล่านี้ไปเปรียบเทียบกับจ้าวมังกรทองของประมุขน้อยไป๋หวินเฟย มันไม่มีทางเทียบกันได้เลยแม้แต่เศษเสี้ยว

“เจ้าไม่มีอสูรต่อสู้อื่นๆ อีกหรือ?” กรรมการชุดน้ำเงินถามอย่างอดทนเป็นครั้งสุดท้าย

“ข้ามีอยู่บางส่วน แต่ต้นดอกหนามจะดูดีกว่าเมื่อเทียบกับอสูรที่เหลือของข้า ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเป็นแค่นักสู้ระดับ 2 (ผู้กล้า) ข้าถึงขีดจำกัดไปแล้ว เพราะวันนี้ข้าเรียกอสูรออกมาถึงสองตัวแล้ว” เย่ว์หยางยักไหล่ทำเป็นว่าอยากช่วยแต่ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ ผู้เข้าชมยิ่งหัวเราะลั่นกว่าเดิมหลังจากที่เย่ว์หยางพูดเช่นนั้น

“……………..” กรรมการชุดน้ำเงินพูดไม่ออก

นักสู้ระดับ 2 (ผู้กล้า) หรือ?

เขาสงสัยว่าเจ้าเด็กนี่สามารถเข้าสู่การแข่งขันรอบตัดเชือก 20 สุดยอดมาได้อย่างไร?

เป็นไปได้ไหมว่าเขาก็แค่เป็นคนมีโชคดีที่แข่งอยู่ในกลุ่มด้วยอสูรสวะของเขาเนื่องจากคู่ต่อสู้ของเขาแต่ละคนยอมแพ้มาในทำนองนั้น

ขณะที่กรรมการมองดูบันทึกของเขา ก็ต้องแปลกใจที่พบว่าเจ้าเด็กนี่เอาชนะองค์ชายเทียนหลัวได้ เขาค่อยโล่งใจเล็กน้อย อย่างนั้นเจ้าเด็กนี่ก็เป็นนักสู้ที่เด่นในเรื่องวิทยายุทธ มิน่าเล่าถึงเข้ารอบมาได้ด้วยอสูรสวะอย่างนั้น

ไป๋หวินเฟยผู้อยู่ข้างนอกเวทีต่อสู้ยิ้มเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าคุณชายสามแห่งตระกูลเย่ว์ผู้นี้ที่เซี่ยเชียนเริ่นเกรงกลัวจะมีอสูรสวะเพียงสองตัว แม้ว่าทุกคนจะเรียกคุณชายสามแห่งตระกูลเย่ว์ว่าไอ้ขี้แพ้ในก่อนนั้น แต่ระหว่างการแข่งขันในปีใหม่ เขาเอาชนะนักรบผู้แข็งแกร่ง เขาเอาชนะได้แม้แต่สาวกนิกายภูเขาหมอกได้ถึงสองคน เซี่ยเชียนเริ่นกลัวเขาขนาดนั้นได้อย่างไร ถ้าเขาเป็นเจ้าโง่ที่ฝึกฝนมาแต่วิทยายุทธเท่านั้น

ในความเห็นของไป๋หวินเฟย คุณชายสามตระกูลเย่ว์ไม่ต้องการจะเปิดเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา เขายิ้ม “อย่างนั้นเขาคือคุณชายสามตระกูลเย่ว์หรอกหรือ? ไม่เลวเลย”

ไป๋หวินเฟยคิดกับตัวเองว่า “เจ้ารู้วิธีซ่อนความแข็งแกร่งและไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้าไว้ ข้าก็มีเหมือนกัน การเปิดเผยจ้าวมังกรทองก็แค่กลยุทธเบี่ยงเบนความสนใจของคน”

เงาร่างหนึ่งในพื้นที่นั่งชมส่วนตัวกำลังมองภาพทั้งหมดผ่านช่องแคบของหน้าต่างอีกด้านหนึ่ง

ไป๋หวินเฟยรู้ว่าต้องเป็นองค์ชายสือจิน

แม้ว่าองค์ชายสือจินจะดูเป็นคนหยิ่งยโส แต่สหายผู้นี้ก็เป็นคู่ต่อสู้ที่รอบคอบ ฉลาดและน่ากลัวแน่นอน

ในความเห็นของไป๋หวินเฟย ถ้าเขาต้องเลือกคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดและน่ากลัวที่สุด เขาจะเลือกองค์ชายสือจินก่อน ตามด้วยคุณชายสามแห่งตระกูลเย่ว์และวีรสตรีทวนมังกร

ผู้ชมยังไม่จากไปแม้ว่าการแข่งขันแพ้คัดออกของกลุ่มที่สองจะจบลงแล้ว ทั้งนี้เป็นเพราะยังมีการแข่งขันต่ออีก รวมทั้งการแข่งขันประเภททีมซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน ต่างกับการแข่งขันประเภทบุคคลเลือดร้อน ส่วนที่น่าสนใจที่สุดของการแข่งขันประเภททีมก็คือความตื่นเต้นของความรุนแรงในการต่อสู้และความยากลำบากที่จะคาดเดาถึงผู้ชนะในการแข่งขันประเภทนี้ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในทีมเป็นสิ่งสำคัญมากในการต่อสู้ ไม่ว่าผู้แข่งขันเดี่ยวจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ตาม บางครั้งเขาอาจถูกกำจัดอย่างไร้ความปราณี

มีการแข่งขันแบบทีมอยู่สองรูปแบบที่แตกต่างกัน ทั้งสองทีมต้องมีข้อตกลงกันในเรื่องรูปแบบการต่อสู้ มิฉะนั้น กรรมการจะเสี่ยงทายโยนเหรียญเพื่อตัดสินเลือกรูปแบบการต่อสู้

รูปแบบแรก ไม่จำกัดการต่อสู้ ตั้งแต่แรกเริ่ม ทั้งสองทีมจะต้องส่งรายชื่อผู้เข้าร่วมต่อสู้ห้าคน จากนั้นแต่ละทีมต้องส่งตัวแทนคนหนึ่งเพื่อต่อสู้กันตัวต่อตัว ถ้าตัวแทนที่ส่งมาแข็งแกร่งพอ ก็จะสู้กับตัวแทนคนต่อไปหลังจากที่เขาชนะการต่อสู้ตัวต่อตัวและเอาชนะคู่ต่อสู้ในทีมแบบตัวต่อตัวได้ทั้งห้าคนแล้ว ดังนั้นก็ถือว่าเขาคว้าชัยชนะไป ในแบบไม่จำกัดการต่อสู้ ทั้งสองทีมสามารถเปลี่ยนตัวแทนสู้เมื่อใดก็ได้ที่พวกเขาต้องการ อย่างไรก็ตามทีมที่ชนะห้ารอบก่อนจะเป็นผู้ชนะ

ถ้าการต่อสู้ยืดเยื้อ มีโอกาสเดียวที่คะแนนจะจบลงที่ 5 ต่อ 4 ในกรณีแบบนั้นทั้งสองทีมจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากจริงๆ

อีกรูปแบบหนึ่งคือแบบจำกัดการต่อสู้ ทั้งสองทีมจะต้องส่งผู้เข้าร่วมต่อสู้ห้าคน แต่พวกเขาต้องขึ้นไปบนเวทีต่อสู้ และสู้กันตามลำดับพวกเขา ยกตัวอย่าง กองหน้าสู้กับกองหน้า ขุนพลสู้กับขุนพล แม่ทัพสู้กับแม่ทัพ.. พวกเขาสามารถเป็นเพียงตัวแทนส่งมาแข่ง การต่อสู้แบบมีข้อจำกัดนี้ต้องใช้ความตั้งใจและโหดร้ายมาก จะต้องได้ชัยชนะ 3 ใน 5 ถึงจะถือว่าเป็นทีมชนะ มันจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมสำหรับผู้แข่งขันที่แข็งแกร่ง หากว่าเพื่อนร่วมทีมของเขาหรือนางที่มีฝีมืออ่อนด้วยพ่ายแพ้ถึงสามครั้ง ปกติทีมที่มีผู้แข่งขันคนหนึ่งแข็งแกร่งมากจะตัดสินใจเลือกการต่อสู้แบบไม่จำกัด ขณะที่ทีมซึ่งเด่นในการใช้กลยุทธและมีสมาชิกในทีมโดยเฉลี่ยแข็งแกร่ง ก็จะเลือกต่อสู้แบบจำกัด

ผู้ชมจะชอบการต่อสู้ประเภทที่สอง เมื่อเทียบกับการต่อสู้แบบแรก

ทั้งนี้เป็นเพราะการต่อสู้แบบที่สอง ต่อสู้แบบจำกัดจะมีความรุนแรงและโหดร้ายกว่า

ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้ร่วมทีมของไป๋หวินเฟยฝีมืออ่อนด้อยกันทั้งหมดและเขาเลือกรูปแบบต่อสู้ประเภทที่สอง คือสู้อย่างจำกัด ชีวิตของเขาจะไม่กลายเป็นน่าสงสารหรอกหรือ?

การต่อสู้แบบจำกัดนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความสามารถในการวางกลยุทธของทีมมากขึ้น เพราะผู้ร่วมแข่งขันที่ได้รับมอบหมายให้สู้บนเวทีจะไม่มีข้อมูลรั่วไหลออกไปก่อนจะได้สู้ สำหรับทีมของไป๋หวินเฟยสามารถเดาได้ถึงคำสั่งที่ไป๋หวินเฟยสั่งให้ต่อสู้ พวกเขาก็สามารถกำหนดให้คนที่ฝีมือด้อยที่สุดเป็นคู่ต่อสู้เขาก็ได้ ด้วยวิธีนั้น พวกเขาก็จะสามารถทิ้งผลการต่อสู้กับไป๋หวินเฟยและใช้ความแข็งแกร่งของสมาชิกในทีมสู้กับผู้แข่งขันที่อ่อนแอในทีมของไป๋หวินเฟย แน่นอนว่า การหวังว่าสมาชิกในทีมไป๋หวินเฟยเป็นเศษสวะนั้น เป็นแค่เรื่องเพ้อฝันชัดๆ

ในหมู่เพื่อนร่วมทีมของไป๋หวินเฟย อีกสามคนเป็นสาวกนิกายภูเขาหมอก พวกเขาแข็งแกร่งมาก สมาชิกคนสุดท้ายในทีมก็คือเซี่ยเชียนเริ่น ขณะที่สมาชิกทีมสำรองเป็นบุคคลลึกลับที่ยังไม่เคยปรากฏตัวบนเวทีต่อสู้มาก่อน

อย่างไรก็ตาม ผู้ชมเชื่อว่าความแข็งแกร่งของสมาชิกทีมสำรองนี้เป็นรองแค่ไป๋หวินเฟย

เมื่อทีมของไป๋หวินเฟยสู้กับทีของปราสาทแก้วทะเลตะวันออกที่นำโดยทูตมังกรชังหลันวี่ นอกจากทูตมังกรชังหลันวี่ทำร้ายสมาชิกที่อ่อนด้อยที่สุดอย่างเซี่ยเชียนเริ่นจนบาดเจ็บแล้ว ผู้ร่วมทีมอีกสามคนพ่ายแพ้สิ้นเชิง

ถึงคราวทีมของเย่ว์หยางลงต่อสู้บ้าง ก่อนนี้ เย่คง, เจ้าอ้วนไห่และพี่น้องตระกูลหลี่เป็นผู้ลงมือต่อสู้มาตลอด

วันนี้ เจ้าอ้วนไห่ดวงดี จับสลากได้แจ็คพ็อตอีกครั้ง

สถาบันฉางจิงที่มีศัตรูที่มีฝีมืออย่างเหยียนพั่วจวิน, เย่ว์เทียน, เย่ว์เยี่ยน, เลี่ยปัน, เฟิงชิซาและคนอื่นๆ จะปะทะกับสถาบันฉางชุนเฉิง ที่ประกอบไปด้วยเจ้าอ้วนไห่, เย่คง, หลี่ชิว, หลี่เกอและเย่ว์ปิง นี่เป็นการปะทะระหว่างศัตรูทั้งสองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าเย่ว์หยางไม่มีสมาชิกทีมสำรอง พวกเขาทั้งหมดจะพ่ายแพ้ย่อยยับแน่นอน ผลคงไม่ถึงกับแย่นักถ้าเย่ว์ปิงไม่ต้องลงเอยด้วยการสู้กับเหยียนพั่วจวินหรือเฟิงชิซา

ถ้านางต้องสู้กับพวกเขาคนใดคนหนึ่ง ก็ยากจะรับรองได้ว่านางจะเอาชนะการต่อสู้ได้ แต่บางทีนางคงไม่ถึงกับพ่ายแพ้ย่อยยับ

อย่างไรก็ตาม กลับเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสสำหรับเจ้าอ้วนไห่และเย่คง เพราะเป็นเรื่องยากสำหรับเขาจริงๆ ไม่ว่าพวกเขาจะต้องสู้กับใคร

“ข้ายังจะไม่ขึ้นเวทีต่อสู้ในตอนนี้ ข้าเหนื่อยมากหลังจากกลับมาจากวิหารสิบสองนักษัตร ข้ายังไม่ได้เติมพลังเลย ดังนั้นพวกเจ้าจงสู้ให้สุดฝีมือ ถ้าข้ารู้ว่าพวกเจ้าแพ้ในการต่อสู้ข้าจะแจ้งให้อาจารย์ตาเหยี่ยวพิจารณาจัดการพวกเจ้า” เย่ว์หยางเลือดเย็นมาก ไม่เพียงแต่ปฏิเสธที่จะมีส่วนร่วมในการต่อสู้เท่านั้น แต่เขายังขู่ลงโทษของพวกเขาถ้าแพ้

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะพยายามสู้อย่างสุดฝีมือแน่นอน” นอกจากเย่ว์ปิงที่มีพลังใจต่อสู้ที่แข็งแกร่งแล้ว เย่คง, เจ้าอ้วนไห่และที่เหลือรู้สึกหดหู่

“ลาก่อน, สาวงามชาวทวีปมังกรทะยาน! ข้าหวังว่าจะได้พบเจ้าอีกในชาติหน้า….” เจ้าอ้วนไห่เป็นหัวหมู่ทะลวงฟันของทีม เนื่องจากพวกเขาจะสู้กันในรูปแบบที่สอง คือสู้แบบจำกัด หลังจากกรรมการเสี่ยงโยนเหรียญทอง เจ้าอ้วนไห่เป็นหน่วยหน้าของทีมจะต้องสู้กับศัตรูคู่อาฆาตเดิมของเขา เหยียนพั่วจวิน เจ้าอ้วนไห่รู้ว่าเขาเสร็จแน่ๆ เขาเสร็จแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัยและไม่มีเงื่อนไขทั้งนั้น อย่าว่าแต่เย่ว์หยางยังปฏิเสธที่จะเข้าร่วมต่อสู้เลย แม้เย่ว์หยางยอมเข้าต่อสู้ตามกฎ เขาก็ไม่สามารถแทนเจ้าอ้วนไห่ได้ เพราะเขาเป็นหน่วยหน้าของทีม

ไป๋หวินเฟยและองค์ชายสือจินยังไม่ได้จากไป แต่ยังคอยสังเกตดูความแข็งแกร่งของทีมของเย่ว์หยางอย่างเงียบๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งไป๋หวินเฟยลอบมองดูองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนผู้นั่งอยู่ข้างๆ เย่ว์หยางหลายครั้ง สายตาของเขาดูเหมือนจะเป็นประกายมีแววประหลาดทีดูเหมือนโลภและกระหายเลือด องค์หญิงเชี่ยนยังคงสงบอยู่ ขณะที่นางไม่สนใจที่ไป๋หวินเฟยลอบดูนาง เจ้าเมืองโล่วฮัวกลับตรงกันข้าม นางไม่ชอบสายตาเช่นนั้น นางดึงม่านข้างหนึ่งออกมาปิดด้านข้างที่ชมส่วนบุคคลไว้

เจ้าอ้วนไห่สั่นด้วยความกลัวขณะก้าวขึ้นสู่เวทีต่อสู้ ที่มีเหยียนพั่วจวินยืนรออยู่แล้ว

“เราพบกันอีกแล้ว สหายไห่, หมัดฮิปโปดาวตกของเจ้าเป็นที่น่าจดจำจริงๆ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะไม่ยอมแพ้การต่อสู้ในวันนี้ เพื่อที่ว่าเราจะได้มีการต่อสู้ที่ดีต่อกัน” ดูจากภายนอกเหยียนพั่วจวินกำลังยิ้ม แต่ความจริงในใจเขา ปรารถนาว่าจะสามารถย่างเจ้าอ้วนไห่ให้เป็นหมูหันให้ได้ เขาไม่เคยขายหน้าขนาดนั้นมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น ไป๋หวินเฟยและองค์ชายสือจินก็มีพลังแข็งแกร่งทำให้เขารู้สึกด้อยและหดหู่ใจในช่วงสองวันที่ผ่านมา เขาไม่สามารถเงยหน้าขึ้นได้ขณะที่มีผู้คนคอยเชียร์หนุนหลังเขา

“ข้าจะไม่ยอมแพ้ เจ้าคิดหรือว่าข้าจะกลัวเจ้า? ข้าก็แค่คนไร้ประโยชน์คนหนึ่ง มันไม่ใช่เรื่องแปลกหากว่าข้าแพ้ แต่เจ้าแตกต่างออกไป เจ้าเป็นคนหัวสูง พนันได้เลยว่า เจ้าคงร่ำไห้อย่างน่าสงสาร เมื่อข้าเอาชนะเจ้าได้ก่อนหน้านั้น” เจ้าอ้วนไห่แสดงออกเกินกว่าทุกคนจะคาดได้ เขาตัดสินใจสู้ศึกละเลงเลือดแทนที่จะยอมแพ้

สู้ศึกละเลงเลือดแบ่งออกเป็นสามยก แต่ละยกใช้เวลาสามนาที ในระหว่างสามยกให้เวลาพักหนึ่งนาทีเพื่อที่ว่าผู้แข่งขันจะได้จัดกลยุทธของเขา

ผู้เข้าแข่งขันจะไม่ได้รับความยินยอมให้ยอมแพ้ เว้นแต่พวกเขาสู้กันจนเกือบตายหรือแพ้หรือหมดสติ

เหยียนพั่วจวินเห็นเจ้าอ้วนไห่เลือกสู้ศึกละเลงเลือดที่คนจะไม่เลือกกันภายใต้สถานการณ์ปกติ ท่าทางเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ยังสัมผัสได้ถึงการประชดประชันปรากฏอยู่ที่ริมฝีปากเขา

เลือกสู้ศึกละเลงเลือดแทนที่จะยอมแพ้หรือ?

เย่คงและพวกที่เหลือที่กำลังรออยู่นอกเวทีต่างก็ตกใจกับการตัดสินใจที่ไร้สาระของเจ้าอ้วนไห่ ทุกคนในทีมตะลึงกันไปหมดและคิดไปในทางเดียวกันว่าเจ้าอ้วนไห่คงไปกินยาเสริมความโง่มาแน่

เย่ว์หยางกับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเริ่มพนันกัน เดิมพันดูเหมือนจะเป็น…แก้ผ้าวิ่งเหมือนเช่นเคย

**************

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด