ตอนที่แล้วตอนที่ 11 : ขายหนังและเขาสัตว์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 13 : ฝึกฝน

ตอนที่ 12 : กลับกระท่อม


หลินมู่ได้กลิ่นหอมหวนโชคมาจากร้านอาหารมากมาย เจ้าของร้านต่างตะโกนราคาอาหารของตัวเองและมีผู้คนยืนอยู่โดยรอบ บ้างก็นั่งเก้าอี้ใกล้กับร้าน บ้างก็กำลังรับประทานอาหารของตน มีอาหารหลายประเภทที่วางขาย มีก๋วยเตี๋ยวเส้นบะหมี่ เนื้อเสียบไม้ย่าง ไก่ทอด ซาลาเปาไส้เนื้อ ซุป และผัก ข้าวผัด ซุปเนื้อตุ๋น และอีกมากมาย

มีร้านน้ำชาอยู่ตามถนนเพื่อให้ผู้คนได้ผ่อนคลายกับน้ำชาและขนมง่าย ๆ หลินมู่ซื้อซาลาเปาที่อิ่มท้องและราคาถูกที่สุด เขาต้องเก็บเงินไว้ซื้อข้าวและเครื่องเทศเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องกินแอปเปิ้ลเปรี้ยวทุกวัน เขาไม่มีแม้แต่เกลือให้ปรุงเนื้อสัตว์ที่เขาจับได้ด้วยซ้ำไป ดังนั้นเขาจึงต้องมาหาซื้อเครื่องเทศในเมือง

หลินมู่เดินไปยังร้านที่ขายซาลาเปาและจ่าย 3 ทองแดงซื้อซาลาเปาไส้เนื้อสองลูก เขานั่งบนม้านั่งใกล้ ๆ กินซาลาเปาและมองผู้คนในเมือง เขาคิดถึงเมืองมากหลังจากผ่านมาสามวัน แม้ว่าวันที่ผ่านมาจะนับว่าตื่นเต้นจากเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้แหวนประหลาดมาครอง

หลังจากกินซาลาเปาจนหมด เขาอยากจะไปหาว่ามีพ่อค้าคนใดจะมาที่เมืองในสัปดาห์หน้าเพื่อที่เขาจะได้ขายกล่องไม้หอม

‘ไปที่ร้านน้ำชาดีกว่า ไปดูว่าพวกพ่อค้าจะมาเมื่อไหร่’

คนส่วนใหญ่ชอบไปร้านน้ำชาเพื่อดื่มชาและซุบซิบนินทาเรื่องชาวบ้าน มันคือสถานที่ที่ดีที่สุดในการหาข่าว เพราะคนส่วนใหญ่มักจะตอบคำถามมาง่าย ๆ แบบไม่สงสัย ถ้าหากโชคดีพอก็อาจจะได้ยินเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปในเมือง หรือเรื่องอุบายที่เจ้าหน้าที่กำลังวางแผนหรือว่าพ่อค้าคนไหนที่ถูกลงโทษเพราะฉ้อโกง เรื่องเช่นนี้ถูกพูดเพื่อเติมเต็มความบันเทิงและความสะใจของพวกเขา

หลินมู่เดินไปยังร้านน้ำชาที่นับว่านิยมและมองหาเก้าอี้ว่างนั่ง ที่นี่มีคนอยู่แน่น เขามองอยู่ครู่หนึ่งและเจอโต๊ะที่มีเก้าอี้ว่างอยู่หนึ่งตัว เขาจ่ายสองทองแดงสั่งชาจากคนในร้าน บนโต๊ะมีอยู่สามคนที่นั่งคุยกันอยู่ก่อนแล้ว

คนที่นั่งบนโต๊ะเหลือบมองเขาไม่นานก่อนจะกลับมาคุยกันต่อ คนในร้านนำถาดชาสี่ถ้วยและกาน้ำชามาให้ เขาวางหนึ่งถ้วยชาที่หน้าแต่ละคนและรินชาก่อนจะเดินไปบริการลูกค้าคนอื่นในร้าน

ชาในถ้วนยังคงร้อนขึ้นควัน มันปล่อยกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ทำให้รู้สึกสงบ หลินมู่หยิบถ้วยชาขึ้นมาเป่าก่อนจะจิบของเหลวสีเขียวอ่อนลงไป ผู้คนส่วนใหญ่พูดคุยกัน มีบางคนที่นั่งเงียบ บางคนก็ส่งเสียงดังจนได้ยินถึงอีกฟากของร้านชา แต่ก็ไม่มีผู้ใดใส่ใจ

คนที่นั่งบนโต๊ะเดียวกับหลินมู่คุยกันด้วยเสียงตามปกติ และหลินมู่กำลังฟังทุกอย่างที่พวกเขาพูด ส่วนใหญ่นั้นเป็นยเรื่องชีวิตประจำวัน เรื่องงาน ไม่ก็ครอบครัวของพวกเขา ซึ่งเรื่องส่วนใหญ่ก็มิได้สลักสำคัญอะไร จนกระทั่งเขาได้ยินเรื่องที่ทำให้ต้องเงี่ยหูฟัง

“เจ้ารู้ไหมว่าเมื่อวานเจ้าเมืองโกรธมาก?”

“อะไรกัน? เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ?”

“ดูเมหือนว่าเจ้าเมืองจะทำของสำคัญหายแล้วก็โกรธจนทำของในตำหนักพังไปหลายอย่าง เหล่าข้ารับใช้กับเจ้าหน้าที่ในตำหนักได้ยินเสียง แต่พอภรรยาเจ้าเมืองมา เขาก็ใจเย็นแล้วหยุดอาละวาด”

คนที่สามที่นั่งตรงข้ามหลินมู่ถามด้วยความสงสัย

“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร?”

“น้องชายเมียข้าทำงานเป็นข้ารับใช้ตำหนักเจ้าเมือง ข้าบอกเลยว่านี่เรื่องจริง”

ชายที่ถามยังคงทำหน้าสงสัย แต่ก็ให้อีกฝ่ายพูดต่อ

“เจ้าเมืองจะต้องเสียของสำคัญมาก ๆ ไปแน่ถึงได้อาละวาดขนาดนั้น เพราะเขาเป็นคนใจเย็นนะ”

“ทำหายหรือถูกขโมยไปล่ะ? ข้าว่าคงถูกขโมยล่ะ มิเช่นนั้นถ้าทำหายในตำหนักก็คงหาเจอไปแล้ว”

ชายทั้งสามพูดคุยกันโดยไม่ใส่ใจโต๊ะรอบข้างเลยว่ากำลังฟังพวกเขาอยู่ เพราะเรื่องที่พวกเขาพูดนี้คือข่าวร้อนหอมหวานทีเดียว ไม่มีเรื่องเล่าจากตำหนักเจ้าเมืองออกมามากนัก และเมื่อมีคนเล่า ทุกคนย่อมอยากจะฟัง แม้แต่หลินมู่เองก็ตั้งใจฟังไม่พลาดสักคำเดียว

“เพราะแบบนี้ ทหารในเมืองก็เลยถูกส่งให้ตามหาของที่เขาโดนขโมยไปสินะ?”

“ก็ใช่น่ะซี่ แต่พวกทหารคงไม่ยอมบอกง่าย ๆ หรอก”

คนหนึ่งที่นั่งโต๊ะถัดจากหลินมู่พูดขึ้นมา

“ดูเหมือนว่าเจ้าเมืองจะส่งกลุ่มเจ้าหน้าที่กับพวกทหารไปทางใต้เมื่อวานตอนเย็นนะ”

“เมื่อวานเย็นรึ? ก็หลังจากที่เขาอาละวาดพอดีน่ะสิ มันเกี่ยวกันหรือไม่?”

บทสนทนาดำเนินต่อไปจนกระทั่งเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น หลินมู่ดื่มชาจนหมดถ้วนเมื่อได้เวลาพอเหมาะ เขาหันไปหาคนที่นั่งบนโต๊ะเพื่อถาม

“พวกท่านรู้หรือไม่ว่าสัปดาห์หน้าพ่อค้าจะมาเมื่อไหร่?”

พวกเขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะหันมามองหลินมู่และตอบ

“คงมาเร็วล่ะนะ เพราะช่วงนี้เจ้าเมืองกำลังซื้อวัตถุดิบหายากเยอะมาก แล้วก็จะเป็นการส่งแอปเปิ้ลจิตขายครั้งแรกด้วย”

“ข้าว่าคงอีกห้าวันล่ะมั้ง ไม่ก็เร็วกว่านั้น”

เมื่อได้คำตอบที่ต้องการ หลินมู่ดีใจและขอบคุณพวกเขาที่บอกข่าว เขาลุกขึ้นเพื่อไปหาซื้อสิ่งที่ต้องการ เขาเดินไปตามถนนไปยะงร้านที่ขายเมล็ดข้าว เขาจ่าย 10 ทองแดงซื้อข้าวหนึ่งกิโลกรัมก่อนจะไปที่ร้านเครื่องเทศ เขาซื้อชุดเครื่องเทศที่มีพริกไทยดำ อบเชย ยี่หร่า กานพลู เครื่องเทศรวม จันเทศน์ และเกลือ ทั้งหมดคือสิ่งที่เขาซื้อได้ด้วย 10 ทองแดง เขาเก็บ 5 ทองแดงไว้ซื้อน้ำเต้าเก็บน้ำดื่ม

เขาไม่อยากจะเดินไปที่ลำธารจากกระท่อมครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อดื่มน้ำ เขาหาร้านขายของจิปาถะได้อย่างไม่ยากเย็นและซื้อน้ำเต้าจากร้านนี้ ตอนนี้เลยบ่าย 2 ,าแล้วเล็กน้อย เขาอยากกลับไปที่กระท่อมก่อนฟ้าจะมืดเพื่อที่จะได้ดูกับดักที่วางไว้ อย่างน้อยเขาก็มีข้าวกินเป็นมื้อเย็นแล้ว ถ้าเขาหารังนกในป่าเจอ เขาจะได้กินไข่มันด้วย

เขาแบกถุงข้าวไว้บนหลัง เขาไม่อยากจะเก็บใส่แหวนตรงนี้เพราะเสี่ยงมีคนเห็น เขาเดินออกจากประตูเมืองไปยังรอบนอก เขาผ่านสวนแอปเปิ้ลจิตที่เหล่าคนงานยังทำงานหนักเช่นเดิม แถวรถเทียมม้าที่เคยอยู่กับเหล่าทหารรับจ้างหายไป พวกเขาข้ามเมืองไปทางเมืองอู๋หลิมแล้ว

หลินมู่ก้มหน้าขณะที่เดินผ่านสวนแอปเปิ้ลจิต เขาไม่อยากจะให้ใครสังเกตเห็น เคราะห์ดีที่ไม่มีใครเห็นเขาและเขาก็เดินผ่านสวนแอปเปิ้ลต่อไปยังป่าได้

เขาเดินไปราวครึ่งชั่วโมง ตอนัน้นเองแหวนประหลาดในมือขวาได้สั่นสะเทือน ครั้งนี้เขารู้แล้วว่ามันกำลังจะเกิดอะไรขึ้น เขาเตรียมตัวและไม่ตกใจอีกแล้ว เขาตั้งตัวรอแต่ก็ไม่ถูกดึงไปไหนในครั้งนี้ เขามองรอบ ๆ และไม่เห็นผู้ใดใกล้ ๆ เลย

จากนั้นเขาจึงมองแหวนบนนิ้วด้วยความรู้สึกคุ้นชินแล่นผ่านร่างกาย เขาเห็นรอยแยกเปิดออกตรงหน้า เขาไม่รู้สึกว่าถูกดึงเข้าไปรุนแรงเหมือนครั้งแรก ๆ ที่มือ เขายังสงสัยว่าครั้งนี้เขาจะได้อะไรกลับมาจึงยื่นมือเข้าไปในรอยแยกมิติ รอยแยกนั้นยังคงมืดมิดเช่นเคย และมือของเขาก็รู้สึกเหมือนได้สัมผัสกับวารี

เขาขยับมือไปรอบ ๆ แต่ก็มิพบสิ่งใด เขาขยับมือไปยังทุกมุมของรอยแยกมิติ จากนั้นจึงได้เจอของแข็งใกล้ ๆ กับมุมล่างขวา เขาแตะและพยายามเดาขนาดแต่ก็ขยับมือไม่ได้มาก เพราะมันอยู่ที่ขอบรอยแยกมาก ๆ เขาใช้ความคิดให้มันเก็บอยู่ในแหวนและดึงมือออกมาจากรอยแยกมิตินี้

รอยแยกมิติปิดทันทีที่เขาดึงมือออก หลินมู่อยากเห็นสิ่งที่เขาได้มาแต่ก็รอจนกว่าจะถึงกระท่อม เพราะเขาไม่อยากเสี่ยงให้คนที่เดินทางผ่านไปผ่านมามาเห็นเขาเข้า เขามาถึงกระท่อมในอีกครึ่งชั่วโมงให้หลัง เขาใช้ความคิดให้ของในรอยแยกมิติออกมาและมันก็ปรากฏอยู่ในมือ

ครั้งนี้ มันเป็นสิ่งของที่ใหญ่กว่าที่เขาคิดไว้มาก และทันทีที่สัมผัสได้ถึงน้ำหนักของมัน มันก็หลุดออกจากมือเขาหล่นไปเกือบโดนนิ้วหัวแม่เท้า เขามองและเห็นว่ามันเป็นหินก้อนใหญ่พอ ๆ กับเขาครึ่งตัว เขาโชคดีมากที่ขาเขาไม่ได้ใกล้กับจุดที่มันหล่นลงมา มิเช่นนั้นเท้าของเขาจะต้องหักแน่

เขามองหินก้อนใหญ่และไม่พบความแปลกประหลาดของมัน เขาแตะหินและมองดูทุกด้านแต่ก็พบว่ามันเป็นเพียงแค่ก้อนหินธรรมดาที่พบเจอได้ทุกที่ ยกเว้นแต่ขนาดที่ใหญ่เช่นนี้ ถึงอย่างนั้นเขาก็เก็บมันไว้ในแหวนเพราะคิดว่าถ้ามันมาจากรอยแยก มันจะต้องเป็นสิ่งที่มีความพิเศษ แต่เขาไม่รู้ว่ามันพิเศษอย่างไรในเวลานี้

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด