ตอนที่แล้วตอนที่ 18 : โอสถฟื้นฟูสี่สายโลหิต
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 20 : วิชาต่อสู้ใหม่

ตอนที่ 19 : อันตรายและการเก็บเกี่ยว


หลินมู่ลุกขึ้นเหยียดแขนขา เสียงกระดูกดังลั่นดังไม่ขาดสายจากร่างกาย สิ่งแรกที่หลินมู่รู้สึกแตกต่างหลังจากที่มีร่างกายในขอบเขตบ่มเพาะกายขั้น 5 ก็คือเขาไม่รู้สึกหนาวอย่างเดิมแล้ว ผิวหนังของเขาทนทานกับสภาพอากาศมากขึ้น หลินมู่รู้สึกว่าเขาสามารถทนต่อสภาพอากาศอันเลวร้ายได้ดีกว่าเดิมมาก

“ข้าเข้าใกล้การเป็นผู้บ่มเพาะปราณอีกขั้นแล้ว ตอนนี้ต้องรักษาการก้าวหน้าต่อไปอย่าได้หยุด”

หลินมู่ลั่นวาจาอย่างหนักแน่น

จากนั้นเขาจึงเข้ากระท่อมไปปรุงอาหาร เมื่อมีเครื่องปรุงรสมากพอแล้ว สิ่งเดียวที่เขาขาดก็คือผักและเนื้อสัตว์ หลินมู่เพียงหวังว่าเขาจะล่าสัตว์ได้ในวันพรุ่งนี้

หลังจากมื้อเย็น หลินมู่นอนลงและหลับสนิท เขาพบตัวเองอยู่ในที่มืดอย่างเคยและเพียงรอให้เขาตื่นขึ้นมาเอง หลินมู่ตื่นเช้ามาด้วยความรู้สึกสดใสปลอดโปร่ง

เขาไปอาบน้ำที่ลำธาร จากนั้นจึงซักเสื้อผ้าที่สวมอยู่และใส่ชุดดำที่ซื้อมาใหม่ จากนั้นจึงเข้าป่าไปดูกับดัก หลินมู่ดูกับดักทั้งหมดและมีแค่บ่วงชุดเดียวที่จับกระต่ายเขาดำได้ เขาเก็บมันมากลับไปชำแหละและเตรียมมื้อเช้า

เขาอบกระต่ายและใส่เครื่องเทศกับเครื่องปรุงซึ่งทำให้มื้ออาหารของเขารื่นรมย์ขึ้น เมื่ออิ่มท้อง หลินมู่รู้สึกว่ามีพลังพอจะอยู่ได้ทั้งวันแล้ว และวันนี้จะเป็นครั้งแรกที่เขาออกล่าสัตว์ในป่า หลินมู่รู้สึกตื่นเต้นและกระฉับกระเฉง

เขาเข้าป่าโดยเลือกเส้นทางที่ต่างจากเดิม เส้นทางนี้มุ่งหน้าไปทางเหนือลึกเข้าไปในป่าที่มีสัตว์ใหญ่กว่าอาศัยอยู่ หลินมู่ยังคงรู้สึกกังวลเล็กน้อย เขาพยายามส่งเสียงให้น้อยที่สุดเพื่อไม่ให้สัตว์ตื่นตัว

หลินมู่เดินเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ระหว่างนี้เขาได้เห็นสัตว์ป่ามากมายและส่วนใหญ่ก็เป็นสัตว์เล็กอย่างหนูหางหนามหรือสัตว์กินพืชที่ใหญ่กว่าเช่นกวางกีบหิน แน่นอนว่าเขาไล่ตามมันไม่ทัน เขาคิดว่าเขาโชคดีอยู่เล็กน้อยที่ไม่ต้องเจอกับสัตว์กินเนื้อที่ใหญ่กว่า

เขาค้นหาเหยื่อที่เหมาะสมที่เขาสังหารได้โดยไม่อันตรายมากนัก อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาเขาก็ได้เจอกับสัตว์ที่เขาล่าได้ มันคือหงส์ปีกตะขอที่เขากำลังมองอยู่ และมันน่าจะแยกออกจากฝูง ตอนนี้มันกำลังจิกหนอนแมลงในพงหญ้า

หลินมู่เข้าใกล้มันอย่างเงียบเชียบ แม้ว่ามันจะไม่แข็งแกร่ง แต่มันน่าจะมีร่างกายราวขั้น 3 ถ้ามันคิดจะบินหนี หลินมู่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก

เขาแอบย่องไปข้างหลังด้วยดาบสั้นที่ชักออกมาแล้วและเข้าใกล้มัน แต่ก่อนที่เขาจะได้ฟันดาบไป สัตว์ที่อยู่ในพุ่มไม้หลังหลินมู่ก็ส่งเสียงทำให้หงต์ปีกตะขอตกใจ

หงส์ปีกตะขอส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและสยายปีกหวังจะบินเมื่อเห็นว่าหลินมู่อยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นเหยื่อกำลังจะหนี หลินมู่พุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงและแทงมันที่ต้นคอ มันส่งเสียงกรีดร้องดังและขัดขืนขณะที่ชีวิตกำลังจะจากไปจากร่างกาย

หลินมู่หายใจเข้าลึกตั้งสติ สัญชาตญาณของเขาบงการทุกสิ่งที่เขาทำ หลินมู่รีบเก็บซากหงส์ปีกตะขอในแหวนและกลับไปดูในพุ่มไม้ที่มีเสียงเล็ดรอดออกมา เขารู้ว่ามันจะเป็นอย่างมากที่จะต้องรับรู้ว่าตนเองล่าอยู่ที่ใดและทำอะไรอยู่ หากก้าวพลาดเพียงครั้งเดียวย่อมหมายถึงความบาดเจ็บ หรือร้ายกว่านั้นอาจหมายถึงชีวิต

แต่ก่อนที่หลินมู่จะได้เดินไปทางพุ่มไม้ เขาก็ได้ยินเสียงร้องดังมาจากมันพร้อมกับหมูป่าตัวใหญ่ที่วิ่งออกมา หมูป่านั้นสูงถึงเอวของเขาและดวงตาแดงก่ำด้วยโทสะมหาศาล มันเป็นสัตว์ชั้นกลางชื่อหมูป่าจมูกแดง จมูกของมันแดงสมชื่อและหวงอาณาเขตอย่างมาก มันถึงกับโจมตีสัตว์ที่ใหญ่กว่ามันมากในพริบตาเดียว

สารภายในกายหลั่งไหลในโลหิตหลินมู่จนเดือดพล่าน เขาออกวิ่งอย่างเร็วเพื่อหนีจากหมูป่าที่วิ่งไล่ เขารู้ว่าหมูป่าจมูกแดงนั้นแข็งแกร่งและเร็วกว่าเขา เขาต้องหาทางหนีออกจากมันให้เร็วที่สุด

เขาวิ่งต่อไปแต่หมูป่าจมูกแดงกลับเข้าใกล้เขาเรื่อย ๆ และในตอนที่มันจะกระโจนใส่เขา…หลินมู่ได้กระโดดคว้ากิ่งไม้และดึงตัวเองขึ้นไปบนต้นไม้นั้น

หมูป่าพุ่งใส่ต้นไม้เสียงดังลั่นจนทั้งต้นสั่นสะเทือน เมื่อเห็นศัตรูหนีขึ้นไปบนต้นไม้ หมูป่าจมูกแดงจึงวิ่งบนต้นไม้พยายามให้ต้นไม้โค่น เศษไม้ปลิวว่อนทุกครั้งที่มันวิ่งชนต้นไม้ด้วยเขี้ยว มันเจาะลึกลงไปเรื่อย ๆ เหงื่อเย็นผุดออกมาจากหน้าผากหลินมู่เพราะความกลัว

สมองของเขาทำงานด้วยความเร็วปานสายฟ้าเพื่อหาทางรอดจากอันตรายครั้งนี้ เพราะต้นไม้เองก็ทนพลังของหมูป่าจมูกแดงได้อีกไม่นาน เขารีบคิดและคิดแผนด่วนขึ้นมาได้

“ข้ามีแค่โอกาสเดียว หวังว่ามันจะได้ผลด้วยเถอะ ไม่งั้นการผจญภัยบ่มเพาะพลังของข้าคงต้องจบก่อนเริ่ม”

หลินมู่คิด

เขายื่นแขนขวาไปในจังหวะพอดีกับที่หมูป่าจมูกแดงจะชนกับต้นไม้ ในตอนที่มันกำลังจะชนต้นไม้ที่เกือบหักอยู่นั้นเอง หลินมู่ใช้ความคิดเรียกหินก้อนใหญ่ออกมาที่มืด มันคือหินก้อนเดียวกับที่เขาเจอในรอยแยกมิติ

หลินมู่ดึงมือกลับในทันทีที่หินก้อนใหญ่ปรากฏออกมาเพราะเขาทนรับน้ำหนักมันไม่ไหว หินก้อนนี้หนักได้หลายร้อยกิโลกรัมแน่นอน

เมื่อเขาขยับมือ เสียงกระดูกหักน่ากลัวก็ดังขึ้นเมื่อก้อนหินบดขยี้กะโหลกของหมูป่าจมูกแดง มันมิได้กรีดร้องหรือขัดขืนเพราะชีวิตของมันดับสิ้นลงในพริบตา หลินมู่รอหนึ่งนาทีเพื่อให้แน่ใจว่ามันตายและคงไม่รอดอย่างปาฏิหาริย์มาเอาชีวิตเขา

เขาปีนลงจากต้นไม้มาดูเบื้องล่าง โลหิตและสมองกระจัดกระจายไปทั่วหัวหมูป่าส่งกลิ่นคาวเลือด หลินมู่ใจเย็นลงเมื่อเห็นว่ามันตายสนิท สารในกายที่พุ่งพล่านจางหายไป เขาวางมือบนหินก้อนใหญ่ก่อนจะเก็บมันไว้ในแหวน

‘ข้ายังไม่รู้ว่ามันเป็นหินอะไร แต่อย่างน้อยข้าก็รู้วิธีใช้มันแล้วล่ะนะ’

หลินมู่คิดในใจพลางหัวเราะ

หลังเก็บหินก้อนใหญ่ใส่แหวน หลินมู่ได้เห็นสภาพของหมูป่าจมูกแดง หัวของมันแทบจะไม่เป็นหัวอยู่แล้วจากการบดขยี้ มีเพียงเขี้ยวแข็งที่รอดจากแรงกระแทก หลินมู่เก็บซากหมูป่าไว้ในแหวนและวิ่งไปยังทิศทางอื่น เพราะสัตว์ป่าอื่นจะต้องรู้ตัวจากกลิ่นเลือดสด ๆ จากตรงนี้ เขาไม่อยากจะเจอเรื่องอันตรายอีกแล้วในวันนี้ วันนี้เขาผจญภัยมามากพอแล้ว

หลินมู่กลับถึงกระท่อมในอีก 3 ชั่วโมงต่อมา เขาเดินตรงไปยังลำธารเพื่อถลกหนังสัตว์ ตอนนี้เขามีดาบไว้แล่หนังกับเครื่องในออกไปแล้ว มันสะดวกกับเขามาก

หลินมู่เรียกหงส์ปีกตะขอออกมาก่อนและเริ่มถอนขนขณะที่ระวังไม่ให้ตะขอเล็ก ๆ ที่ปลายขนเกี่ยวตัวเอง

เขาถอนขนจนหมดและเก็บไว้ในแหวนเพราะมันใช้ทำลูกธนูได้ เขาจะได้ขายมันไปพร้อมกับหนังและเขี้ยวหมูป่าจมูกแดงในเมือง จากนั้นเขาก็เชือดคอหมูป่าเพื่อรินเอาเลือดออก มันยากมากสำหรับหลินมู่ในการขยับสัตว์ป่าขนาดเกิน 100 กิโลกรัม

ขณะที่เลือดไหลออกมาจากคอหมูป่า เขาตัดหัวของหงส์ปีกตะขอและรินเลือดออกมมาเช่นกัน หลังจากเลือดไหลออกมาหมดแล้ว เขาปาดท้องและนำเครื่องในทั้งหมดออกมาโดยเหลือหัวใจกับตับเอาไว้ เขาล้างและเก็บซากสัตว์ทั้งหมดในแหวน เขาทำแบบเดียวกันกับหมูป่าจมูกแดงเช่นกัน เว้นเสียแต่เขาทิ้งไส้กับกระเพาะออกไป เหลือไว้แต่อวัยวะชิ้นใหญ่

หลินมู่เหนื่อยเล้กน้อยหลังจากทำทุกอย่างเสร็จและอยากจะพัก ในตอนนี้เขามีหมูป่าจมูกแดงแล้ว พลังชีวิตที่อัดแน่นในเนื้อมันจะทำให้เขาอยู่รอดได้เป็นสัปดาห์

เขากลับไปที่กระท่อมเพื่อปรุงเนื้อหงส์ปีกตะขอก่อน เขาปรุงมันด้วยเครื่องเทศ เขาพักรอขณะที่กำลังอบเนื้อ หลินมู่สวาปามเนื้อหงส์อบและรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านกระเพาะ

ความอบอุ่นนี้คือพลังชีวิตที่กักเก็บอยู่ในเนื้อสัตว์ เขาไม่ได้รู้สึกเช่นนี้มาก่อนเพราะกระต่ายเขาดำนั้นมีพลังชีวิตน้อยมากในเนื้อ หลังจากกินเสร็จ เขาเดินออกจากกระท่อมเพื่อฝึกฝนร่างกายด้วยดาบต่อไป

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด