ตอนที่แล้วตอนที่  4-12 ใจสลายกลางหิมะ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่  4-14 กลั่น

ตอนที่  4-13 สิบวัน สิบคืน


เมื่อกลับมาถึงสถาบันเอินส์ลินลี่ย์หยิบฉวยกระเป๋าที่เขาใช้เป็นประจำจากบนห้องและมุ่งหน้าไปยังยอดเขาหลังสถาบัน ในกระเป๋าใบนั้นมีเพียงเสื้อผ้า บัตรเครดิตเวทและเหล็กสกัดเท่านั้น

“น้องรอง น้องสี่ คอยดูแลน้องสามด้วย”เยลออกคำสั่ง

จอร์จและเรย์โนลด์พยักหน้าพวกเขาก็เป็นห่วงลินลี่ย์เช่นกัน

“พี่ใหญ่! แล้วเจ้าจะทำอะไร?” เรย์โนลด์ถาม

ดวงตาของฉายแววเย็นยะเยือก“ข้าน่ะหรือ?”

“ข้าจะไปสืบดูให้เห็นกับตา ว่าทำไมผู้หญิงตาบอดอลิซถึงตัดสินใจทรยศน้องสามและจะไปดูหน้าของเจ้าบัดซบที่กล้าขโมยผู้หญิงของน้องสามข้า”ในขณะพี่พูดเยลก็ลุกขึ้นยืน “ข้าจะตรงไปเมืองเฟนไลก่อน ฝากพวกเจ้าดูแลน้องสามด้วย”

“เข้าใจแล้ว” เรย์โนลด์และจอร์จพยักหน้า

จากนั้นเยลก็ออกไปสั่งงานกับผู้คุ้มกันที่ทางตระกูลส่งมาและมุ่งหน้าออกจากสถาบันเอินส์สู่เมืองเฟนไลส่วนเรย์โนลด์และจอร์จก็ฝ่าหิมะในคืนอันหนาวเหน็บไปยังภูเขาหลังสถาบันเอินส์

……

หลังจากได้ม้ารุ่นฝีเท้าดีเยลก็ขี่ม้านำหน้าคนของเขาผ่านถนนที่ถูกหิมะปกคลุม ไม่นานพวกเขาก็มาถึงเมืองเฟนไลหลังจากเข้ามาในตัวเมือง เยลตรงไปยังที่ทำการสาขาย่อยเมืองเฟนไลของตระกูลเขา

นี่คืออาคาร 9 ชั้นซึ่งเป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงที่สุดในเฟนไล

หลังโรงแรมมีอาคารหลังเล็กๆจำนวนหนึ่งที่ไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าพักเยลตรงดิ่งไปที่อาคาร 2 ชั้นสีแดงหลังน้อย ซึ่งมีบุรุษวัยกลางคนในชุดหรูหรา 5คนออกมาต้อนรับ หลังพวกเขาสังเกตเห็นเยลก็ต้องเอ่ยออกมาด้วยความเคารพ “คุณชายเยล!”

“วอลท์! ท่านลุงรองของข้าอยู่ที่ไหน?”เยลถามทันที

ในบรรดาชายวัยกลางคนทั้งห้ามีคนหนึ่งชื่อวอลท์ เขาเป็นคนเดียวที่สวมชุดคลุมยาวสีดำ วอลท์ตอบด้วยความเคารพ“นายท่านเดินทางกลับสาขาหลักไปเมื่อ 7 วันที่แล้วขอรับบัดนี้การค้าทั้งหมดในสหภาพศักดิ์สิทธิ์อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของข้า”

วอลท์รู้ดีว่าตั้งแต่คุณชายท่านนี้ได้เป็นนักเรียนของสถาบันเอินส์สถานะของเขาในตระกูลก็ยิ่งสูงขึ้นเป็นติดจรวด

และเยลเองก็ไม่เหมือนสมาชิกในตระกูลคนอื่นๆเขาเป็นถึงทายาทสายตรงของผู้นำตระกูล แม้แต่ผู้นำสูงสุดในสายงานเขาอย่าง‘ท่านลุงรอง’ ที่ควบคุมการค้าทั้งหมดในสหภาพศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังไม่กล้าขัดใจ

“คุณชายเยลหากท่านประสงค์สิ่งใดโปรดบอกให้ข้ารับรู้ด้วยเถิด” วอลท์กล่าวอย่างเคารพ

เยลเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะออกคำสั่ง “ย่านพักอาศัยบนถนนดรายโร้ด มีหญิงสาวชื่ออลิซ นางคงมีอายุสัก 16ปี และเป็นนักเรียนของสถาบันเวลเลน ไปสืบให้ข้าทีว่าพักนี้นางคบหากับใครอยู่บ้างและเอาข้อมูลของชายคนนั้นมาให้ข้า”

“ขอรับ คุณชายเยล” วอลท์ยิ้มอย่างโล่งใจ “คุณชายเยลท่านชอบหญิงสาวนามว่าอลิซคนนั้นหรือ? ให้ข้า...”

“ไม่ต้อง” ใบหน้าของเยลพลันเปลี่ยนเป็นอำมหิต“ข้าต้องการเพียงข้อมูล หามาเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เข้าใจหรือไม่?”

“ขอรับ” วอลท์สัมผัสได้ถึงอารมณ์ขุ่นมัวของเยลจึงไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่ออีก

…..

ในคืนนั้นท่ามกลางแสงริบหรี่ของเปลวเทียน

เยลนั่งอยู่ที่โต๊ะจิบไวน์จากถ้วยช้าๆด้วยสีหน้าไม่สบายใจ เห็นได้ชัดว่าจิตใจของเด็กหนุ่มไม่อยู่ที่เครื่องดื่มสักนิด

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบเป็นหญิงสาวอายุประมาณ 20 ปีที่ดูเย็นชาดุจน้ำแข็ง ตามด้วยวอลท์ที่เดินมาโค้งให้เขาอย่างสุภาพ“คุณชายเยล เราได้ทำการสืบเรื่องของอลิซและเพื่อนชายของนางเรียบร้อยแล้วขอรับ”

“ว่าไป” น้ำเสียงของเยลเย็นชา

วอลท์มองไปยังหญิงสาวที่โค้งตัวอย่างเคารพ“คุณชายเยล หญิงสาวอลิซคนนี้มีเพื่อนชายอยู่ 2 คน คนแรกชื่อว่าลินลี่ย์เกิดในเมืองอู่ซัน...”

“หยุด...ไปพูดเรื่องคนที่สอง” เยลขมวดคิ้ว

“คนรักปัจจุบันของอลิซชื่อว่าคาลัน เด็บส์เขาเกิดในเมืองเฟนไล ปัจจุบันอายุ 17 ปี เป็นนักเรียนของสถาบันฝึกสอนนักรบเวลเลนและเป็นนักรบระดับ 5! ตระกูลเด็บส์นี้เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ของอาณาจักรเฟนไลและคาลัน เด็บส์ก็เป็นว่าที่ผู้นำตระกูล”

“คาลัน เด็บส์...ตระกูลเด็บส์?” เยลขมวดคิ้ว“ไม่ใช่ว่าเด็บส์เป็นเพียงตระกูลเล็กๆหรอกหรือ?”

วอลท์ได้โอกาสทำประโยชน์จึงรีบกล่าว “ในอาณาจักรเฟนไล ตระกูลเด็บส์นับว่าเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งแต่แน่นอนว่าถ้าเทียบกับทั้งแผ่นดินยูลานก็นับเป็นเพียงตระกูลเล็กๆที่ไร้อำนาจเท่านั้น”

“โอ้และถ้าข้าอยากจะสั่งสอนตระกูลเด็บส์นี่สักหน่อย เจ้ามีอะไรจะแนะนำบ้างล่ะ?” เยลจ้องมองวอลท์

“ง่ายมาก!”

วอลท์เริ่มหัวเราะ “คุณชายเยลท่านอาจจะไม่ทราบว่าตระกูลเด็บส์ก็เป็นหนึ่งในคู่ค้าของหอการค้าดอว์สันของเราในเฟนไลซึ่งหอการค้าดอว์สันทำเงินได้มหาศาลในอาณาจักรเฟนไลทำให้ตระกูลเด็บส์พอจะได้ส่วนต่างจากเราไปบ้างและในช่วงหลายปีมานี้การค้าของเราผูกขาดให้ตระกูลเด็บส์เป็นพ่อค้าคนกลาง”

“โอ้ตระกูลเด็บส์นั้นเป็นคู่ค้าของเราอย่างนั้นหรือ?” รอยยิ้มพลันผุดขึ้นบนใบหน้าของเยล

วอลท์พยักหน้า“ถูกแล้วขอรับ ท่านคงพอทราบมาว่าหอการค้าดอว์สันของเราไม่อาจทำการค้าเพียงทอดเดียวได้ในทุกครั้งในจักรวรรดิทั้ง 4 และอาณาจักรทั้ง 12 เราทำงานร่วมกับคู่ค้าซึ่งโดยปกติเราต้องแบ่งผลประโยชน์ให้กับพวกเขาเช่นกัน”

เยลพยักหน้า

เขารู้ดีว่าหอการค้าดอว์สันซึ่งบริหารโดยตระกูลดอว์สันนี้เป็นถึง1 ใน 3 กลุ่มการค้าใหญ่บนทวีปยูลาน แม้แต่ 4 จักรวรรดิและ 2 สหภาพใหญ่ก็ไม่กล้าดูแคลนจึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เยลสามารถเข้าศึกษาในสถาบันเอินส์ได้

เบื้องหลังสถาบันเอินส์คือวิหารเจิดจรัสถึงเบื้องหน้าจะทำเป็นมีมาตรฐานที่เปิดกว้างยุติธรรมในการรับนักเรียนก็ตาม

แต่ตระกูลธรรมดาไหนเลยจะสามารถติดต่อเข้าทางประตูหลังของวิหารเจิดจรัสได้โดยง่าย?

เหมือนคำขวัญของหอการค้าดอว์สันที่ว่า:“เมื่อไหร่มีหนทางทำเงิน เมื่อนั้นทุกคนจะได้ส่วนแบ่ง”

ใน 4 จักรวรรดิและ 2 กลุ่มประเทศพันธมิตรแม้แต่ในอาณาจักรต่างๆและตระกูลขุนนาง หอการค้าดอว์สันก็มีคู่ค้าอยู่ภายในเสมอและแบ่งผลประโยชน์ให้กับคนเหล่านั้น

ในการมาเป็นคู่ค้าของหอการค้าดอว์สันได้นั้นจะต้องผ่านการต่อสู้แย่งชิงจนมาอยู่อันดับต้นๆของรายชื่อ ในอาณาจักรเฟนไลนี้ตระกูลเด็บส์ได้รับเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่หอการค้าดอว์สันทำได้แต่ก็นับว่ามากพอจะใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยในเมืองหลวงของอาณาจักรเฟนไลนี้

“คุณชายเยลในอาณาจักรเฟนไลนี้ยังมีตระกูลอีกมากมายที่พร้อมขึ้นมาเป็นคู่ค้าของเราแทนตระกูลเด็บส์นี้เสมอเหตุผลเพียงข้อเดียวที่เรายังทำการค้ากับตระกูลเด็บส์อยู่เป็นเพราะพวกมันถือเป็นคู่ค้าที่ไม่เลวเท่านั้นทำไมเราจะไม่ลองให้โอกาสกับตระกูลอื่นดูบ้างล่ะขอรับ?” วอลท์เผยรอยยิ้ม

เยลเข้าใจสิ่งที่วอลท์ต้องการจะสื่อดี

“เปลี่ยนคู่ค้าของเราในอาณาจักรเฟนไลทันทีส่วนตระกูลเด็บส์ก็ตัดสายป่านของมันให้หมดทุกทาง!” น้ำเสียงของเยลเย็นยะเยือก

“ขอรับคุณชาย” วอลท์เอ่ยรับคำอย่างเคารพ

เรื่องของคู่ค้าในอาณาจักรเล็กๆเช่นนี้แม้แต่วอลท์ซึ่งเพียงมือสองของหอการค้าดอว์สันสาขาเฟนไลก็สามารถตัดสินใจด้วยตนเองได้ นับอะไรกับเยลซึ่งเป็นสมาชิกของตระกูลสายหลักนี้เล่า

“ตระกูลเด็บส์ที่น่าสงสาร” วอลท์ลอบเอ่ยกับตนเอง

…..

บนภูเขาด้านหลังสถาบันเอินส์หิมะปกคลุมทุกสิ่งเหมือนผ้าแพรสีเงินยวงท่ามกลางพันธุ์ไม้หนาแน่นมีหินก้อนใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงจุดที่ว่างในภูเขา ลินลี่ย์กำลังยืนอย่างสงบดวงตาปิดสนิทอยู่บนหินก้อนยักษ์นั้น

หนูเงาบีบียืนอยู่ด้านข้างบนหิมะหนาเพื่อปกป้องนายของมัน

จอร์จและเรย์โนลด์ได้แต่มองหน้ากันอย่างกังวล

“จอร์จ! ลินลี่ย์กำลังทำอะไรอยู่กันแน่?เขายืนอยู่ตรงนั้นเป็นเวลากว่า 1 วัน 1 คืนแล้วพวกเราเรียกเท่าใดเขาก็ไม่ขานรับ ไม่ยอมกินดื่มอะไรทั้งสิ้นถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป....” ความกังวลของเรย์โนลด์เริ่มเพิ่มพูนขึ้น

จอร์จส่ายหัวช้าๆ“อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ น้องสามของเราเป็นถึงจอมเวทระดับ 6 และเป็นนักรบเช่นกันร่างกายของเขาย่อมแข็งแกร่งและยังสามารถดูดซับกระแสเวทของธาตุตามธรรมชาติได้แม้เขาจะต้องอดน้ำอดอาหารหลายวันก็คงไม่ใช่ปัญหาตอนนี้เราทำได้เพียงเฝ้าดูเขาเท่านั้นข้าเชื่อว่าน้องสามต้องสามารถละทิ้งความเจ็บปวดและเริ่มต้นใหม่ได้แน่”

เรย์โนลด์พยักหน้าเบาๆ

พวกเขาทั้งสองไม่มีใครรู้ว่าสภาพจิตใจของลินลี่ย์ในตอนนี้เป็นเช่นไร

ความจริงแล้ว เดลินโคเวิร์ทก็อยู่เคียงข้างลินลี่ย์ ณ ตรงนั้นเช่นกันเพียงแต่เรย์โนลด์และจอร์จมองไม่เห็นก็เท่านั้น เดลิน โคเวิร์ทจ้องมองลินลี่ย์อยู่เงียบๆลอบประหลาดใจอยู่ลึกๆ “เจ้าหนูลินลี่ย์นี่เหมือนจะเริ่มเข้าสู่ห้วงลึกของจิตใจขั้นสูงเสียแล้ว”ในฐานะปรมาจารย์การแกะสลัก เดลิน โคเวิร์ทสามารถคาดเดาสภาวะที่ลินลี่ย์กำลังเผชิญอยู่ได้

ลินลี่ย์กำลังจ้องมองไปที่เส้นที่เชื่อมเป็นขอบเขตหนึ่งขอบเขตนั้นสูงกว่า 2 เมตร และกว้าง 3 เมตร

เขากำลังจ้องไปที่เส้นบนขอบเขตซึ่งมีรูปร่างเหมือนก้อนหินโดยเฉพาะลวดลายขรุขระบนเส้นนั้นช่างซับซ้อนเหมือนของจริง แต่เมื่อลินลี่ย์จ้องต่อไปลายเส้นนั้นก็พลันค่อยๆหดลงจากขอบเขตดังกล่าวและประทับลงในความคิดของลินลี่ย์

ลายเส้นนี้มีรูปร่างเหมือนร่างมนุษย์จำนวน5 ร่าง

ทันใดนั้น ทั้ง 5ร่างก็พลันเปลี่ยนเป็นอลิซ แต่ละช่วงเวลาที่สลักอยู่ในหัวใจของลินลี่ย์เบื้องหน้าดวงตาในจิตใจของเขา เส้นขอบเขตนั้นพลันเปลี่ยนเป็นรูปสลักหลายรูปท้ายที่สุดกลายเป็นรูปหญิงสาว 5 รูปบนฐานเดียวกัน

“จอร์จ ดูนั่น! พี่สามกำลังขยับแล้ว”เรย์โนลด์กล่าวอย่างประหลาดใจ

ลินลี่ย์ดึงเหล็กสกัดออกมาจากกระเป๋าออกมาถือด้วยมือขวาเขาจ้องมองขอบเขตของก้อนหินตรงหน้าแล้วเริ่มขยับ เหล็กสกัดในมือของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นเพียงเงาลางๆทันใดนั้น เศษหินก็เริ่มกระเทาะออกจากผิวของก้อนหินยักษ์

จิตวิญญาณของเขาได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับผืนดินและเป็นหนึ่งเดียวกับสายลม

จิตวิญญาณของลินลี่ย์สามารถสัมผัสถึงรอยแยกของหินได้อย่างชัดเจนทุกๆลายเส้นบนพื้นผิว เขาใช้เหล็กสกัดทะลวงเหมือนสายลมพัดพาเศษหินออกจากผิวทุกการลงมือนั้นสมบูรณ์แบบ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป เที่ยงตรงดุจคำนวณไว้แล้ว

บางคราเหล็กสกัดก็ขยับอย่างเชื่องช้าในขณะที่บางคราก็ขยับอย่างรวดเร็วในบางครั้งก็ได้ทิ้งเพียงเศษหินและลวดลายไว้บนพื้นผิวเมื่อขยับผ่านในขณะที่บางครั้งก็ทลายหินในบางจุดให้พังลงมาเป็นชิ้นๆ

“ข้ายังจำได้ดีว่าเจ้าเป็นอย่างไรในปีนั้นใบหน้าหวาดกลัวของเจ้ายามเผชิญหน้ากับหมูศึกกระหายเลือด”

รูปร่างสมบูรณ์ของอลิซในฉากนั้นพลันปรากฏขึ้นในจิตของลินลี่ย์ทุกอารมณ์ความรู้สึกของเขาถูกส่งผ่านไปยังเหล็กสกัดหิมะเริ่มสะสมและทับถมในบริเวณรอบกายของลินลี่ย์ แต่เขากลับรู้สึกว่าจิตวิญญาณของเขาได้หลอมรวมเข้ากับผืนดินและสายลมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนอณูธาตุดินและธาตุลมพลันไหลเข้ามาในร่างกายของลินลี่ย์

ลินลี่ย์ไม่ได้คิดถึงสิ่งใดอื่นอีกบัดนี้เขามุ่งมั่นสนใจอยู่กับสัมผัสที่กำลังได้รับ

อย่างเชื่องช้าพื้นที่ 20 % ของก้อนหินพลันเปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์ของหญิงสาว โครงสร้างโดยคร่าวๆของรูปสลักเริ่มปรากฏให้เห็นลินลี่ย์ไม่แม้แต่จะดื่มหรือกินสิ่งใด มือของเขาสลักหินไม่หยุด เขาขยับเหล็กสกัดด้วยความถี่หลายสิบครั้งใน1 วินาทีในขณะเดียวกันบางครั้งต้องใช้เวลาหลายนาทีในการตวัดลายเส้นที่สมบูรณ์สักเส้นหนึ่ง

…..

ลินลี่ย์ส่งผ่านความรู้สึกของเขาที่มีต่ออลิซเข้าไปในเหล็กสกัดไม่ได้คำนึงว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าถึงสภาวะจิตขั้นสูงตั้งแต่ที่เขาเรียนแกะสลักมา

ในอดีตแม้จะเสียดายอยู่บ้าง แต่ลินลี่ย์จะเริ่มงานแกะสลักของเขาแต่เช้าตรู่และหากยังไม่สมบูรณ์ก็จะเก็บไว้ทำวันต่อไป เขาไม่เคยทุ่มเท 100%กับการแกะสลักมาก่อน

แม้ว่าสุดท้ายเขาต้องใช้เวลาหลายวันในการแกะสลักรูปสลักสักรูปหนึ่งเขาจะหยุดเมื่อไหร่ก็ได้ และเริ่มทำใหม่เมื่อไหร่ก็ได้เช่นกัน

แต่ในคราวนี้กลับต่างออกไปลินลี่ย์ทุ่มเททั้งความรู้สึกและทุกสิ่งทุกอย่างให้กับการสลักหินแต่ละครั้งเขาไม่แม้แต่จะคิดเรื่องหยุดพักไม่รับรู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้ดื่มกิน บัดนี้ทั้งจิตวิญญาณและห้วงคำนึงของเขาได้หลอมรวมเข้ากับธรรมชาติอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

และการหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาตินี้ได้พัฒนาพลังจิตของลินลีย์ขึ้นอย่างน่าหวาดหวั่นเป็นความรวดเร็วที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน

บัดนี้ พลังจิตของลินลี่ย์ได้เพิ่มขึ้นเป็นพันเท่าของคนปกติแล้ว

“เขากลายเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ และเข้าสู่ภาวะหลงลืมตัวตนช่างเป็นเรื่องประหลาดที่น่ายินดีอย่างยิ่ง” ดวงตาของเดลิน โคเวิร์ทเบิกกว้าง

และวันหนึ่งหลังจากผ่านไปหลายวันที่ลินลี่ย์จดจ่ออยู่กับงานของเขาอณูธาตุดินและธาตุลมยังคงกลั่นตัวอยู่ในร่างของเขาก่อกำเนิดเป็นพลังทดแทนที่ร่างกายเขาใช้ไป

เหมือนชั่วพริบตาหนึ่งก็ผ่านไป 10 วันเสียแล้วที่ลินลี่ย์ยังคงแกะสลักหินอย่างต่อเนื่อง

“วืดดดด”

หิมะแผ่กระจายออกไปเป็นคลื่นออกไปรอบนอกโดยมีลินลี่ย์เป็นศูนย์กลาง ลินลี่ย์ยืนมองรูปสลักขนาดใหญ่เบื้องหน้าเขา โดยมีเหล็กสกัดอยู่ในมือลินลี่ย์ทุ่มเทความพยายามทั้งหมดในการสลักรูปสลักนี้มันเป็นรูปสลักที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยสร้าง และนับเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมชิ้นหนึ่ง

รูปสลักนี้ถูกสลักออกมาเป็นรูปลักษณ์ของหญิงสาว5 รูป โดยที่ต้นแบบของมันคือคนๆเดียว อลิซนั่นเอง

รูปหนึ่งแสดงท่าทีของนางยามเผชิญอันตราย

รูปหนึ่งแสดงท่าทีน่าเอ็นดูของนางเมื่อครั้งได้พูดคุยกันบนระเบียง

รูปหนึ่งแสดงท่าทีเขินอายบนใบหน้าของนางในคบหาครั้งแรก

รูปหนึ่งแสดงว่านางน่าลุ่มหลงเพียงใดในคืนแรกของพวกเขา

และรูปสุดท้ายแสดงใบหน้าของนางที่บอกใบ้ถึงท่าทีหมดรักในวันที่ตัดสัมพันธ์!

“เวลากว่า 1ปีที่ได้ผ่านพ้นไปแล้วนั้นเป็นได้เพียงความฝันบัดนี้ความฝันนั้นได้ดำเนินมาถึงจุดจบ ชื่อของรูปสลักนี้คือ”ตื่นจากฝัน“”เมื่อมองไปยังรูปสลัก ลินลี่ย์รู้สึกว่าจิตวิญญาณของเขาพลันสงบขึ้นกว่าที่เคย เหมือนกับอารมณ์ความรู้สึกก่อนหน้านั้นได้ถ่ายทอดลงในรูปสลักหมดสิ้นไม่เหลืออยู่กับเขาอีกแล้ว

และรูปสลัก‘ตื่นจากฝัน’ ก็ได้ถือกำเนินขึ้นบนโลกใบนี้!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด