ตอนที่แล้วตอนที่ 190 ฝึกแบบบ้านนอก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 192 ซาลาเปานึ่ง กรงเล็บและฟัน

ตอนที่ 191 หนุ่มหล่อเหลาเปี่ยมพรสวรรค์กับคนเร่ร่อน


“อาจารย์ทำอะไรอยู่?” เด็กหญิงโกรธ “ขังตัวเองอยู่ในห้องถึงยี่สิบวัน อย่าบอกนะว่าแอบทำเรื่องน่าอายหลายอย่างหรือเปล่า?”

ชิงหลวนไม่พอใจขึ้นมาทันทีและสั่งสอนเบาๆ “คุณหนู,  พูดแบบนั้นกับอาจารย์ถังได้ยังไงเจ้าคะ?”

“ก็มันไม่จริงเหรอ”  เด็กหญิงโกรธมากกว่าเดิม “เป็นอาจารย์ประสาอะไรหายตัวไปยี่สิบวัน ปล่อยให้ลูกศิษย์รออยู่คนเดียว นี่เป็นอาจารย์แบบไหน...”

คุณหนูตัวน้อยหยุดบ่นทันทีตาของเธอเบิกกว้างขณะจ้องมองถังเทียนที่เพิ่งออกมาจากห้องอย่างว่างเปล่า

สารรูปของถังเทียนดูไม่ได้เลย ผมเผ้ายุ่งเหยิงตาแดงเส้นเลือดขึ้น เสื้อผ้าที่สวมอยู่ปรากฏรูเม็ดขนาดเม็ดทรายอยู่ทั่ว เด็กหญิงตาคมกล้าและสามารถเห็นสิ่งที่มีขนาดเม็ดทรายร่วงลงจากตัวถังเทียนหล่นลงบนพรมที่มีราคาแพง

พรมปรากฏเป็นรอยเท้าสีดำบนนั้น

เมื่อเห็นอาหารเต็มโต๊ะ ถังเทียนที่ดวงตาดูไร้ชีวิตชีวากลับเปล่งประกายสีเขียวทันทีเหมือนกับเสือร้ายกระโจนขึ้นโต๊ะ  ขณะที่เขายื่นมือทั้งสองหยิบอาหาร พวกเขาก็ต้องตระหนักว่า นิ้วมือของถังเทียนบวมอวบราวกับแคร็อท

เมื่อกรงเล็บมือของถังเทียนสัมผัสกับจานอาหาร เขาร้องครางออกมามือทั้งสองหดกลับมาราวสายฟ้า  เนื้อที่เขาสัมผัสกระดูกของมันหลุดกลิ้งออกไปแล้วจากจานตกลงบนพรม

ทันใดนั้น ร่างของเขาเหมือนกับกระพริบและเนื้อก็หายวับไป

ประกายตาของถังเทียนเหมือกับสัตว์ป่า  เขาอ้าปากและงับเนื้อได้อย่างแม่นยำ  ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาชั่ววับเดียวการกระทำของถังเทียนคล่องแคล่วว่องไวมาก

ช่วงเวลาที่เนื้ออวบเข้าไปในปากของถังเทียนแทบทำให้เขาบ้าเลยทีเดียว

ทุกคนตกตะลึงมองดูเขา พวกเขาได้เห็นประจักษ์วิธีกินอาหารที่เถื่อนที่สุดในประวัติศาสตร์

ง่ำ!

ทันทีที่กัดลง กระดูกแข็งที่อยู่ตรงกลางเนื้อก็ถูกบดทันทีน้ำมันจากเนื้อและเศษกระดูกกระเด็นพร้อมกับน้ำลายที่หยดลง

เรียบร้อย ประสิทธิภาพในการกินของถังเทียน อาหารทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะ ว่างเปล่า แม้แต่ผลไม้ น้ำชาก็หายเรียบโต๊ะสะอาดเหมือนเพิ่งถูกทำความสะอาด ตลอดทั้งกระบวนการการกิน เขาไม่ได้ใช้มือแม้แต่น้อย

ท้องของถังเทียนกลมเป็นลูกบอล  เขาแผ่นิ่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่ยอมขยับแม้แต่น้อย

“อาจารย์...เกิดอะไรขึ้นกับท่าน?” คุณหนูถามอย่างระมัดระวัง  ใบหน้าของเธอดูกระวนกระวาย อาจารย์ของเธออยู่แต่ในห้องนานถึงยี่สิบวัน  เขาออกมาในสภาพแบบนี้ได้ยังไง?

หลังจากผ่านไปครึ่งค่อนวัน ไม่มีปฏิกิริยาอะไรจากเขา  เธอเชิดหน้าดู ถังเทียนหลับสนิทกรนสนั่นไปแล้ว

ถังเทียนเหนื่อยเต็มที่เกินกว่าใครจะจินตนาการได้  เวลาตามปกติผ่านไปยี่สิบวัน  แต่สำหรับเวลาในค่ายทหารใหม่  เขาฝึกถึงหกสิบวันรวด

การฝึกหนักที่ถังเทียนเคยทำ ใช้เวลาห้าวันในรอบหนึ่ง  รอบหนึ่งกินเวลาสิบวันเทียบเวลาก็ หนึ่งต่อสอง

แต่ตอนนี้ค่ายอบรมทหารใหม่เปิดใช้งานครั้งแล้วครั้งเล่าอัตราส่วนเวลาเปลี่ยนเป็นหนึ่งต่อสาม และไม่จำเป็นต้องใช้วิธีฝึกฝนหนักหน่วง เวลาก็ดำเนินไปตามธรรมชาติ

แต่สำหรับถังเทียนทำให้มันไม่แตกต่าง

60 วันในค่ายทหารใหม่บวกับเวลาปกติอีก 20 วัน  เขากลับฝึกฝนต่อเนื่องกันเป็นเวลา 80 วัน  เขาจึงล้ามากเกินไป

แค่เพียงนั่งขูดทั่งเหล็กทุกวันๆแม้ว่าเขาจะมีปราณแท้คอยปกป้อง แต่นิ้วทั้งสิบของถังเทียนก็ระบมจนมีขนาดเท่าฝักแคร็อท

เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้เวลาทุกวันใช้ปราณแท้เพื่อลดอาการบวมของนิ้วที่บวมขนาดแคร็อท  แต่ก็ได้ผลที่มีประสิทธิภาพ  สำหรับในช่วงเวลา 60 วันตอนเริ่มแรกเขาใช้เวลาฝนนิ้วกับทั่ง แท่งละสามวัน พอถึงวันที่สิบเขาใช้เวลาฝนทั่งได้วันละสามแท่ง วันที่สามสิบเขาฝนได้วันละห้าแท่ง  และพอถึงวันที่หกสิบ  เขาสามารถฝนทั่งได้วันละสิบแท่ง

จำนวนขนาดนี้ไม่เคยมีใครทำได้มานานแล้ว

การฝนนิ้วกับทั่งได้ถึงวันละสิบแท่ง  แม้แต่กรงเล็บภูตพรายก็ยังตกใจ  ถังเทียนก้าวหน้าได้มากเกินกว่าเขาจะนึกภาพออก

นิ้วมือทั้งสิบของถังเทียนเหมือนชิ้นเหล็กที่น่ากลัวที่ไม่มีอะไรสามารถเอาชนะได้กำลังขูดลงกับทั่งเกิดเป็นประกายไฟกระจายทุกที่ เสื้อผ้าของเขาไหม้เป็นจุดๆ

เขาเหนื่อยเกินไป

นี่คือชีวิตของจับกังดีๆ นี่เอง ถังเทียนรู้สึกว่าเขาเป็นจับกังในโรงช่างตีเหล็กที่ต้องฝนทั่งขูดทั่งทั้งวันทั้งคืน

เขาสงสัย ทำไมกรงเล็บภูตพรายถึงได้คิดวิธีสุดประหลาดนั่งขูดทั่งอย่างนี้ได้

ในตอนแรกกรงเล็บภูตพรายต้องการจะราดน้ำยาสมุนไพรบนนิ้วมือที่บวมเป่งของถังเทียน  แต่เขาคาดไม่ถึงเลยว่าไม่ว่านิ้วของถังเทียนจะบวมขนาดไหนก็ตาม เมื่อถังเทียนโคจรปราณแท้เข้าไปในนิ้วมือ อาการบวมจะลดลงในวันที่สองทันที

เรื่องนี้ทำให้กรงเล็บภูตพรายที่สีหน้าไม่แสดงอารมณ์อะไรเลยถึงกับตกตะลึงอยู่เป็นเวลานาน

ข้อสรุปสุดท้ายของเขาก็คือลักษณะกายภาพของถังเทียนมีความพิเศษ  เรื่องที่ปิงพูดถึงทฤษฎีสัญชาตญาณสัตว์ป่า  เขาไม่มีความเห็นในเรื่องนั้น  แต่สภาพร่างกายของถังเทียนเทียบกับในระดับสัตว์ป่าได้แน่นอน

การหลับครั้งนี้กินเวลาห้าวันเต็ม  ซึ่งถังเทียนหลับลึกและกรนเสียงดังสนั่น

เด็กหญิงเคาะจมูกเธอด้วยความสงสัย และขยับเข้าไปใกล้หยิบเม็ดเล็กๆ เม็ดหนึ่งที่หล่นออกมาจากตัวถังเทียนมาดู  หลังจากพิจารณาดูอยู่ครึ่งวันเธอก็ยังไม่เข้าใจ

ในที่สุดก็เป็นไจ๋เหิงจ้านที่สรุปว่า “มันเป็นเม็ดโลหะ”

“อย่าบอกข้านะว่าอาจารย์กำลังฝึกฝ่ามือทรายเหล็ก?”  ปฏิกิริยาแรกของคุณหนูตัวน้อยเป็นเช่นนี้

“เหมือนกับจะไม่ใช่อย่างนั้น”ไจ๋เหิงจ้านสั่นศีรษะ “เม็ดโลหะจากฝ่ามือทรายเหล็กจะมีขนาดใหญ่กว่านี้เล็กน้อย  และฝ่ามือทรายเหล็กเป็นแค่เพียงวิทยายุทธระดับสี่ทำไมอาจารย์ถังจึงต้องเรียนด้วยเล่า”

“มันก็จริงนะ”เด็กหญิงเอียงคอและคิดอยู่นาน “แต่ยังมีวิทยายุทธอื่นไหนบ้างที่ต้องการเม็ดทรายเหล็กเยอะๆ?”

“ข้าไม่แน่ใจเช่นกัน”  ไจ๋เหิงจ้านสั่นศีรษะ  “ใครจะรู้ได้ว่าวิทยายุทธในโลกนี้มีกี่รูปแบบและแบบไหนจำเป็นต้องใช้ทรายเหล็กบ้าง ยากจะระบุแน่ชัดลงไป”

“นั่นก็แปลกอยู่นะ....”  คุณหนูน้อยมีสีหน้าสงสัย

เมื่อถังเทียนลืมตาได้ในที่สุด  เขาเห็นสีหน้าสงสัยของเด็กหญิง  เธอคาดไม่ถึงว่าจู่ๆ เขาจะลืมตาถึงกับตกใจร้องกรี๊ดกระโดดหนีไปอีกด้านหนึ่ง

ถังเทียนงง

“อาจารย์!  เกิดอะไรขึ้นกับท่าน?”  เด็กหญิงน้อยพอหายตกใจจึงรีบถามทันที

“ข้าน่ะหรือ?”  ถังเทียนมองดูสีหน้างงงัน  ขณะที่เขาก้มหน้ามองดูตัวเอง “โอว... ฝึกฝึมือ”

“อาจารย์ฝึกฝีมือตลอดยี่สิบวันรวดเดียวเหรอ?”  เด็กหญิงถาม

ยี่สิบวันอะไรกัน? มากกว่าหกสิบวันเสียอีก....

ถังเทียนค่อยมีปฏิกิริยาหลังจากดูมึนงง และพยักหน้า “อืมถูกแล้ว”

ชิงหลวนและไจ๋เหิงจ้านรู้สึกเลื่อมใสเขาลึกๆ  แม้ว่าจะอยู่ในช่วงเดินทางเขาก็ยังไม่ทิ้งการฝึกฝน มิน่าเล่าทั้งที่อาจารย์ถังยังอายุน้อยถึงได้มีพลังสูงส่งอย่างน่าประหลาด  ด้วยทัศนคติคร่ำเคร่งฝึกฝน จะมีกี่คนที่มีความคิดเช่นนั้น

ความแข็งแกร่งมิได้สำเร็จมาจากโชค

ถังเทียนกวาดตามองไปรอบๆ แล้วถาม “ซิ่วซิ่วน้อยอยู่ไหน?”

“พี่ซิ่วก็ฝึกฝนทุกวันเหมือนกัน”เด็กหญิงกล่าว “ตอนนี้เขาอยู่ในลานฝึกฝีมือ”

หลิงซิ่วเองก็บ้าฝึกอยู่แล้วและเมื่อเห็นว่าถังเทียนขังตัวอยู่ในห้องหลายวัน ก็ติดเชื้อกระตือรือร้นทันที  เขาทำเหมือนกับว่าลานฝึกกลายเป็นบ้านเขาไปแล้วหลับในนั้นและกินอยู่ในนั้น

ถังเทียนพยักหน้า “เข้าใจล่ะ”

พูดจบ เขาก็เดินกลับเข้าห้อง

ผมของเขายุ่งเหยิงและลักษณะก็สกปรก ในสายตาทุกคนให้การยกย่องเขาทันที  ชิงหลวนได้รับผลกระทบจากเขามากที่สุดนางหันหลัง “งั้นข้าก็จะไปฝึกด้วย!”

ถังเทียนยังคงหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนตนเองต่อไป

การเดินทางยาวนานสองเดือนก็จบลงในที่สุด  และเป็นการเดินทางที่น่าเบื่อที่สุดเท่าที่เด็กหญิงเคยผ่านมา  ทุกคนเอาแต่ฝึกฝนพลังฝีมือตนเองอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ชิงหลวนที่มักใช้เวลาเล่นกับเธอทุกวันก็พลอยฝึกเป็นบ้าเป็นหลังไปด้วย

ดังนั้นเมื่อเด็กหญิงได้พบเห็นบุรุษวัยกลางคนกำลังยืนรออยู่ที่ประตูอู่โหว  นัยน์ตาเธอเป็นประกายขณะที่เธออุทาน “ท่านพ่อ!”

เธอกระโดดลงจากหน้าต่างและวิ่งเข้าอ้อมกอดบุรุษนั้นทันที

บุรุษวัยกลางคนสีหน้ามีเมตตาเขกศีรษะเด็กหญิงเบาๆ  เขาดุเธอเบาๆ “เจ้าชักซุกซนมากขึ้นทุกทีแล้วนะถึงกับกล้าหนีไปเที่ยวไกลขนาดนั้น”

บุรุษกลางคนผู้มีใบหน้าเมตตาก็คืออู่โหวผู้ทรงอำนาจนั่นเอง

“ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว!”เด็กหญิงแสดงสีหน้ายอมรับผิดด้วยความฉลาด

อู่โหวบิดจมูกเธอและหัวเราะลั่น “ข้าคงโง่ตายล่ะ ถ้าเชื่อเจ้า”

เด็กหญิงกอดมืออู่โหวทันที “จริงๆ นะ”

“ก็ได้ๆๆ”อู่โหวตามใจหมิงจูด้วยความรัก จู่ๆ ก็ขมวดคิ้วทันที  “ชิงหลวนไปไหน?  เหิงจ้านเล่า?”

เด็กหญิงโกรธ “พวกเขาเอาแต่ฝึกฝีมือกันหมด ตลอดการเดินทางพวกเขาไม่ยอมเล่นกับข้าเลย”

สีหน้าของอู่โหวค่อยผ่อนคลาย และแสดงอาการพอใจออกมา  “อืม, นึกไม่ถึงเลยว่าการเดินทางครั้งนี้จะทำให้พวกเขามีความก้าวหน้า ชิงหลวนมีพรสวรรค์ที่ดี เพียงแต่นางยังไม่ทุ่มเทจิตใจฝึกฝน  ดีล่ะมาแนะนำอาจารย์ถังของเจ้าให้ข้ารู้จักหน่อย”

“อาจารย์ก็ฝึกฝีมืออยู่ตลอดด้วย!  เขาไม่ออกมาข้างนอกสี่สิบวันแล้ว!”  ปากของเด็กหญิงแสดงท่าทีโกรธมากกว่าเดิม  “อาจารย์ประสาอะไรก็ไม่รู้ ไม่ยอมถามไถ่เรื่องนักเรียนตัวเองตลอดการเดินทาง”

“เป็นไปได้ไหมว่าเขากำลังขังตัวฝึกวิชา?”อู่โหวมีสีหน้าประหลาดใจ

“ข้าไม่รู้เหมือนกันเขาชอบอยู่ในห้องตลอด ล็อคประตู ไม่มีใครรู้ว่าเขาทำอะไรอยู่ข้างใน”  เด็กหญิงพูดด้วยความรังเกียจเต็มประดา “และเขายังทำให้ชิงหลวนและคนที่เหลือกระตือรือร้นฝึกฝีมือกันหมด”

ทันใดนั้น เด็กหญิงนัยน์ตาเป็นประกาย  เธอกวักมือเรียก “พี่ซิ่ว!”

อู่โหวหันไปทางหลิงซิ่วทันทีเขาอดหรี่ตาประเมินหลิงซิ่วไม่ได้

พลังแข็งแกร่งขนาดนั้นเชียวหรือนี่

แรงกดดันของหลิงซิ่วเหมือนกับหอกในมือของเขา  ทุกๆย่างก้าวทำให้คนรู้สึกได้ถึงปราณรอบตัวที่อันตรายของเขา  องครักษ์รอบตัวอู่โหวสีหน้าเปลี่ยนอดไม่ได้ที่จะตั้งท่าเริ่มโจมตี

อู่โหวยกมือห้ามองครักษ์เขาไม่ให้ลงมือ

หลิงซิ่วควบคุมขาตนเองอย่างระมัดระวัง มองภายนอกเขามีท่าทีสงบมาก แต่มีความกังวลอยู่ภายใน เขาเพิ่งบรรลุพลังระดับใหม่ พลังของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย แต่พลังเหล่านี้เขายังควบคุมได้ไม่เต็มที่

ดังนั้นการแผ่พลังที่กล้าแข็งในตอนนี้ของเขาจึงดูเหมือนกับว่าเขาอวดแสดงพลัง

ปุ!

เขายังควบคุมตนเองไม่ดีเท่าที่ควร เขาดูโดดเด่นราวกับว่าก้าวเหยียบไปบนเต้าหู้ ขาของเขาจมลงไปในแผ่นหิน ร่างของเขาเสียหลัก ขณะที่สูญเสียการควบคุมตัว ผัวะ..เขาจมลึกลงไปในแผ่นหิน

องครักษ์ที่อยู่ข้างกายอู่โหวกังวล สีหน้าทุกคนมองดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเผชิญกับศัตรู แผ่นหินหนาที่หน้าทางเข้าที่ทำการอู่โหวทำด้วยหินน้ำใส  หินเหล่านี้แข็งแกร่งพอๆ กับเหล็กแต่เมื่ออยู่ใต้เท้าหลิงซิ่วกลับอ่อนยวบเหมือนกับเต้าหู้

น่ากลัวเกินไปแล้ว!

สายตาของอู่โหวแหลมคม ด้วยการดูเพียงครั้งเดียวเขาสามารถบอกได้ว่าหลิงซิ่วอยู่ห่างจากระดับนักสู้สวรรค์วิถีเพียงก้าวเดียวเท่านั้น  อีกเพียงก้าวเดียวเขาก็จะกลายเป็นนักสู้สวรรค์วิถีอย่างแท้จริง!

ที่สำคัญยิ่งกว่า หลิงซิ่งยังอายุเยาว์มาก เขาอยู่ในชุดขาวขลิบทอง ถือหอกเงิน ผมสีเงินนัยน์ตาสีแดงเพลิง  ดูเหมือนว่าเขาเป็นนักสู้ที่พิเศษ  แม้แต่อู่โหวก็อดอุทานไม่ได้ชายหนุ่มที่หล่อเหลานัก!

เมื่อหลิงซิ่วดูดซับพลังของเขาได้เต็มที่  พลังความแข็งแกร่งของเขาเขาพร้อมที่จะมีคุณสมบัติได้เป็นนักสู้สวรรค์วิถี

ศักยภาพของเขามีไม่จำกัด

พอถึงตอนนี้มีเด็กหนุ่มผมเผ้ายุ่งเหยิงหน้าตาสกปรกเสื้อผ้ารุ่งริ่งม้วนตัวตีลังกาออกมาจากยานโดยสารและลงมายืนข้างหลิงซิ่วทันทีนัยน์ตาของเขาเป็นประกายสีเขียว

“เฮ้,ใครมีอาหารบ้าง?”

เด็กหญิงตกตะลึง

หลิงซิ่วบุรุษหนุ่มหล่อเปี่ยมไปด้วยศักยภาพจู่ๆก็มีคนที่เหมือนกับพวกเร่ร่อนมายืนอยู่ข้างๆความแตกต่างชัดเจนสุดขั้วทำให้ทุกคนตกตะลึง

เป็นความเงียบที่น่าอึดอัด

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด