ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 117 สังหารจอมยุทธ์พลังปราณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 119 เจตนาสังหารที่ซ่อนอยู่

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 118 ผลประโยชน์ที่น่าพอใจ


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 118 ผลประโยชน์ที่น่าพอใจ

แปลโดย iPAT  

กระทั่งจอมยุทธ์ขั้นสาม เตียวเฟย ก็ยังหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ กับคู่ต่อสู้เช่นนี้ เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะกระตุ้นใช้ยันต์ เขารู้สึกโล่งใจมากที่ไม่ต้องต่อสู้กับหลี่ฉิงซาน ภายใต้การนำของทูตชุดดำ คนทั้งสามเดินขึ้นบันไดยาว เตียวเฟยและเฉียนหรงจื่อเดินตามหลังหลี่ฉิงซานตามสัญชาตญาณ หลังจากนั้นพวกเขาก็พบกับผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์มากกว่าสิบคน ท่ามกลางคนกลุ่มนี้มีเด็กหนุ่มสาวอายุยี่สิบอยู่บ้าง นอกจากนั้นก็เป็นคนวัยกลางคนและคนสูงอายุ

หลี่ฉิงซานประเมินความแข็งแกร่งของพวกเขาอย่างเงียบๆ มีจอมยุทธ์ขั้นสามหลายคน จอมยุทธ์ขั้นสองและขั้นสี่สองสามคน เขาไม่เห็นจอมยุทธ์ขั้นห้าแม้แต่คนเดียว ข้อสรุปที่เขาได้คือเขาไม่จำเป็นต้องจดจำคนเหล่านี้

ระดับการบ่มเพาะเป็นเครื่องมือชี้วัดของผู้บ่มเพาะ ก่อนที่หลี่ฉิงซานจะรู้ตัว เขาก็เรียนรู้วิธีการตัดสินนี้เรียบร้อยแล้ว เพียงเมื่อเขาเดินมาอยู่ตรงหน้าจ้าวจื่อป๋อและโจวเหวินปิงเท่านั้นที่เขาให้ความสนใจเป็นพิเศษ กลิ่นอายของคนทั้งสองทรงพลังจนไม่สามารถเพิกเฉย

จ้าวจื่อป๋อมองประเมินคนทั้งสามโดยเฉพาะหลี่ฉิงซาน เขายิ้มเล็กน้อย “ยินดีด้วย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าจะเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ พวกเจ้าทำได้ดีมาก อีกสักครู่จะมีงานเลี้ยงต้อนรับ เสี่ยวเก้อ พาพวกเขาไปเก็บของ”

“รับทราบ!” คนที่ถูกเรียกว่าเสี่ยวเก้อตอบกลับสั้นๆแต่ทรงพลัง เขามีใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์แต่มีหนวด นอกจากนี้เขายังดูค่อนข้างตลกแต่น่ารัก

โจวเหวินปิงกล่าว “ผู้บัญชาการจ้าว ข้าจะไม่รบกวนท่านอีก ลาก่อน”

จ้าวจื่อป๋อขอร้องให้โจวเหวินปิงอยู่ต่ออย่างไม่จริงใจ สุดท้ายโจวเหวินปิงก็เดินลงบันไดไป ก่อนที่โจวเหวินปิงจะจากไป เขายังกล่าวกับเด็กใหม่ทั้งสาม “โอ้ ถูกต้อง อย่าลืมรายงานตัวกับทางการประจำพื้นที่”

หลังจากทั้งหมดเจ้าเมืองเจียเผิงเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในพื้นที่ ดังนั้นผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์คนใหม่จึงต้องรายงานตัวต่อทางการ ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์เป็นผู้ตรวจสอบการทำงานของขุนนางแต่พวกเขาก็ไม่สามารถขัดคำสั่งของเจ้าเมือง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและกัน

อย่างไรก็ตามแม้โจวเหวินปิงจะกล่าวกับคนทั้งสามแต่ทุกคนสามารถบอกได้ว่าเขาพูดกับหลี่ฉิงซานเป็นพิเศษ

ภายใต้การนำทางของเสี่ยวเก้อ ในที่สุดหลี่ฉิงซานก็เข้าสู่ส่วนลึกของหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ มันเต็มไปด้วยอาคารที่หรูหรา มันดูเหมือนพระราชวังมากกว่าที่ทำงานของขุนนาง ทูตชุดดำที่พวกเขาพบระหว่างทางไม่ทำตัวเย่อหยิ่งอีกต่อไป พวกเขาสุภาพและถ่อมตัวมาก

เสี่ยวเก้อเป็นคนช่างเจรจา เขาแนะนำสถานที่ต่างๆตลอดทางโดยกล่าวถึงเรื่องราวหรือเกล็ดความรู้เล็กๆน้อยๆให้เข้าใจได้ง่าย เขายังถามหลี่ฉิงซานว่าเด็กหนุ่มสามารถบรรลุความแข็งแกร่งในปัจจุบันได้อย่างไร

“มันเป็นเรื่องบังเอิญ” หลี่ฉิงซานยิ้ม เขารู้แล้วว่าชื่อจริงของเสี่ยวเก้อคือเก้อเจี้ยน ในความเป็นจริงเขาอายุเกินสามปีไปแล้ว เหตุผลที่เขาสุภาพเพราะความแข็งแกร่งที่หลี่ฉิงซานแสดงออกมาก่อนหน้านี้ แม้เก้อเจี้ยนจะระวังตัวแต่การได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมยังเป็นความจริงที่ช่วยปลอมโยนจิตใจของเขา

เก้อเจี้ยนกล่าว “ปัจจุบันมีผู้คนไม่มากที่บ่มเพาะร่างกาย เคล็ดวิชาการบ่มเพาะร่างกายในหอตำราแทบถูกทิ้งร้าง ไม่ค่อยมีผู้ใดหยิบมันมาอ่าน ข้าไม่เคยคิดว่ามันจะทรงพลังถึงเพียงนี้ เจ้าทำให้ข้าอยากลองฝึกบ้าง เจ้าต้องสอนข้าเมื่อข้าพยายามฝึกมัน”

มันเป็นเพียงบทสนทนา แม้ผู้บ่มเพาะร่างกายจะแข็งแกร่งเท่ากับผู้บ่มเพาะพลังปราณ แต่มันก็มีข้อเสียมากมาย นั่นทำให้เคล็ดวิชาการบ่มเพาะร่างกายส่วนใหญ่สูญหายไปตามกาลเวลา อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าหลี่ฉิงซานไม่จำเป็นต้องเดินตามเส้นทางเดียวกับคนเหล่านั้น

ในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงส่วนลึกของยอดเขา เก้อเจี้ยนนำคนทั้งสามเดินผ่านประตูหินหลายบาน ประตูหินแต่ละบานถูกสลักบางสิ่งเอาไว้ แม้แต่สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณก็ไม่สามารถเปิดมัน

เมื่อเข้าไปถึงด้านใน เก้อเจี้ยนก็หยิบชุดเครื่องแบบของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ให้สมาชิกใหม่ทั้งสาม จากคำกล่าวของเก้อเจี้ยน หลี่ฉิงซานได้เรียนรู้ว่ามันทำมาจากผ้าไหมสีเข้มที่สามารถกันไฟและน้ำ มันแข็งแกร่งพอที่จะหยุดลูกธนู กล่าวได้ว่านี่เป็นเสื้อผ้าที่ดีที่สุดที่เขาเคยสวมใส่แม้จะรวมทั้งสองชีวิตเข้าด้วยกันแล้วก็ตาม แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจมันมากนัก ด้วยความแข็งแกร่งที่ได้รับจากหมัดปีศาจวัว เขาไม่เคยกลัวลูกธนูหนือหน้าไม้ใดๆ

หากนั่นคือผลประโยชน์ทั้งหมดที่ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์มอบให้ มันคงเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง แต่เตียวเฟยและเฉียนหรงจื่อกลับไม่แสดงความผิดหวังออกมา พวกเขาถือชุดเครื่องแบบราวกับมันเป็นสมบัติล้ำค่า

เฉียนหรงจื่อมีความสุขมาก หากนางสวมชุดเครื่องของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์กลับไปที่เมืองวายุบรรพกาล ผู้คนที่นั้นจะต้องแสดงความเคารพนาง ทุกคนที่เคยทำให้นางขุนเคืองและดูถูกนางจะต้องชดใช้

ในความเป็นจริงความเกลียดชังที่นางมีต่อครอบครัวของนางยังรุนแรงกว่ากรณีของหลี่ฉิงซานอยู่มากนัก

สิ่งที่เก้อเจี้ยนนำออกมาหลังจากนั้นดึงดูดสายตาของคนทั้งสามเป็นอย่างมาก ครั้งนี้กระทั่งหลี่ฉิงซานยังรู้สึกสนใจเพราะมันคือกระเป๋าร้อยสมบัติที่หรูหรา มันแตกต่างจากกระเป๋าร้อยสมบัติขอทานของพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด

เก้อเจี้ยนมอบกระเป๋าร้อยสมบัติให้ทั้งสามคน “สิ่งที่อยู่ภายในล้วนเป็นของขวัญต้อนรับสมาชิกใหม่”

หลี่ฉิงซานถ่ายทอดพลังปราณเข้าไปและสัมผัสได้ถึงพื้นที่มิติที่อยู่ภายใน มันมีขนาดเท่ากับกล่องแต่มันใหญ่กว่ากระเป๋าร้อยสมบัติที่เขามีอยู่ถึงสิบเท่า มันสามารถเก็บอาวุธขนาดใหญ่ได้อย่างไม่มีปัญหา

มีขวดยาอยู่ในกระเป๋าร้อยสมบัติหลายใบ แต่ละใบมีเม็ดยารวบรวมพลังปราณสามสิบเม็ด แน่นอนว่ามันมีคุณภาพสูงกว่าเม็ดยารวบรวมพลังปราณทั่วไป นอกจากนี้ยังมียันต์ระดับต่ำอีกสามแผ่น

นี่ทำให้หลี่ฉิงซานค่อนข้างประหลาดใจกับความมั่งคั่งของหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ ผลประโยชน์ที่มาพร้อมตำแหน่งยอดเยี่ยมมาก มันสมเหตุสมผลแล้วที่จอมยุทธ์มากมายจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้เข้าร่วม

เตียวเฟยกับเฉียนหรงจื่อมีความสุขมากหลังจากตรวจสอบผลประโยชน์ที่ได้รับ

อย่างไรก็ตามนั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด เก้อเจี้ยนนำคนทั้งสามเข้าไปในคลังอาวุธ หลังจากผ่านประตูหินสามบาน แสงเจิดจ้าก็ส่องประกายขึ้นและทำให้หลี่ฉิงซานรู้สึกตื่นตาตื่นใจ

คลังอาวุธเก็บอาวุธทุกประเภทเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นดาบ กระบี่ หอก ขวาน ตะขอ หรือตรีศูล อาวุธทุกชิ้นเรืองแสงราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน พวกมันล้วนเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณ

“สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณมากมายนัก!” มันมีจำนวนมากกว่าที่เฉียนหรงจื่อเคยเห็นมาทั้งชีวิต นางมาจากตระกูลเฉียนซึ่งเป็นกองกำลังใหญ่ของเมืองวายุบรรพกาลแต่มันยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับที่นี่

เก้อเจี้ยนอธิบาย “ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเราสังหารศัตรูไปมากมาย อาวุธของพวกเขาถูกนำมาไว้ที่นี่และกลายเป็นสมบัติที่สมาชิกสามารถใช้ผลงานแลกเปลี่ยน”

หลี่ฉิงซานถาม “ผลงานประเภทใด?”

เก้อเจี้ยนอธิบายอย่างอดทน โดยปกติผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์จะสะสางคดีต่างๆเดือนละสามคดี จากนั้นพวกเขาจะได้รับอนุญาตให้ใช้เวลาที่เหลืออย่างอิสระ พวกเขาสามารถบ่มเพาะอยู่บนภูเขาหรือออกไปเล่นสนุกข้างนอก

สำหรับผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่ง ไม่ว่าคนผู้หนึ่งจะทำงานหนักเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถเลื่อนตำแหน่งหากความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่เพียงพอ ดังนั้นเพื่อจูงใจสมาชิก ระบบผลงานจึงถูกสร้างขึ้น เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาสามารถคลี่คลายคดี พวกเขาจะได้รับแต้มผลงานที่สอดคล้องกัน แต้มผลงานสามารถนำไปแลกเปลี่ยนกับเม็ดยา ยันต์ หรือสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณ

ตำแหน่งผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ไม่ได้รับเงินเป็นค่าตอบแทนแต่พวกเขาจะได้รับเม็ดยาคนละสิบเม็ดเสมือนเงินเดือนเพื่อการบ่มเพาะ

เงินเดือนดี สวัสดิการเด่น มีอิสระ และยังมีโบนัส หากไม่นับรวมความจริงที่ว่าผู้บังคับบัญชาไม่ชอบ นี่ก็ถือเป็นงานที่สมบูรณ์แบบ

หลี่ฉิงซานเผยรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัวซึ่งทำให้เฉียนหรงจื่อและเตียวเฟยตัวสั่น

เก้อเจี้ยนกล่าว “ทุกคนสามารถเลือกอาวุธของตน หากพวกเจ้าไม่รู้จะเลือกสิ่งใด ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าเลือกดาบวายุรุ่นมาตรฐาน เอาล่ะ เร็วเข้า ข้ายังต้องพาพวกเจ้าไปที่พัก”

ทั้งสามเริ่มเลือกอาวุธของตน แรกเริ่มหลี่ฉิงซานต้องการเลือกอาวุธหนัก ยิ่งหนักยิ่งดี เขาเลือกขวานสงครามด้ามยาวแต่เขากลับเปลี่ยนใจเมื่อเห็นดาบที่ถูกโอบล้อมด้วยสายลม เขาดึงดาบออกมาจากฝัก มันเป็นดาบที่มีลวดลายคล้ายก้อนเมฆและเรืองแสงเย็นเยียบ เขาสามารถบอกได้ว่ามันไม่เคยถูกใช้งานมาก่อน ตราบเท่าที่ถ่ายทอดพลังปราณให้มัน มันสามารถปลดปล่อยดาบสายลมออกไป โดยพื้นฐานแล้วมันถือเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณระดับต่ำที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีต

เก้อเจี้ยนยกนิ้วโป้งยกย่องการเลือกของหลี่ฉิงซานขณะที่ฝ่ายหลังตอบกลับด้วยรอยยิ้ม เขาพอใจมากกับดาบวายุเล่มนี้ แต่เขาไม่ได้เลือกมันเพราะไม่รู้จะเลือกสิ่งใด หลังจากทั้งหมดอาวุธที่ใช้ควรพิจารณาถึงสถานการณ์ ปัจจุบันเขาไม่จำต้องเผชิญหน้ากับกองทัพใหญ่เหมือนการบุกโจมตีป้อมวายุทมิฬอีกต่อไป

เขาไม่สามารถเก็บอาวุธที่ใหญ่หรือยาวเกินไปไว้ในกระเป๋าร้อยสมบัติและมันก็เป็นเรื่องยากที่จะพกพา หลี่ฉิงซานเคยใช้ดาบมาก่อน ดังนั้นมันจึงเหมาะสมกับเขาในเวลานี้มากที่สุด นอกจากนั้นเขาก็ขาดวิธีโจมตีระยะไกล เขาไม่สามารถใช้ดาบดาวตกกับทุกคนและทุกสถานการณ์ ดังนั้นดาบสายลมจะช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดของเขา เห็นได้ชัดว่ามันเหมาะกับเขามาก

เตียวเฟยและเฉียนหรงจื่อเลือกอาวุธของตนเช่นกัน เตียวเฟยเลือกดาบวายุขณะที่เฉียนหรงจื่อเลือกแส้แยกแม่น้ำ