ตอนที่แล้วEp.461 - ผู้ครองแคว้นเข้าร่วมแก๊ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปEp.463 - เครือข่ายขุนนางเล็ก

Ep.462 - ตัวแทนใหม่


3/3

Ep.462 - ตัวแทนใหม่

ไม่กี่วันต่อมา

ภัยพิบัติสีชาดได้สลายหายอย่างสมบูรณ์

กองทัพเหล่าขุนนางใหญ่ล่าถอยกลับไป เมืองขุนเขาไฟคล้ายกลับคืนสู่ความสงบดั่งในอดีตอีกครั้ง

ดินแดนอิสระที่ถูกทอดทิ้งนี้ เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมเลวร้าย และตั้งอยู่ในสถานที่ห่างไกล เหล่าขุมกำลังต่างๆจึงไม่ค่อยสนใจนัก อีกทั้งเนื่องจากมีนาเซอร์ผู้ครองแคว้นเป็นคนคุม กองกำลังเร่ร่อนต่างๆจึงไม่กล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเมืองๆนี้

อย่างไรก็ตาม ณ ขณะนี้

ไม่มีใครคาดคิด ว่ากองทหารกองใหม่จะออกมาจากเทือกเขาสีชาด และเข้ายึดครองเมืองขุนเขาไฟ

กองทัพนี้ไม่ใช่กองทัพผู้ครองแคว้นหรือเหล่าขุนนางใหญ่  แต่ทุกตนคือเผ่าทรายสีชาด พลังรบโดยรวมแข็งแกร่งมาก

“นับแต่วันนี้ไป เมืองขุนเขาไฟจะกลายเป็นเมืองภายใต้ร่มธงของมังกรคราม!” ฮังอวี่พูดกับเพลิงสีชาด “และฉันขอแต่งตั้งนายให้เป็นขุนนางประจำเมืองนี้! หวังว่านายจะนำเผ่าทรายสีชาดพัฒนาเมืองอย่างเหมาะสม ไม่ทำให้ฉันต้องผิดหวัง!”

เพลิงสีชาดสามารถเข้าครองเมืองได้อย่างง่ายดายโดยไม่เสียเลือดเนื้อ มันเอ่ยด้วยความเคารพทันที “ขอรับ!”

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้

มันเริ่มมาจากในตอนที่กองทัพใหญ่ทั้งหลายล่าถอยไป ฮังอวี่ได้เข้าไปคุยกับนาเซอร์ และเจรจาข้อตกลงกัน สุดท้ายนาเซอร์ยอมขายเมืองขุนเขาไฟแก่เขาในราคา 100 หินคริสตัลม่วง

100 หินคริสตัลม่วงมีค่ามาก

แต่การใช้มันซื้อเมืองขุนเขาไฟ ธุรกิจนี้ไม่ขาดทุน

ข้อแรกก็เพราะเมืองขุนเขาไฟไม่ได้มีขนาดเล็ก แม้มันจะเล็กกว่าหัวเมืองหลักในแดนเหนือ ใต้ ออก ตก และภาคกลาง แต่เมื่อเทียบกับเมืองธรรมดา มันใหญ่กว่าหลายเท่า สามารถสร้างทหารได้เกือบ 10,000 นาย และเนื่องจากตั้งอยู่ในช่องเขานอกเทือกเขาสีชาด สภาพแวดล้อมจึงเต็มไปด้วยอันตราย ง่ายต่อการป้องกัน และยากที่จะถูกโจมตี

ข้อที่สอง เนื่องจากร่างกายและพรสวรรค์ของเผ่าทรายสีชาด ภายใต้สภาพแวดล้อมอันโหดร้ายของเมืองขุนเขาไฟ มันทำให้พวกเขาเหมือนปลาได้น้ำ สามารถรวบรวมกองทัพที่เหลืออยู่ในเทือกเขาได้อย่างรวดเร็ว

ข้อที่สาม ในเทือกเขาสีชาดมีเหมืองและแหล่งทรัพยากรมากมาย  ทหารฝ่ายผลิตเผ่าอื่นไม่สามารถขุดได้ แต่ทหารทรายสีชาดที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมสามารถขุดได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นเผ่าเดียวที่สามารถเริ่มกิจการผลิตในเมืองขุนเขาไฟ

สรุปแล้ว ด้วยราคาเพียง 100 หินคริสตัลม่วง ธุรกิจนี้ไม่ขาดทุนแน่นอน

ฮังอวี่ไม่ได้คำนึงถึงแค่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว เอาจริงๆเขาคำนึงถึงผลประโยชน์ทางกลยุทธ์มากกว่า

เทือกเขาสีชาดนั้นตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นเดียวดาย แม้จะอยู่ห่างจากเมืองธารทะเลทรายแดนเหนือค่อนข้างไกล แต่มันอยู่ใกล้กลับสองเมืองหลักของแดนตะวันตกและแดนใต้

ตอนนี้เขาได้วางหมากไว้ล่วงหน้า ภายหลังหากคิดบุกยึดเมืองหลักในทิศอื่น มันจะมีประโยชน์มาก!

สำหรับนาเซอร์? เมืองขุนเขาไฟนั้นไร้ประโยชน์ ยังมีดินแดนอีกเยอะในมือเขา เช่นนั้นทำไมไม่ขายให้ฮังอวี่เสียเล่า?

......

ณ ฐานมนุษย์ปลา

ซูหยุนปิงนั่งดื่มชาอยู่ในห้อง

โดยมีชาลู่ยืนอยู่เบื้องหน้าเธออย่างเคารพ เขายื่นสัญญาด้วยมือทั้งสองข้าง เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้านาย ตามที่ท่านขอ ผู้ใต้บังคับบัญชาทุกตนได้ลงนามในสัญญานี้แล้ว”

“ดีมาก!”

ซูหยุนปิงวางถ้วยชาของเธอลง เดินออกจากห้อง

เมืองหยุนสุ่ยนับวันยิ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ไม่ด้อยกว่าเมืองเล็กๆทั่วไป

ทุกวันนี้ มีประชากรเผ่าทะเลสูงถึงหลักหมื่นแล้ว ชาลู่ได้ทำการเข้าผนวกกองกำลังผู้เบิกทางอย่างต่อเนื่อง รับผู้เบิกทางเหล่านั้นเป็นลูกน้องตน และมีทั้งหมด 15 ตน

ตอนนี้ทั้ง 15 ตน ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาอย่างเรียบร้อย

ซูหยุนปิงกล่าวว่า “จากนี้ไป ทุกตนคือส่วนหนึ่งของเมืองหยุนสุ่ยอย่างเป็นทางการ ฉันสามารถรับรองได้ว่า ตราบใดที่ทุกตนทำงานได้ดีในเมืองหยุนสุ่ย สิ่งที่เผ่าวายุคลั่งมอบให้พวกนาย ฉันสามารถมอบให้ได้มากกว่า 5 - 10 เท่า!”

ผู้เบิกทางชาวเผ่าวายุคลั่งแสดงท่าทีแตกต่างกันออกไป บางตนไม่พอใจ  บางตนโกรธ บางตนแค้น

ไม่คาดคิดเลย ว่าชาลู่จะแปรพักตร์มาอยู่กับมนุษย์ แต่สายเกินไปแล้วกว่าจะรู้ตัว ไม่มีโอกาสได้หันหลังกลับ เพราะเมื่อครู่ ชาลู่และมนุษย์หญิงที่แสนร้ายกาจนางนี้ บังคับให้พวกเขาเซ็นสัญญาคุณภาพสีม่วง

‘สัญญาวิญญาณเผาไหม้’ มีพลังผูกมัดที่ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้ ด้วยอานุภาพแห่งสัญญานี้ หากพวกเขากล้าเปิดโปงความลับแม้เพียงน้อย หรือกระทำการทรยศหักหลังใดๆ จะถูกเผาไหม้วิญญาณและตายทันที

พูดได้เลยว่า

ตั้งแต่นี้ไป พวกเขาต้องทรยศต่อชาวเผ่าวายุคลั่ง

เหล่าผู้เบิกทางที่ถูกส่งออกมา เริ่มทยอยกลายเป็นกบฏทีละตน ทีละตน

ซูหยุนปิงเห็นความไม่พอใจในดวงตาของตนเหล่านี้ แต่เธอไม่สนใจ เพราะความคับข้องใจมันเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เจ้าพวกนี้แม้ดื้อรั้นแต่เมื่อได้รับการดูแลจากเธอ ก็ยังเต็มใจยอมลงนามสัญญา นี่แสดงว่ากระดูกพวกมันไม่ได้แข็งอย่างที่คิด

ตราบเท่าที่ได้รับผลประโยชน์เพียงพอ อีกฝ่ายจะถูกดูดกลืนเป็นพวกเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลา

ซูหยุนปิงใช้เสน่ห์ถาวรเพื่อควบคุมชาลู่อย่างมั่นคง และใช้ชาลู่รวบรวมผู้เบิกทางจำนวนมาก บวกกับด้วยสัญญาวิญญาณเผาไหม้ที่ฮังอวี่นำมา ก็สามารถผูกมัดผู้เบิกทางเผ่าวายุคลั่งเหล่านี้ได้อยู่หมัด

จากนั้นก็ส่งพวกเขาไปพัฒนาที่ดินและเข้ายึดครองพื้นที่ที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ ยึดครองการขนส่งทางน้ำของประเทศ พัฒนามหาสมุทรที่กองกำลังอื่นไม่สามารถพัฒนาได้ แค่นี้ก็เกินพอแล้วที่จะเพิ่มทรัพยากรให้แก่กลุ่มมังกรฟ้าอย่างต่อเนื่อง

เมื่อได้ม้า(สัญญาวิญญาณเผาไหม้) มาแล้ว ก็ไม่ควรหยุดแค่นี้

ซูหยุนปิงเดินทางไปสำนักข่าวกรองโลกวิญญาณ

ฉูเทียนหัวได้เลือกชาวต่างเผ่ามารอเธอกว่า 30 - 40 ตน

เจ้าพวกนี้รวมไปถึงซัคคิวบัส โทรลล์ และวิญญาณจำแลง แต่ละตนในโลกวิญญาณ ทั้งหมดไม่ใช่สิ่งมีชีวิตอ่อนแอ อย่างน้อยก็สามารถไปถึงระดับขุนนางเล็กหรือสูงกว่าได้

ซูหยุนปิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “จำนวนค่อนข้างมากที”

ฉูเทียนหัวกล่าวอย่างหมดหนทาง “จำนวนผู้รุกรานทั้งหมดที่ถูกจับขังในเจียงเฉิงมีเกินกว่า 100 ตน เจ้าพวกนี้แค่ครึ่งหนึ่งของที่คัดกรองมาเท่านั้น พวกเขาตกลงที่จะจงรักภักดีต่อมนุษยชาติ ยอมเป็นสมาชิกของสำนักข่าวกรองโลกวิญญาณสาขาเจียงเฉิง”

นับตั้งแต่ก่อตั้งสำนักข่าวกรองโลกวิญญาณเจียงเฉิง พวกเขาค่อนข้างขาดแคลนกำลังพล แม้มีการโยกย้ายเหล่าหัวกะทิจากทางสกายเน็ต แต่ก็เหมือนยังไม่มากพอ เห็นได้ชัดว่าทางสกายเน็ตมีระดับหัวกะทิอยู่จำกัด ดังนั้นเลยต้องใช้วิธีอื่นในการดึงดูดผู้มีความสามารมาใช้งาน

และคนกลุ่มแรกที่นึกถึงคือชาวโลกวิญญาณกลุ่มนี้  พวกเขาคือชาวพื้นเมืองที่มีความสามารถในการรุกรานโลกมนุษย์ แต่ละตนไม่ได้อ่อนแอ และเมื่อเวลาผ่านไป พลังรบของพวกเขาก็ค่อยๆฟื้นตัวขึ้น จำเป็นต้องใช้กำลังคนและทรัพยากรจำนวนมากในการควบคุม

หากกำราบได้ และเปลี่ยนเป็นตัวช่วย นั่นไม่เท่ากับได้กำไรสองเด้งหรือ?

ชาวพื้นเมืองจากโลกวิญญาณไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้เชื่อง

แม้ว่าพวกเขาจะเต็มใจเข้าร่วมองค์กรมนุษย์ก็ตาม แต่ก็ไม่มีทางไว้ใจได้อย่างเต็มที่ เว้นแต่ว่าจะถูกทำเสน่ห์ถาวรอย่างชาลู่

แต่น่าเสียดาย ที่เสน่ห์ถาวรไม่สามารถใช้ได้อย่างไม่จำกัด ขณะที่สัญญาอุปการะมีจำนวนไม่เพียงพอต่อการใช้งาน

ตอนนี้เมื่อมีสัญญาวิญญาณเผาไหม้ เลยสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้พอดี!

ชาวโลกวิญญาณทั้ง 41 ตนเดินเรียงแถวเข้าลงนามในสัญญา

จากนี้ไปพวกเขาจะไม่สามารถทรยศต่อมนุษยชาติได้อีก

เว้นแต่พวกเขาจะแก่กล้าพอที่จะต้านทานพลังของสัญญาได้!

ซูหยุนปิงกล่าวว่า “ตามข้อตกลง สัญญาฉบับนี้ ฝั่งฉันจะเป็นคนเก็บไว้”

ฉูเทียนหัวพยักหน้าและพูดว่า “ไม่มีปัญหา ฮังอวี่ได้บอกฉันก่อนแล้ว ฉันไว้ใจพวกเธอ!”

ซูหยุนปิงเก็บหนังสือสัญญาไว้เอง นี่เป็นเรื่องที่เสี่ยงสำหรับสำนักข่าวกรองเช่นกัน เพราะท้ายที่สุดแล้วพวกเขาไม่ใช่ฝ่ายที่ทำสัญญา หรือก็คือในทางทฤษฏีเป็นกลุ่มของฮังอวี่ที่ทำสัญญา

ถ้าพูดตรงๆ แม้สำนักข่าวกรองจะใช้งานชาวโลกวิญญาณพวกนี้ แต่ผู้ที่จูงปลอกคอจริงๆคือฮังอวี่และซูหยุนปิง

แต่ประเด็นนี้ ฉูเทียนหัวไม่สนใจ

การกักขังชาวพื้นเมืองเป็นการเปลืองทรัพยากรทุกวัน มีแต่ต้องนำพวกเขาออกมาใช้อย่างเป็นทางการเท่านั้น จึงจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้

อีกอย่างเขามีความสัมพันธ์สนิทกับฮังอวี่ ดังนั้นเชื่อใจ

“นับแต่วันนี้ไป พวกนายทุกตนคือตัวแทนของสำนักข่าวกรองโลกวิญญาณสาขาเจียงเฉิง หวังว่าจะตั้งใจทำงานกันให้ดี แม้ไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่ตราบใดที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พวกเราก็ไม่ตระหนี่ที่จะมอบรางวัล นี่คือคำรับรองและสัญญาที่ฉันมีต่อพวกนาย!”

ตัวแทนทั้ง 40 ตนดูเศร้าสร้อย พวกเขามีทางเลือกอื่นหรือ? ได้แต่ต้องยอมรับมันเท่านั้น

สำนักข่าวกรองโลกวิญญาณเจียงเฉิงจะกลายเป็นหน่วยสืบราชการลับแห่งแรกที่ใช้งานชาวพื้นเมืองในโลกวิญญาณ เริ่มต้นด้วยชุดนี้ ต่อไปในอนาคตจะยิ่งมีมากขึ้น ถือเป็นแบบอย่าง

และตัวแทนที่ได้รับการดึงดูดให้เข้าร่วม พวกเขาจะมีการสวมโล้โก้และบัตรประจำตัวที่แจกจ่ายโดยสำนักข่าวกรอง จากนี้ไปการจองจำจะสิ้นสุดลง ไม่จำเป็นต้องก้มหัวหลบๆซ่อนๆอีก

สามารถไปเดินช็อปปิ้งในเจียงเฉิง หรือกระทั่งเข้าบาร์กินดื่มได้ตามแล้ว ใช้ชีวิตในโลกมนุษย์อย่างปกติสุข