ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 113 ไข่มุกน้ำค้าง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 115 ผ่านโดยตรง

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 114 เดิมพัน


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 114 เดิมพัน

แปลโดย iPAT  

เดิมทีเตียวเฟยวางแผนที่จะเก็บมันไว้เพื่อเชื่อมต่อเส้นลมปราณและกลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นสี่ อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถปล่อยให้คู่แข่งของเขาได้รับยันต์สายฟ้าฟาดไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ดังนั้นเขาจึงต้องกัดฟันแบบรับความเจ็บปวดนี้

หลี่ฉิงซานกล่าวกับเตียวเฟย “ขอข้าดูหน่อย”

เตียวเฟยเทไข่มุกน้ำค้างลงบนฝ่ามือของเขา มันเป็นเม็ดยาเม็ดเล็กๆที่ใสเหมือนหยดน้ำค้างและส่องประกายแวววาว จอมยุทธ์ทั้งหมดที่อยู่รอบๆพยายามซ่อนความโลภของตน ยาคุณภาพสูงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทะลวงขอบเขต เม็ดยารวบรวมพลังปราณไม่สามารถเปรียบเทียบกับสิ่งนี้

ทันใดนั้นหลี่ฉิงซานพลันรู้สึกเสียใจที่เขาไม่ได้กำจัดคนผู้นี้ตั้งแต่อยู่บนเรือ เขายิ้ม “ไม่เลว”

‘ไม่เลวงั้นหรือ?’ เตียวเฟยไม่พอใจกับการประเมินนี้ ‘นี่คือเม็ดยาไข่มุกน้ำค้าง! เจ้าเคยเห็นยาที่ดีกว่านี้หรือไม่?’ คนอื่นๆก็คิดเช่นเดียวกัน

เป็นเพียงเวลานี้ที่หลี่ฉิงซานพึ่งตระหนักว่าซวนเยว่ดีต่อเขามากเพียงใด แม้เขาจะไม่รู้ชื่อของเม็ดยาที่ซวนเยว่มอบให้เขา แต่มันก็ดีกว่าไข่มุกน้ำค้างที่จอมยุทธ์เหล่านี้ต้องการอยู่มากนัก เขาคิด ‘เห้อ...ข้าสงสัยว่านางเป็นอย่างไรบ้าง?’

“ฮัดชิ้ว!”

ห่างออกไปมากกว่าห้าพันกิโลเมตร แมวที่นอนอยู่ในอ้อมกอดสีน้ำเงินเข้มจามโดยไร้สาเหตุ

เสียงที่อ่อนโยนเร่งถามด้วยกระวนกระวายใจ “เยว่เอ๋อ เจ้าเป็นหวัดงั้นหรือ?” ในเวลาเดียวกันนางก็กระชับอ้อมกอดของนาง

“ข้าเป็นปีศาจแมว ข้าจะป่วยได้อย่างไร?” ซวนเยว่พยายามดิ้นรนแต่นางไม่สามารถปลดปล่อยตนเองจากอ้อมกอดนั้น

“เจ้าอาจไม่ป่วยแต่รางกายของเจ้าอ่อนแอเกินไป กินยานี่” นิ้วที่เรียวยาวของนางส่งเม็ดยาเข้าปากซวนเยว่ มันเป็นเม็ดยาที่โปร่งใสเหมือนคริสตัล หากเปรียบเทียบ เม็ดยารวบรวมพลังปราณไม่ต่างจากก้อนโคลนขณะที่เม็ดยาไข่มุกน้ำค้างเหมือนก้อนหิน

“ไม่ ไม่ ไม่!” ซวนเยว่ส่ายศีรษะและพยายามดิ้นรนมากขึ้น

“เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่กินแล้ว ไม่กินแล้ว” นางเก็บเม็ดยากลับไปและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สิ้นหวัง นางเหมือนแม่ที่คอยเฝ้ามองลูกสาวสุดที่รักและเอาใจทุกอย่าง

ซวนเยว่เงยหน้าขึ้นมองใบหน้างดงามที่แฝงไปด้วยความโศกเศร้าแม้จะเผยรอยยิ้มก็ตาม ทันใดนั้นนางพลันรู้สึกโศกเศร้าเช่นกัน แม้นางจะวิ่งหนีและถูกนำตัวกลับมา เจ้านายของนางก็ไม่เคยดุด่านางแม้แต่ครั้งเดียว ตรงข้าม เจ้านายของนางยิ่งดูแลใส่ใจนางมากขึ้น

ในจังหวะนี้นางพลันนึกถึงร่างสูงใหญ่ที่แบกนางปีนขึ้นผาดาบน้ำแข็งท่ามกลางพายุหิมะและหลั่งน้ำตาให้นาง นั่นทำให้นางคิดว่าตนเองไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่ดี

“ข้าจะเล่านิทานให้ท่านฟัง”

“ได้สิ ข้าอยากฟังนิทานของเยว่เอ๋อ”

นอกหน้าต่างมีเมฆและภูเขา สัตว์อสูรลึกลับสองตัวลากรถม้าที่งดงามแล่นไปในอากาศ

กลับไปที่เมืองเจียเผิง หลี่ฉิงซานกลับห้องพักของเขาแล้ว เขานอนอยู่บนเตียงและคำนวณกำไรของเขาในวันนี้

เม็ดยารวบรวมพลังปราณห้าสิบเม็ดเพียงพอที่จะสนับสนุนการบ่มเพาะของเขาเป็นเวลาสามวัน เขาจะมีความก้าวหน้าอีกครั้ง สำหรับไข่มุกน้ำค้าง มันจะทำให้เขาก้าวเข้าสู่ขั้นที่สี่ของเคล็ดวิชาการบ่มเพาะพลังปราณเบื้องต้น นั่นหมายความว่าเขาจะกลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นสองที่แท้จริง

ด้วยเหตุนี้หลี่ฉิงซานจึงปิดประตูบ่มเพาะอย่างสงบ นี่เป็นเรื่องธรรมดา จอมยุทธ์ส่วนใหญ่จะใช้เวลาสามวันนี้เพื่อเตรียมตัวขั้นสุดท้ายและอยู่ในห้องพักของตนตลอดเวลา

เขากินเม็ดยารวบรวมพลังปราณทีละเม็ด พลังปราณส่วนใหญ่ถูกเปลี่ยนเป็นปราณปีศาจ มีเพียงส่วนเล็กๆที่กลายเป็นพลังปราณ แม้เขาจะไม่สามารถเปลี่ยนกลับเป็นร่างปีศาจเพื่อตรวจสอบแต่เขาเชื่อว่ารูปลักษณ์ปีศาจในปัจจุบันของเขาสูงใหญ่และแข็งแกร่งขึ้น หากเขายังบ่มเพาะอยู่บนภูเขา มันเป็นเรื่องยากที่เขาจะมาถึงระดับนี้ด้วยการดูดซับปราณจิตวิญญาณจากธรรมชาติ ท้ายที่สุดความเร็วในการบ่มเพาะของปีศาจก็ช้ากว่ามนุษย์ นี่เป็นข้อเสียโดยธรรมชาติของพวกมัน อย่างไรก็ตามหลี่ฉิงซานพยายามอย่างเต็มที่เพื่อใช้วิธีการของมนุษย์ชดเชยข้อเสียนี้

แม้เม็ดยาจะมีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะ แต่มันจะทำให้พลังปราณไม่บริสุทธิ์ นอกเหนือจากการใช้เม็ดยา จอมยุทธ์ทั่วไปยังต้องหาวิธีชำระล้างพลังปราณให้บริสุทธิ์อีกด้วย เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ต้องใช้เวลาและความพยายามค่อนข้างมาก แต่ด้วยความช่วยเหลือจากแหวนมิติ หลี่ฉิงซานจึงสามารถประหยัดเวลาและพลังงานไปได้มาก

หลี่ฉิงซานทำสมาธิอยู่ในห้องของเขาอย่างเงียบๆ สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขากินเม็ดยายี่สิบสี่เม็ดในช่วงเวลานี้และสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นที่สามของเคล็ดวิชาบ่มเพาะพลังปราณเบื้องต้น เดิมทีเขาต้องการบ่มเพาะต่อไปแต่โชคไม่ดีที่มันถึงเวลาแล้ว เขาทำได้เพียงลุกขึ้นและออกไป เขาค้นพบว่าฝนเริ่มตกในช่วงเวลาที่เขากำลังบ่มเพาะ

ภายใต้การนำทางของทูตชุดดำ เขามาถึงสถานที่จัดการแข่งขันซึ่งเป็นลานหินกว้างใหญ่ กฏของการแข่งขันง่ายมาก จอมยุทธ์จะเข้าสู่ลานประลองและต่อสู้หรือเข่นฆ่ากัน ผู้ชนะจะเข้าสู่รอบต่อไป ผู้แพ้จะถูกคัดออก สามคนสุดท้ายจะกลายเป็นผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์

ปลายสุดของลานหินเป็นศาลาสีชาดที่ยกสูงขึ้นจากพื้นหลายเมตร มีหลายร่างนั่งอยู่ภายใน พวกเขาสวมชุดเครื่องแบบสีดำสนิทของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์

นอกเหนือจากผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ยังมีอีกสองสามคนที่สวมชุดลำลองและพูดคุยกันอย่างสบายอารมณ์ พวกเขาดูเหมือนผู้ชมที่กำลังดูการแสดงหรือบางทีนี่อาจเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์สำหรับพวกเขา

หลี่ฉิงซานได้ยินอย่างชัดเจนว่าพวกเขากำลังพูดถึงความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ที่เข้าร่วมการคัดเลือกและวางเดิมพัน บรรยากาศดูผ่อนคลายมากจนดูเหมือนพวกเขากำลังเดิมพันม้าหรือสุนัข

ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์จมูกโตทำตัวเหมือนผู้ดำเนินรายการ เขาบอกรายละเอียดของผู้เข้าแข่งขันรวมถึงระดับการบ่มเพาะ “ต้องมีจอมยุทธ์ขั้นสามอยู่ในสามอันดับแรกอย่างแน่นอน สิ่งที่ควรค่าแก่การเสี่ยงโชคคือจอมยุทธ์ขั้นสองคนใดจะได้รับชัยชนะ”

ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ที่ยืนพิงเสากล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าพนันกับหญิงผู้นั้น”

ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์จมูกโตถาม “เฉียนหรงจื่องั้นหรือ? เพราะเหตุใด? นางไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น”

“แค่รู้สึก” ฝ่ายตรงข้ามเผยรอยยิ้มราวกับเขาเก็บงำความลับบางอย่างเอาไว้

ทันใดนั้นชายจมูกโตดูเหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้และเผยรอยยิ้มด้วยความเข้าใจ

เป็นเพียงเวลานี้ที่ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์อีกคนอุทาน “โอ้ ดูเด็กคนนั้น คนที่มองมาที่พวกเรา จอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง เหตุใดเราไม่พนันกันว่าเขาจะตายเมื่อใด?”

“ข้าเดิมพันว่าเขาจะตายตั้งแต่รอบแรก”

ท่ามกลางคนเหล่านี้มีจ้าวจื่อป๋อรวมอยู่ด้วย เขาเป็นชายร่างท้วมเล็กน้อย เขาหรี่ตาและเผยรอยยิ้ม “ท่านโจว เหตุใดเราไม่พนันกันสักหน่อย?” เขาดูเหมือนชายวัยกลางคนแต่อายุจริงของเขาเกินหกสิบไปแล้ว

ในทางกลับกัน ท่านโจวที่เขากล่าวถึงดูอ่อนเยาว์กว่า เขาเหมือนชายอายุสามสิบและแต่งกายเหมือนบัณฑิต เขามีหนวดเคราซึ่งทำให้เขาดูเคร่งขรึมมากขึ้น เขาโบกมือด้วยรอยยิ้ม “ไม่ ข้าจะไม่พนัน ข้าจะแพ้หากข้าพยายามเสี่ยงโชคในอาณาเขตของท่าน” อย่างไรก็ตามภายในเขาไม่ได้ยิ้ม เขาคิดว่าอีกฝ่ายต้องการแสดงความเหนือชั้นของตนอีกครั้ง

ในเมืองเจียเผิงอาจมีเพียงโจวเหวินปิงเท่านั้นที่มีอำนาจเท่าเทียมกับจ้าวจื่อป๋อ พวกเขาต่างระวังตัวจากอีกฝ่าย ภายนอก พวกเขาจะรักษาสงบ แต่เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาส พวกเขาจะแสดงความแข็งแกร่งของตนให้อีกฝ่ายเห็น

ภายใต้การรบเร้าซ้ำๆของจ้าวจื่อป๋อ ในที่สุดโจวเหวินปิงก็เห็นชื่อหนึ่งที่เขารู้สึกสนใจ “ผู้บัญชาการจ้าว มีจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งเข้าร่วมด้วยงั้นหรือ?”

“มีคนบ้าบิ่นทุกปี” จ้าวจื่อป๋อสังเกตเห็นเรื่องนี้มานานแล้วแต่เขาไม่ได้สนใจมันมากนักเพราะเขาคิดว่าคนผู้นี้ไม่มีโอกาส มันมีความแตกต่างมากเกินไป แม้หวังฝูซื่อจะตำหนิเขาก่อนหน้านี้เพราะเรื่องของเฟิงจางและบอกเขาว่าสมาชิกใหม่จะมารายงานตัว แต่ชายชราไม่เคยเอ่ยชื่อหลี่ฉิงซานกับเขา บางทีแม้แต่หวังฝูซื่อก็ไม่เชื่อว่าหลี่ฉิงซานจะรอดพ้นจากเงื้อมือของเฟิงจาง ยิ่งไปกว่านั้นมันยังผ่านมานานหลายเดือนแล้ว

โจวเหวินปิงหยุดยิ้ม เขาไม่ได้อยู่ที่เมืองเจียเผิงแต่เดินทางมาจากเมืองชิงเหอ สหายของเขาในเมืองชิงเหอกล่าวถึงเด็กหนุ่มที่น่าสนใจในจดหมาย เขาจำได้ว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นใช้แซ่หลี่

กู่เยี่ยนหยินเป็นสตรีที่ทรงอำนาจในเขตรุ้ยอี้และเป็นคู่รักในฝันของบุรุษทุกคน ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับนางจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่น่าสนใจ ดังนั้นชื่อของหลี่ฉิงซาน เด็กหนุ่มที่ได้รับความสนใจจากนางจึงแพร่กระจายออกไป

กระทั่งจ้าวจื่อป๋อยังถูกหวังฝูซื่อตำหนิเพราะเรื่องนี้ นั่นทำให้มันยิ่งน่าจดจำมากขึ้นไปอีก

“ข้าเดิมพันด้วยหินวิญญาณสิบก้อนกับเด็กคนนี้ เขาต้องมีบางสิ่งที่ทำให้เขากล้ามาที่นี่แม้เขาจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ข้าเชื่อว่าเขาจะกลายเป็นผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์”

จ้าวจื่อป๋อหรี่ตาและเผยรอยยิ้ม “เมื่อครู่ท่านพึ่งบอกว่าจะไม่เล่นพนัน ท่านไม่แม้แต่จะสนใจที่จะพนันกับข้า”

กลุ่มคนด้านบนเดิมพันชะตากรรมของผู้คนด้านล่าง ขณะที่กลุ่มคนด้านล่างกลายเป็นเครื่องมือในการเล่นพนันของกลุ่มคนชั้นบน จิตใจของมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเพียงเพราะการบ่มเพาะที่สูงขึ้น

หลี่ฉิงซานยืนอยู่ในลานกว้างพร้อมกับกลุ่มจอมยุทธ์ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังเขา คนที่ซื้อยันต์จากเขาจะไม่ขอบคุณเขา ตรงข้าม พวกเขาใช้ประโยชน์จากสถานการณ์เพื่อลดโอกาสของเขาเท่านั้น สำหรับคนที่ล้มเหลวในการประมูลยันต์ พวกเขาไม่พอใจหลี่ฉิงซานเช่นกันที่เขาทำให้คู่ต่อสู้ของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น

 -------------

พรุ่งนี้หยุด