ตอนที่แล้ววันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0114
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปวันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0116

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0115


บทที่ 37 ชายแดนใต้ (1)

* * *

ชายแดนใต้

เมื่อหนึ่งปีก่อน มีสงครามใหญ่เกิดขึ้นที่นั่น

อันที่จริง สถานการณ์ดูคล้ายกับการตั้งรับมากกว่าสงคราม

เขตแดนความตายแผ่ขยายจากทางใต้มาจนถึงชายแดน

นั่นเป็นสัญญาณว่า ปีศาจที่สร้างเขตแดนดังกล่าว ตื่นจากการหลับใหลอันยาวนานและย่างกรายเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ทุกคนที่ทำงานแถบชายแดนใต้ ต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังตลอดหลายสิบปีเพื่อไม่ไปกระตุ้นปีศาจ

แต่ความพยายามที่ผ่านมาต้องสูญเปล่า เพราะผลการค้นคว้าบ่งชี้ว่า ปีศาจจะยังคงลืมตาตื่นต่อให้ไม่ถูกยั่วยุ

ดังนั้น จักรวรรดิจึงออกคำสั่งให้มีการยั่วยุ เพื่อชิงเปิดฉากจู่โจมปีศาจแบบเต็มกำลัง

พฤติกรรมดังกล่าวอาจทำให้ปีศาจตื่นขึ้นเร็วกว่ากำหนด แต่ในเมื่อมันต้องตื่นขึ้นมาอยู่ดี ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องประวิงเวลา

หรือต่อให้ล้มเหลว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ลองทำ

ดูเหมือนว่าจักรวรรดิจะคิดแบบนั้น

เมื่อราวหนึ่งปีก่อน กองทัพนิรนามปรากฏตัวที่ชายแดนทิศใต้พร้อมกับยุทโธปกรณ์เต็มอัตราศึก

กลุ่มคนที่ทำข้อตกลงกับจักรวรรดิ สวมเครื่องแบบทหารที่ทำจากวัสดุไม่ทราบชนิด มาพร้อมกับปืนใหญ่ที่สร้างจากเหล็กหล่อยาว

หลักการทำงานเหมือนกับปืนใหญ่ของจักรวรรดิ แต่อาวุธทั้งเก้าชิ้นพวกเขามีพลังทำลายมหาศาลจนจักรวรรดิเทียบไม่ติด สามารถยิงไปถึงหมอกสีดำที่อยู่ห่างไกลอย่างง่ายดาย

แม้จะไม่สร้างความเสียหายใดกับปีศาจ แต่ก็ทำให้ปีศาจส่งเสียงคำรามและหนีเข้าไปในหมอกดำ

ฟังถึงตรงนี้ ฉันพอจะเดาได้ว่าปีศาจคงไม่ทำอะไรต่อ

แต่แค่นั้นก็มากพอจะทำให้ขวัญกำลังใจของเหล่าจอมเวทหดหาย

เพราะพวกเขามองเห็นสิ่งที่อยู่ในหมอกเต็มสองตา

มังกรที่เกิดมาเป็นนิรันดร์ชน และเลือกจบชีวิตของตน

นิรันดร์ชนผู้ปลิดชีพตัวเองเพื่อติดตามบิดา กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความตาย

แค่นึกถึงการดำรงอยู่ของมัน ผู้คนต่างก็อกสั่นขวัญแขวน

แค่นั้นก็บั่นทอนกำลังใจมหาศาล

ในเวลาถัดมา กองกำลังปริศนาถอนตัวกลับเพราะไม่มีอะไรให้ทำต่อ

เหล่าจอมเวทตำหนิพฤติกรรมอันผลีผลามของจักรวรรดิ เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวทำลายสมดุลของชายแดนใต้ ไม่ต่างอะไรกับการขัดขวางงานค้นคว้าอันทรงคุณค่าของเหล่าจอมเวท

จอมเวทไม่ใช่พวกยึดถือความจงรักภักดี พวกเขาสนใจเพียงการไขปริศนาของรูน

“…มีแค่นี้หรือ”

“ใช่”

ลิลี่กับฉันสนทนาเรื่องนี้ระหว่างทาง ทั้งหมดฟังมาจากจอห์นนี่ที่ยังคงปักหลักอยู่ในหมู่บ้าน

ซอจีอาเคยเล่าตัวตนที่แท้จริงของปีศาจให้ฟังแล้ว

แต่ข้อมูลใหม่ที่ฉันได้ทราบจากวิดีโอนั่นก็คือ

“…OWIC ร่วมมือกับจักรวรรดิ”

ฉันค่อนข้างมั่นใจ ว่าลิลี่ไม่เข้าใจ

ข้อมูลดังกล่าวน่าสนใจสำหรับฉัน เพราะช่วยให้พิจารณาได้ว่า OWIC เกี่ยวข้องกับต่างโลกมากน้อยแค่ไหน

ถึงตรงนี้ ฉันมีคำถาม

จวบจนปัจจุบัน ประตูมิติเปิดมาแล้วสามปี

แต่ OWIC เกี่ยวข้องกับต่างโลกมานานกว่านั้น หรืออย่างน้อยก็มีข้อมูลของต่างโลกนานกว่านั้น

“องค์กรที่ชื่อ OWIC น่ะ”

ขณะฉันใช้ความคิด ลิลี่เปิดปาก

“เป็นคนของโลกฝั่งเจ้าจริงหรือ”

“…?”

“คนของโลกเจ้า เข้ามาในโลกของข้าได้ใช่ไหม”

“…ใช่”

ลิลี่จ้องฉันที่นั่งบนหลังเรลิกซิน่า

“คนของโลกข้า ก็อาจจะข้ามไปโลกของเจ้าได้เหมือนกัน”

ก็ไม่ผิด เหมือนกับซอจีอา

“…ทำไมไม่ลองคิดแบบนี้บ้าง บางทีโลกของข้าอาจจะข้ามไปทางโลกของเจ้าได้ก่อน”

“ฟังดูเข้าท่า”

เป็นประเด็นใหม่ที่เพิ่งนึกถึง ไม่เคยเอะใจกับเรื่องนี้มาก่อน

แต่สำหรับฉัน จะอย่างไหนก็ไม่สำคัญ แค่ปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามครรลอง

ขอแค่ไม่พยายามทำลายโลก ฉันก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ

แต่ประเด็นนี้น่าสนใจดี ต้องจดเอาไว้ เผื่ออนาคตอาจได้ใช้ประโยชน์

พวกเราวิ่งผ่านทุ่งหญ้าอีกครั้ง สายลมกระโชกพัดมาจากทิศใต้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สายลมที่เต็มไปด้วยความชื้นและชุ่มฉ่ำ ตัวตนของมันคือลมใต้

“…ชื้นมาก!”

ตามที่ลิลี่บอก

ฉันสัมผัสถึงลมชนิดนี้ได้ตั้งแต่ออกจากเบสแคมป์

ทว่า ในการสำรวจครั้งก่อนๆ ไม่เคยมี

หรือจะเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงทางทิศใต้?

หรือจะเกี่ยวกับการที่นักบุญหญิงกำลังมุ่งหน้าลงใต้?

“นี่… ลิลี่”

“อื้อ”

“ฉันคิดว่าครั้งนี้เริ่มอันตรายจริงๆ แล้ว”

ลิลี่ขมวดคิ้วราวกับกำลังจ้องหน้าคนเมา

หัวตานี่ไปกระแทกอะไรมา?

“เจ้าไม่รู้สึกแปลกๆ กับคำพูดตัวเองบ้างหรือ”

“ยังไง?”

“ทำยังกับว่า การผจญภัยทั้งหมดที่ผ่านมาไม่อันตราย”

“…”

คำตอบที่ไม่คาดคิดทำให้ฉันอมยิ้ม

“ก็ไม่เชิง แต่ครั้งนี้ต่างออกไป ฉันมีลางสังหรณ์”

“แล้วยังไง?”

“ก็ต้องเพิ่มความระมัดระวัง เซลฟี”

「ขอรับนายท่าน」

หิ่งห้อยสีเขียวผุดขึ้นจากพื้นและกลายเป็นเสือร่างยักษ์

เสือส่องแสงสีเขียวกำลังวิ่งเทียบเคียงพวกเรา

“ขอแผนที่”

เวลาเดียวกัน แผนที่โฮโลแกรมถูกฉายรอบตัวฉัน

ค่อนข้างน่าประทับใจที่ยังสามารถดูแผนที่สามมิติขณะขี่ม้า

แผนที่ของเซลฟีถูกตัดมาเฉพาะทิศทางที่พวกเรากำลังมุ่งหน้าไป

“ดูไกลกว่านี้ไม่ได้แล้ว?”

“ไกลกว่านั้นไม่ใช่ถิ่นของเรา ภูตวิญญาณเข้าไปไม่ได้”

“…น่าเสียดาย”

ระหว่างการสนทนา พวกเราขี่ม้าผ่านม่านบาเรียแผ่นบางที่ดูไม่มีพิษภัย

แม้บาเรียส่วนใหญ่จะอันตรายเพราะอัดแน่นด้วยพลังเวท แต่ก็มีบาเรียอยู่จำนวนหนึ่งที่ไร้พิษสง

หรืออย่างน้อย นั่นคือสิ่งที่ฉันเข้าใจ

ทันทีที่พ้นกำแพง พวกเราเห็นพื้นดินสีดำ

ฉันกับลิลี่หยุดม้าทันที

“…ที่นี่สินะ”

อันที่จริง ฉันตระหนักได้จากจมูกและผิวหนังก่อนดวงตา ร่างกายเปียกชื้นยังกับอยู่ใต้น้ำ

ไม่สิ ตอนแรกคิดว่าเป็นความชื้น แต่ความจริงแล้วมันคือมวลอากาศที่หนักอึ้ง

สัมผัสได้ว่าแรงโน้มถ่วงหนักหน่วงขึ้น และอาจไม่ได้คิดไปเอง

กลิ่นเหม็นฉุนทิ่มแทงโพรงจมูก ช่วงแรกรู้สึกเจ็บเหมือนมีแผล แต่ไม่นานก็เริ่มคุ้นชิน

บรรยากาศคล้ายกำลังสูดควันจากการเผาไม้เปียก

ฉันแหงนหน้าขึ้นท้องฟ้า

แทบมองไม่เห็นพระอาทิตย์ เหลือเพียงเงาลางด้านหลังเมฆดำหนาทึบ

สายฟ้าสีแดงเข้มแลบผ่านช่องว่างเมฆ

แต่กลับไม่มีเสียง

ฉันก้มหน้าและมองไปยังเส้นขอบฟ้าในจุดห่างไกล

มองไม่เห็นเส้นขอบฟ้า ข้างหน้ามีกลุ่มหมอกสีดำแผ่ขยายกว้างไกลซ้ายขวา

ดูคล้ายปุยสำลีที่ถักจากด้ายโลหะ หรือไม่ก็คล้ายเมฆดำบนท้องฟ้าร่วงลงมาบนพื้น

ไม่ว่าคำเปรียบเปรยใดจะใกล้เคียงกว่า แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่า ฉากตรงหน้าดูไม่ปกติ

นอกเหนือจากพื้นผิวคล้ายกลุ่มควัน การที่มันหยุดนิ่งสมบูรณ์มอบความรู้สึกไม่จริง ราวกับไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลก

หันหลังกลับไป เซลฟียังคงยืนอยู่ แต่ผ่านกำแพงมาไม่ได้

“เซลฟี?”

ดูเหมือนคำพูดของฉันจะส่งไปไม่ถึง และฉันไม่ได้ยินเสียงเซลฟีอีกต่อไป

“…ดินแดนแห่งความตาย”

คำนิยามของลิลี่นั้นถูกต้อง

ที่นี่คือดินแดนแห่งความตาย

การดำรงอยู่ที่เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตอย่างเซลฟี ย่อมมิอาจย่างกรายเข้ามา

ก้มมองเข็มชี้ทองคำ ปลายเข็มยังคงตรงดิ่งลงใต้ แต่เอียงไปทางซ้ายเล็กน้อยหากเทียบกับของเดิม

ยังต้องเดินทางอีกพอสมควร

ฉันเงยหน้าขึ้น

ฝั่งขวาเป็นที่ราบ ฝั่งซ้ายเป็นภูมิทัศน์อันซับซ้อนประกอบด้วยภูเขาหิน เนิน และทางแคบ

การที่ทั้งหมดมีสีดำยิ่งทำให้ดูลึกลับ

ถัดมาไม่นาน พวกเรามองเห็น

“นั่นมัน… หอคอย?”

บนยอดเขาที่ค่อนข้างสูงมีหอคอยหนึ่งหลัง

ยอดหอคอยมีดวงตาเวทมนตร์กำลังลุกโชนพลางกวาดไปรอบทิศ คล้ายกับหมกมุ่นค้นหาบางสิ่ง

…เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

ไม่สิ แค่บังเอิญล่ะมั้ง

ฉันส่ายหน้าพลางปีนกลับขึ้นหลังเรลิกซิน่า

“ไปกันเถอะ”

“จะไปที่นั่น?”

“จะปล่อยผ่านได้ยังไง”

ลิลี่ชำเลืองนักบุญหญิง

ไม่ว่าจะได้ยินอะไร เธอก็เอาแต่แหงนมองฟ้าด้วยดวงตากลมกลึง

ไม่มีใครเดาได้ว่า นักบุญหญิงกำลังคิดสิ่งใด

พวกเราเร่งความเร็วจนเข้าใกล้หอคอยภายในเวลาไม่นาน

หอคอยใหญ่กว่าที่คิดไว้

ถึงจะเป็นโบราณสถานที่ไม่สูงมาก แต่ก็ไม่ต่ำกว่ายี่สิบเมตร

“เรลิกซิน่า”

“กรร…”

“รออยู่ที่นี่ ฝากดูแลเพื่อนด้วยนะ”

“กรรรร…!”

“หือ… นี่แกกำลังข่มเด็กใหม่?”

เรลิกซิน่าหันไปขู่ม้าที่ลิลี่กับนักบุญหญิงนั่งมา เห็นได้ชัดว่ามีนิสัยนักเลง

พวกเราซ่อนม้าไว้หลังหินใหญ่ และหุ้มด้วยผ้าคลุมลายพราง

“นักบุญหญิง จะมาด้วยกันไหม”

นักบุญหญิงพยักหน้ารับ และฉันไม่มีเหตุผลให้ต้องห้าม

หากเธอมีแนวโน้มที่จะเป็นภาระ ฉันจะอธิบายให้เข้าใจเอง

พวกเราขยับเข้าใกล้หอคอยอย่างระมัดระวัง นักบุญหญิงตามมาเร็วกว่าที่คิด

ไม่นานก็มาถึงผนังหอคอย

โชคดีที่ดวงตาบนยอดหอคอยสนใจหมอกสีดำเป็นส่วนใหญ่ จึงตรวจไม่พบพวกเรา

“นักบุญหญิง รออยู่ที่นี่ก่อน เราจะกลับมาหลังจากดูลาดเลา”

เราสองคนเดินเข้าไปหลังจากทิ้งท้าย

ที่นี่ไม่มีประตู มีเพียงทางเข้าเปิดโล่ง

ฉันก้าวเข้าไปด้วยความโล่งใจที่ไม่ต้องกังวลเสียงบานพับเสียดสี

ข้างในค่อนข้างมืด แต่มองเห็นแสงจากไกลๆ

เมื่อสายตาเริ่มปรับสภาพ ฉันพบว่านั่นคือคบเพลิง

“คบเพลิง? หรือเวทมนตร์?”

ลิลี่พึมพำ

ฉันส่ายหน้า

“มีกลิ่นน้ำมัน… ร่องรอยมนุษย์”

แปลกมาก

เท่าที่ทราบมา ชายแดนทิศใต้อยู่ห่างจากหอคอยแห่งนี้พอสมควร

พวกเราเดินเข้าไปหลังจากสบตากัน

ทั้งที่มีร่องรอยมนุษย์ แต่กลับไม่มีร่องรอยการอยู่อาศัย ภายในหอคอยหินมีเพียงเสียงสายลมดังก้อง

ผ่านทางเดินยาวเหยียด ข้างในมีห้องมากกว่าที่คิดไว้ แต่เกือบทุกห้องว่างเปล่า

หลังจากสำรวจนานกว่ายี่สิบนาที

บนชั้นสอง พวกเราได้ยินเสียงของบางสิ่ง

ฉันกับลิลี่ตั้งใจเงี่ยหูฟังทันที

แม้หูลิลี่จะไม่เลิศเลอเหมือนเอลฟ์ แต่ก็เป็นเผ่าที่ค่อนข้างหูไว และเสียงนั้นก็ดังพอให้ได้ยิน

“ทาห์—”

“เฮือก!”

เสียงแตกพร่าและชวนให้ขนหัวลุก

ลิลี่สูดลมหายใจยาว

ยากจะให้เชื่อว่า เสียงครวญครางที่ทะลวงเข้าไปในหัวใจคนฟัง จะเป็นเสียงของมนุษย์

ตรงกันข้าม มันฟังดูคล้ายกับเสียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายก่อนจะถูกตัดขาด

พวกเรานึกทบทวนอีกครั้ง ว่าที่นี่คือดินแดนแห่งความตาย

“…ซอมบี้!”

ลิลี่ได้คำตอบอย่างรวดเร็ว

ฉันเลื่อนการด่วนสรุปออกไปและตั้งใจฟัง

“ทาห์…”

“ทาห์…”

นี่ไม่ใช่เสียงซอมบี้

เมื่อชะโงกหัวออกไป ฉันเห็นสองบุคคลที่แต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีดำกำลังยืนหันหลังให้

“ทาห์…”

เดี๋ยวนะ

“…?”

ฉันปิดกั้นประสาทสัมผัสทั้งหมดและเพ่งสมาธิอยู่กับการฟังเสียง

“ท่านศาสตราจารย์…”

“ไหนครั้งนี้… ท่านบอกว่าถ้าช่วยทำวิทยานิพนธ์… พวกเราจะได้ใบปริญญา…”

“ท่านบอกว่า… จะเสนอชื่อพวกเรา…”

“ข้าพยายามช่วยแล้ว แต่ถูกทางหอคอยตีกลับ”

“…”

ลิลี่กับฉันอดมองหน้ากันไม่ได้

นั่นไม่ใช่เสียงซอมบี้

“เรียนมาห้าสิบปีแล้วยังไม่ได้ใบปริญญา… นี่มันเรื่องบ้าอะไร…”

สหาย ของแบบนั้น ในเกาหลีใต้มีขายเพียบ…

______________________

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (4/4)

ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:

https://www.facebook.com/bjknovel/

หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด