ตอนที่แล้วตอนที่ 13 : ฝึกฝน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 15 : ไล่ล่า

ตอนที่ 14 : เคราะห์ดีเล็กน้อย


เมื่อตื่นนอน สิ่งแรกที่หลินมู่สัมผัสได้ว่าอากาศในกระท่อมเย็นกว่าปกติมาก เขาเปิดประตูกระท่อมและโดนลมเย็นยะเยือกรุนแรงปะทะใบหน้า เขามองรอบ ๆ และถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะไร้ร่องรอยของหิมะ

‘ดีจริง ๆ ที่ตอนกลางคืนหิมะไม่ตก ไม่อย่างนั้นอากาศคงหนาวลงไปอีก ข้ามีเวลาอีกเดือนกว่าที่หน้าหนาวจะมาถึง’

เมื่อหน้าหนาวมาถึงมันจะยากลำบากกว่ามากที่หลินมู่จะจับสัตว์ด้วยกับดักได้ ถ้าเขาอยากจะล่าสัตว์อสูร เขาต้องเข้าไปในป่าที่ลึกกว่าเดิมและมันจะอันตรายกว่าเดิมมาก หลินมู่ต้องเก็บเงินให้มากพอภายในเดือนนี้เพื่อเช่าที่พักในเมืองและใช้จ่ายในช่วงหน้าหนาว ถ้าเขาหาเงินได้ไม่มากพอ คงจะลำบากมากที่เขาจะอยู่ในกระท่อมเพราะไม่มีทางที่เขาจะปกป้องตัวเองจากความหนาวได้เลย

‘ข้าต้องออกไปดูกับดักแล้วว่าดักอะไรได้ไหม หวังว่าคงไม่มีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งใกล้กับกับดักแบบคราวที่แล้ว’

หลินมู่เดินไปตามทางที่เขาวางกับดักโดยพยายามส่งเสียงให้น้อยที่สุด ครั้งนี้ดูเหมือนว่าสวรรค์จะเป็นใจให้กับหลินมู่เพราะกับดักแรกที่เขาเจอนั้นดักอะไรบางอย่างได้

เขาเดินเข้าไปใกล้เพื่อดูและต้องขอบคุณสวรรค์อีกครั้งเพราะสิ่งที่เขาจับได้ก็คือ…กระต่ายม่านหิมะ

กระต่ายม่านหิมะนั้นเป็นสัตว์อสูรหายากในป่าเหนือ แม้ว่าจะเป็นเพียงสัตว์อสูรชั้นต่ำ มันก็มีพลังเทียบเท่ากับขอบเขตร่างกายขั้น 2 พวกมันรวดเร็วมากและพรางตัวได้ในหิมะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่มันจะออกมาเฉพาะแค่ตอนที่หิมะสูงเท่าหัวเข่าเลย

การเจอกระต่ายม่านหิมะสักตัวก่อนเข้าหน้าหนาวนั้นเป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะแม้แต่พรานมือฉมังก็จับได้เพียงแค่ตัวเดียวในเวลาหลายปี ขนขาวไร้ที่ตินั้นมีคุณค่ามากโดยเฉพาะกับสตรีในตระกูลที่มีอิทธิพลในเมือง และมันขายได้ราคาดีมาก

หลินมู่จับกระต่ายม่านหิมะไว้แน่นซึ่งเป็นเรื่องยากเพราะพละกำลังของมัน หลินมู่อยากจะเก็บกระต่ายม่านหิมะไว้ในแหวนและไม่ถลกหนังมันด้วยตัวเอง เขาไม่คิดว่าเขาจะมีทักษะดีพอที่จะไม่ทำให้หนังอันล้ำค่าเสียหาย และเขาไม่มีอุปกรณ์ที่ดีพอเช่นกัน เขาขายมันทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ดีกว่า

หลินมู่ไม่รู้ว่าเขาจะเก็บสัตว์อสูรที่มีชีวิตในแหวนได้หรือไม่เพราะเขาไม่เคยลองทำมาก่อน และตัวเขาก็ไม่อยากจะทดลองกับกระต่ายม่านหิมะด้วย เขามัดแขนขากระต่ายไว้แน่นด้วยเถาวัลย์ที่หาได้ใกล้ ๆ เขาดึงเชือกมัดหลายรอบเพื่อให้มั่นใจว่ามันจะไม่ขาด

เขาห้อยกระต่ายไว้ที่หลังและเดินไปหากับดักต่อไป กับดักที่สองนั้นดักได้แต่บ่วงขาดไป น่าจะเป็นฝีมือของสัตว์อสูรที่ตัวใหญ่กว่าและแกร่งกว่า เขาตรวจดูรอยเท้าและเห็นว่าเป็นของสัตว์กีบ

‘น่าจะมีกวางผ่านมาทางนี้ น่าแปลก…พวกมันไม่น่าจะออกมาแถวนี้นี่นา’

‘อย่างแรกก็กระต่ายม่านหิมะ แล้วก็ยังกวางอีก ต้องมีอะไรที่ทำให้สัตว์อสูรชั้นต่ำกลัวจนออกมาถึงชายป่าเช่นนี้’

‘เดี๋ยวก่อน หรือว่าจะเป็นสัตว์อสูรตัวเดิมที่ทำลายพื้นที่รอบ ๆ กับดักข้าคราวนั้น?’

หลินมู่ไม่อยากจะเข้าใกล้พื้นที่ตรงนั้น แต่ความใคร่รู้ก็ชนะในที่สุด หลินมู่แอบย่องไปยังจุดที่ถูกทำลาย เขาเบิกตากว้างและขาของเขาพร้อมจะวิ่งในทุกเมื่อที่เห็นอันตราย ที่นี่ยังคงเหมือนเดิม ต้นไม้หักโค่นโดยรอบและมีรอยกรงเล็บกับอุ้งเท้าเต็มไปหมด

เขาสำรวจต่อไปและก็ไม่พบร่องรอยสัตว์อสูรตัวใหม่เช่นกัน สัตว์อสูรอื่น ๆ คงจะหลีกเลี่ยงพื้นที่นี้เพราะกลิ่นอายสัตว์อสูรที่ทำลายพื้นที่นี้ไป เขาเห็นเส้นทางที่สัตว์อสูรตัวนี้ถอยลึกเข้าไปในป่า

เมื่อสิ้นสงสัย หลินมู่เดินไปดูกับดักอีกสี่ชุดที่เหลือ สองชุดยังคงแน่นิ่งเช่นเดิม นี่เป็นกับดักชุดเดียวกันกับที่ไม่ทำงานในคราวที่แล้ว ส่วนกับดักอีกสองชุดนั้นดักได้สำเร็จ เขาได้กระต่ายเขาดำกับหนูหางหนามอย่างละตัว

หลินมู่อยากจะทดลองว่าเขาสามารถเก็บสัตว์อสูรทั้งเป็นในแหวนได้หรือไม่ ดังนั้นสัตว์อสูรสองตัวนี้จึงจะกลายเป็นหนูทดลองของเขา เขาจับกระต่ายเขาดำและเก็บมันไว้ในแหวน จากนั้นจึงเรียกมันออกมาจากแหวนหลังจากผ่านไป 10 วินาที

กระต่ายเขาดำยังคงมีชีวิตและดิ้นในมือเขา เขาเก็บกระต่ายกลับแหวนและรอ 5 นาทีเพื่อดูว่ามันจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ 5 นาทีผ่านไป เขาเรียกมันออกมาจากแหวน ครั้งนี้มันตายแล้ว

‘ทำไมกระต่ายถึงตายใน 5 นาทีไม่เหมือนเดิมเล่า? หรือว่าข้างในแหวนไม่มีอากาศให้มันหายใจ?’

หลินมู่ไม่รู้ว่าเขาเก็บอากาศในแหวนได้หรือไม่ เขาลองจินตนาการเก็บอากาศไว้ในแหวน จากนั้นจึงเก็บหนูหางหนามไว้ในแหวนและรอ 5 นาทีอีกครั้ง เขาเรียกหนูหางหนามออกมาหลังจาก 5 นาทีแต่มันก็ตายไปแล้วเช่นกัน

‘วันนี้ข้าคงต้องไปที่เมืองเพื่อขายกระต่ายม่านหิมะ ต้องรีบแล้ว’

หลินมู่วิ่งไปที่ลำธารเพื่อถลกหนังสัตว์อสูร เขาใช้วิธีการเดิม หลินมู่ถลกหนังพวกมันอย่างรวดเร็วและล้างซากให้สะอาด เขาเก็บหนังไว้ในแหวน เขาไปที่กระท่อมและวางเนื้อกระต่ายเขาดำไว้บนเตา ตอนนี้เขามีเครื่องปรุงแล้ว หลินมู่สาดเครื่องปรุงลงไปอย่างไม่ประหยัด ไม่กี่นาทีต่อมากลิ่นหอมเครื่องเทศและเนื้อก็ทำให้เขาน้ำลายไหล

เขานำกระต่ายที่อบสุกดีแล้วออกมาจากเตา หลินมู่วางไว้ด้านข้างพักไว้ให้มันเย็นลงจนกินได้ เมื่อเย็นลงแล้วจึงสวาปามอย่างเอร็ดอร่อยเพราะมิอาจควบคุมความหิว เขาแทะกระดูกจนขาวสะอาดร้อมกับเลียนิ้วมือที่เปรอะเปื้อนน้ำมันจากกระต่าย

เมื่อคลายหิว หลินมู่แบกกระต่ายม่านหิมะไว้บนหลังและวิ่งไปทางเมืองเหนือ เขาวิ่งด้วยความเร็วสูงและลดความเร็วเมื่อเหนื่อย หลินมู่ไม่รู้สึกเหนื่อยเหมือนกับการวิ่งเมื่อวาน เขาถึงเมืองใน 40 นาทีซึ่งเร็วกว่าเดิมมาก

หลินมู่มองระอาทิตย์และประเมินเวลาว่าเป็น 11 โมง มีเวลามากพอที่เขาจะทำทุกอย่างให้เสร็จและกลับมาฝึกตนต่อ เขารีบไปยังเส้นทางที่ผ่านสวนแอปเปิ้ลจิตและหลบสายตาทุกคน เขาเข้าเมืองไปยังโรงฟอกหนังที่น่าจะจ่ายเขาแพงที่สุด

เขาปิดปากปิดจมูกหลบกลิ่นน่าสะอิดสะเอียนจากโรงฟอกหนังเดินผ่านประตูไปเจอเสมียนคนเดิมที่กำลังเขียนใบลงทะเบียน เขารู้สึกได้ถึงสายตาคนรอบข้างที่หันมองเมื่อเขาเข้ามาใกล้ และเมื่อเห็นสัตว์อสูรบนหลังหลินมู่ บางคนก็อ้าปากค้าง

เสมียนเห็นเขาและทำหน้ารำคาญ

“เจ้าหนู ครั้งนี้มาเอาอะไรอีก? ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเราไม่ซื้อหนังสัตว์ชั้นต่ำ”

ก่อนที่เสมียนจะได้พูดต่อ หลินมู่ก็ปลดเชือกที่มัดกระต่ายม่ายหิมะมาด้านหน้า

“นี่ ข้าจะขายเจ้านี่”

เสมียนเบิกตากว้างเมื่อเห็นกระต่ายม่านหิมะ เสมียนไม่ได้เห็นกระต่ายม่านหิมะมาสองปีแล้วเพราะมีนายพรานน้อยมากที่ออกไปล่าในฤดูหนาว เขารู้ว่ามันเป็นหนังสัตว์ที่ขายได้ราคาแพง และถ้าหากเอาไปประมูลในเมืองอู๋หลิม มันจะได้ราคาแพงยิ่งไปอีก

เสมียนมองรอบ ๆ และก็เห็นว่าพวกนายพรานต่างมีความคิดแบบเดียวกัน

“กระต่ายม่านหิมะ 70 เงิน”

เสมียนพูดเสียงดัง ลบความปรารถนาที่พรานคนอื่นจะซื้อจากหลินมู่ก่อนเขา

เขาเสนอราคาต่ำกว่านี้ได้แต่ไม่อยากจะพลาดโอกาสครั้งนี้ไป

‘ดีแล้วที่เด็กคนนี้ไม่ได้ฆ่ากระต่ายเอง มิเช่นนั้นจะต้องทำเสียของแน่’

หลินมู่ตาลุกวาวด้วยความดีใจเมื่อได้ฟังราคาที่เสมียนเสนอ

“ข้าขาย เอาเงินมาให้ข้า”

เสมียนเดินเข้าไปด้านในโรงฟอกและเดินออกมาพร้อมกระเป๋าเงิน เขาให้หลินมู่นับเงินในกระเป๋าเมื่อยื่นกระเป๋าให้และรับกระต่ายม่านหิมะจากหลินมู่ ในขณะที่หลินมู่นับเหรียญ เสมียนก็ตรวจดูร่องรอยคราบบนขนกระต่าย เมื่อพอใจกับคุณภาพของกระต่าย เขาก็เรียกข้ารับใช้มานำมันไปถลกหนัง

เมื่อนับเงินแล้ว หลินมู่ทำเป็นเก็บเงินใส่กระเป๋าเงินตัวเองแต่ก็ย้ายเงินทั้งหมดในแหวนและคืนกระเป๋าเงินให้กับเสมียน จากนั้นหลินมู่ก็หันจะออกจากโรงฟอกหนัง แต่ทันทีที่เขาเดินห่างจากประตูได้ไม่กี่ก้าว เขาก็ได้ยินเสียงคนจากด้านหนัง

“นี่เจ้า หยุดเดี๋ยวนี้”

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด