ตอนที่แล้วEp.459 - ข่าวอันร้อนแรง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปEp.461 - ผู้ครองแคว้นเข้าร่วมแก๊ง

Ep.460 - พันธมิตรหนามทมิฬ


1/3

Ep.460 - พันธมิตรหนามทมิฬ

มีสองกองทัพมาถึงก่อน

หนึ่งคือกองทัพเมืองฟ้าเดียวดายที่นำโดยนาเซอร์

อีกหนึ่งคือกองทัพเมืองเพลิงทมิฬ ผู้นำคือดิลลอนปรมาจารย์สลักมนตราแห่งเผ่ามังกร

เห็นได้ชัดว่าเพื่อมาถึงที่นี่ พวกมันได้จ่ายราคาไปไม่น้อย

อันดับแรกในเทือกเขาสีชาด พวกมันต้องสู้กับก๊าซพิษ ฝนเพลิง และอุกกาบาตที่ปะทุอย่างต่อเนื่อง คอยควานหาทางเข้าถ้ำที่ไม่สะดุดตา จากนั้นค้นหาเส้นทางที่ถูกต้องในเขาวงกตลาวาที่มีโครงสร้างอันซับซ้อน กับดัก และวิกฤติมากมาย

และในที่สุดก็มาถึงสถานที่แห่งนี้ ซึ่งมันไม่ง่ายเลย การสูญเสียเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

กองกำลังกว่าครึ่งของเมืองเมืองเพลิงทมิฬหายไป

กองกำลังกว่าหนึ่งในสามของเมืองฟ้าเดียวดายก็หายไปเช่นกัน

เอาจริงๆพวกมันคิดว่าตนเองเร็วมากพอแล้ว อีกทั้งกระบวนการสำรวจยังค่อนข้างราบรื่น ไม่นึกเลยว่าจะยังช้าไปหลายก้าว สมบัติของราชาปีศาจทรายสีชาดถูกเมืองธารทะเลทรายยึดไปเสียแล้ว

ดิลลอนพอทราบสถานการณ์

มันเป็นคนแรกที่นั่งไม่ติด

“เจ้ามนุษย์! กล้าดียังไงมาชุบมือเปิบคนเดียว? ผู้ใดมอบความกล้าเช่นนี้ให้เจ้า?” มันบินเข้ามาอย่างโกรธจัดและเอ่ยว่า “จงมอบสิ่งที่พวกเจ้าได้จากที่นี่มาซะ สมบัติในเทือกเขาสีชาดไม่ใช่ของที่เจ้าจะเก็บไว้คนเดียว!”

“ฉันจำไม่ได้ว่าปฏิบัติการนี้ มีข้อไหนไม่อนุญาตให้ท้าทายราชาปีศาจทรายสีชาดเพียงลำพัง”

ฮังอวี่ยืนหยัดเผชิญหน้ากับความโกรธและความโลภของขุนนางใหญ่เมืองเพลิงทมิฬ เขายิ้มเย็นชา ไม่แยแสท่าทีเกรี้ยวกราดของมันสักนิด แล้วกล่าวต่อว่า “ผู้ครองแคว้นไม่ได้ออกกฏเช่นนั้น เราค้นหาและกำจัดราชาปีศาจทรายสีชาดก่อนเพื่อยุติการระบาดภัยพิบัติสีชาด ฉะนั้นก็สมควรได้รางวัล ไม่ใช่หน้าที่ของแกที่ต้องมาทวงถามส่วนแบ่งที่นี่!”

นาเซอร์ขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขาไม่ได้ทำในสิ่งที่ขุนนางเมืองเพลิงทมิฬทำ ไม่ได้ร้องตะโกนเรียกร้องให้ฮังอวี่ส่งมอบผลเก็บเกี่ยว แต่กลับถามว่า “ด้วยพลังรบของเมืองธารทะเลทราย เป็นไปไม่ได้ที่จะมาไกลถึงเพียงนี้ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะราชาปีศาจทรายสีชาด พวกเจ้าทำได้อย่างไร?”

กองทหารของเมืองธารทะเลทรายนั้นอ่อนแอมาก

ขนาดทหารในเมืองฟ้าเดียวดายส่วนใหญ่มีเลเวล 15 เป็นทั้งชนชั้นยอดขั้นซิลเวอร์และโกลด์ กระทั่งบางตนมีพลังรบในระดับเจ้าถิ่น

ถึงอย่างนั้น จำนวนยังลดลงไปหนึ่งในสาม เป็นราคาที่เจ็บปวดมาก

ด้านกองทหารของดินลอนก็เช่นกัน พลังรบโดยรวมของกองทหารไม่ด้อยไปกว่าเมืองฟ้าเดียวดายมากนัก แต่เมื่อมาถึงที่นี่ มันลดลงเหลือเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

แล้วเช่นนี้กองทัพเมืองธารทะเลทรายสามารถทำได้อย่างไร? พวกเขาพบทางเข้าเขาวงกต พวกเขากวาดล้างมอนสเตอร์ไปตลอดทาง พวกเขาเอาชนะราชาปีศาจทรายสีชาดได้อย่างไร?

เมืองธารทะเลทรายนำทหารมาทั้งสิ้น 3000 นายในตอนแรก แต่เวลานี้ยังเหลือ 1200 - 1300 หรือเกือบครึ่ง!

น่าเหลือเชื่อนัก!

เรื่องนี้ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ!

นาเซอร์ต้องการทราบที่มาที่ไมที่เกิดขึึ้น!

ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีร่างหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านหลัง แม้ว่าเขาจะสวมชุดเกราะและถือง้าว แต่คนอื่นๆก็สามารถระบุตัวตนของเขาได้อย่างรวดเร็ว --ชายผู้นี้คือเผ่าทรายสีชาด และเป็นเผ่าทรายสีชาดที่ทรงพลัง!

“ที่จริงเหตุผลมันก็ง่ายมาก” ฮังอวี่กล่าวว่า “ในบรรดาเผ่าทรายสีชาดมีคนที่สามารถปลุกภูมิปัญญาขึ้น และเพลิงสีชาดผู้นี้คือผู้ตื่นรู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ตอนนี้เพลิงสีชาดได้เป็นพันธมิตรกับเผ่ามนุษย์แล้ว เป็นเพราะร่วมมือกับเพลิงสีชาด พวกเราจึงเอาชนะราชาปีศาจทรายสีชาดได้”

สายพันธุ์ที่มีสติปัญญา?

ที่แท้ก็เป็นแบบนี้!

เผ่ามนุษย์โชคดีมาก!

ความแข็งแกร่งเพลิงสีชาดไม่ควรด้อยไปกว่าเหล่าขุนนางใหญ่ และเขายังสามารถควบคุมทหารเผ่าทรายสีชาดได้อีกด้วย

หากได้รับความร่วมมือจากงูเจ้าถิ่นเช่นนี้ ก็สามารถอธิบายได้หลายอย่าง

ฮังอวี่มองดิลลอน “ผลเก็บเกี่ยวครั้งนี้เป็นการร่วมมือกันระหว่างเผ่าทรายสีชาดกับเผ่ามนุษย์ ถ้าขุนนางเมืองเพลิงทมิฬ ตั้งใจจะปล้นมันด้วยกำลัง ก็ต้องทวงถามว่าเมืองธารทะเลทรายกับเผ่าทรายสีชาดอนุญาตหรือไม่!”

ขณะที่เขาพูด

กองทหารเผ่าทรายสีชาดก้าวเข้ามาอย่างช้าๆ

ดิลลอนสูญเสียกำลังพลไปมากกว่าครึ่ง เกรงว่าคงไม่สามารถต่อกรกับเมืองธารทะเลทรายและเผ่าทรายสีชาดพร้อมกันได้

เขาพูดกับนาเซอร์ด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “ดูเถิดท่านผู้ครองแคว้น เมืองธารทะเลทรายช่างโอหัง ทำตัวน่าทุเรศนัก หากท่านยินดีร่วมมือกับข้า ... ตราบใดที่เมืองฟ้าเดียวดายร่วมสู้ พวกเราสามารถกำจัดปัญหานี้ได้แน่นอน!”

ทันทีที่ได้ยินคำนี้ ทุกคนกำอาวุธในมือแน่น บรรยากาศเริ่มมืดมน

นาเซอร์ตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ แต่ที่น่าแปลกใจมากก็คือ เขาไม่ยอมรับข้อเสนอของดิลลอน กลับพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ขุนนางเมืองธารทะเลทรายพูดถูก ไม่ได้มีการห้ามสู้กับราชาทรายสีชาดเพียงลำพัง ในเมื่อเมืองธารทะเลทรายเอาชนะมันได้ และหยุดภัยพิบัติตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับแคว้นเดียวดาย”

“ผู้ครองแคว้น นี่ท่าน ....”

“ข้าจะไม่พูดซ้ำ!”

ใบหน้าของดิลลอนยิ่งมายิ่งอัปลักษณ์ มันไม่โง่พอที่จะเปิดศึก เหตุที่ต้องการร่วมมือกับเมืองฟ้าเดียวดาย หลักๆเพื่อกดดันเมืองธารทะเลทรายเท่านั้น

เมืองเพลิงทมิฬ + เมืองฟ้าเดียวดาย  ย่อมสามารถเอาชนะเมืองธารทะเลทราย + เผ่าทรายสีชาดได้

แต่ปัญหาก็คือ การต่อสู้ครั้งใหญ่เช่นนี้ ย่อมหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตายอย่างหนักไม่ได้ ผลการรบอาจไม่คุ้มทุน

นอกจากนี้ นอกเหนือจากกองทัพในที่นี้แล้ว ยังมีกองทัพของขุนนางใหญ่อีกสองกองกำลังจะมาถึงในไม่ช้า

ซึ่งทุกคนต่างรู้ใจกันและกันเป็นอย่างดี หลักการอย่างตั๊กแตนตำข้าวจับจั๊กจั่น นกขมิ้นอยู่ข้างหลังสามารถนำไปใช้ได้ทุกที่

แต่สิ่งที่ดิลลอนคาดไม่ถึงก็คือ ผู้ครองแคว้นนาเซอร์ปฏิเสธที่จะกดดัน ไม่ทราบว่าในใจชายผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่

“ฮึ่ม! ประเสริฐนัก ขุนนางเมืองธารทะเลทราย ข้าจะจดจำเจ้าไว้!”

ดิลลอนรู้ว่าตัวเองไม่สามารถรั้งอยู่ได้อีกต่อไป

เขาจากไปพร้อมกองทหารของตนอย่างรวดเร็ว

นาเซอร์กล่าวว่า “พวกเราพอจะพูดคุยกันส่วนตัวได้หรือไม่?”

ออร์คผู้มีสิ่งใดในใจกันแน่? คาดเดาไม่ถูกเลย!

คำเชิญสนทนาเพียงลำพังจากผู้ครองแคว้น ฮังอวี่ไม่ปฏิเสธ ทั้งสองแยกตัวออกจากกลุ่ม เดินไปใกล้ทะเลสาบลาวา และคำแรกที่นาเซอร์เอ่ยจากปาก ทำให้ฮังอวี่ต้องผงะไป

“เจ้าเป็นคนฆ่าซาร์โกใช่หรือไม่?”

“ซาร์โกคือใคร? ผมไม่เข้าใจคำถามของท่านผู้ครองแคว้น?”

“ฮึ่ม! หยุดเสแสร้งเถอะ เรามีวิธีการตรวจสอบ ฉะนั้นเจ้าอย่ามาหลอกลวงกันดีกว่า!” นาเซอร์หันกลับมา ดวงตาคู่แดงจับจ้องฮังอวี่ “ชายแห่งเผ่าพันธุ์จุติเอ๋ย เจ้ากล้านัก! ถึงได้ทำเรื่องแบบนี้”

จริงอย่างที่คิด  นาเซอร์ได้ค้นพบที่มาที่ไปของเผ่ามนุษย์แล้ว

เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ได้มาจากอาณาจักรมังกรโลกาหรือแม้แต่ในอาณาจักรใดๆ

เขารู้อยู่แล้วว่าเผ่ามนุษย์คือเผ่าจุติจากอาณาจักรใหม่!

ฮังอวี่กำนักฆ่าขุมนรกในมือแน่น โดยพยายามคงสีหน้าให้ไม่เปลี่ยนแปลง ในใจเขาคำนวณโอกาสที่จะชนะอย่างเงียบๆ แต่คำตอบคือสมควรน้อยกว่า 20%

นาเซอร์แข็งแกร่งเกินไป!

อีกฝ่ายเลเวล 16 ทั้งยังสืบทอดขั้น 4 มากกว่าหนึ่งมรดก มีอุปกรณ์สีม่วงอย่างน้อยหนึ่งชิ้น และอุปกรณ์สีม่วงที่ว่ายังเป็นอาวุธ

“จริงๆแล้วสิ่งที่ข้าค้นพบ มากกว่าที่เจ้าจินตนาการไว้” นาเซอร์เอ่ยถาม “เจ้ามีนกหวีดทองแดงอยู่ในมือ และนกหวีดทองแดงคือสัญลักษณ์ของพันธมิตรหนามทมิฬ ใช่หรือไม่?”

ฮังอวี่พอจะคาดเดาบางสิ่งได้แล้ว “หรือท่านผู้ครองแคว้นจะเป็นสมาชิกของพันธมิตรหนามทมิฬ?”

ฮังอวี่หยิบนกหวีดทองแดงออกมา

เขาได้มันมาจากป่าแห่งการเริ่มต้น ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นของโนมส์นักกลั่นโพชั่นมนตรา ซามูเอลแห่งพันธมิตรหนามทมิฬ

ซามูเอลเคยกล่าวว่า ตราบใดที่ฮังอวี่แสดงนกหวีดทองแดงนี้ เขาสามารถใช้มันเป็นสัญลักษณ์แนะนำ และเข้าร่วมกับพันธมิตรหนามทมิฬได้ ร่วมมือกันต่อต้านมังกรคลั่งเฮสการ์

อ้างอิงจากคำบอกเล่าของซามูเอล พันธมิตรหนามทมิฬยังคงมีอิทธิพลในอาณาจักรมังกรโลกา

ทว่าตั้งแต่เข้าสู่อาณาจักรมังกรโลกา ฮังอวี่ไม่เคยได้ข่าวคราวเรื่องนี้อีกเลย

ฮังอวี่เกือบลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ผู้ครองแคว้นเผ่าออร์คกลับสังเกตเห็น ...

“คาดเดาได้ดี แต่ถ้าจะพูดให้ชัดๆ ต้องบอกว่าส่วนหนึ่งของเมืองฟ้าเดียวดาย รวมไปถึงข้าเป็นสมาชิกของพันธมิตร” นาเซอร์ตอบว่า “แม้พันธมิตรของเราจะกระจัดกระจาย แต่ก็มีพรรคพวกอยู่ทั่วทั้งเก้าแคว้น บางตนเป็นขุนนางเล็ก บางตนเป็นขุนนางใหญ่ และบางตนเป็นเผ่าเร่ร่อน แต่พวกเรามีเป้าหมายเดียวกัน ... นั่นคือโค่นราชามังกรคลั่ง!”

ในกรณีนี้ เท่ากับว่าเมืองฟ้าเดียวดายกับเมืองธารทะเลทรายดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องทำสงครามกันแล้ว!

สมองฮังอวี่ปั่นเร็วจี๋ ทางหนึ่งวิเคราะห์ความจริงในคำพูดของนาเซอร์ อีกทางหนึ่งเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ในการสร้างพันธมิตรกับเมืองฟ้าเดียวดาย

“ดูท่าผู้ครองแคว้นกับผมจะไม่ใช่ศัตรูกัน คิดล้มล้างเฮสการ์เหมือนกัน และเผ่าจุติเช่นพวกเราเป็นขุมพลังที่ขาดไม่ได้”

ถ้าแม้แต่ผู้ครองแคว้นเดียวดายก็ยังเป็นพันธมิตรของเขา เช่นนั้นแล้วเรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง อย่างน้อยในแคว้นเดียวดายแห่งนี้ สถานการณ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์จะปลอดภัยมาก  สามารถขยับแข้งขยับขา มุ่งมั่นไปกับการพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์

สามารถทำอะไรๆหลายอย่างได้โดยไม่ต้องกังวล!