ตอนที่แล้วยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 59 เหตุการณ์ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 61 สหายเต๋าเทียงทง

ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 60 รางวัลของผู้ชนะเลิศลำดับที่หนึ่ง!


ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 60 รางวัลของผู้ชนะเลิศลำดับที่หนึ่ง!

มันเป็นเพียงภาพลวงตาหรือ ฉีฮ่าวมองหลินชิงจู้อย่างลึกซึ้ง เขาไม่เชื่อว่านี่เป็นความจริง ปัจจุบันเขาใกล้จะบรรลุของขอบเขตสวรรค์ขั้นที่ 9 แล้ว ทว่าเขาได้ระงับระดับการบ่มเพาะของเขาไว้

หนึ่งเดือนที่ผ่านมา บิดดาของเขาได้ใช้สมบัติธรรมชาติจำนวนและเงินมหาศาลเพื่อช่วยให้เพิ่มระดับการบ่มเพาะของเขา ซึ่งเป้าหมายของเขาคือการสะกดขุนเขาเมฆาม่วงในการประลองยุทธครั้งนี้

อาจกล่าวได้ว่าฉีอู๋ฮุ่ยได้ทำทุกอย่างเพื่อที่จะสามารถปราบปรามเย่ชิว

ภายนอกฉีฮ่าวมีระดับการบ่มเพาะเพียงขอบเขตสวรรค์ขั้นที่ 4 เท่านั้น ทว่านั่นเป็นสิ่งเขาที่จงใจซ่อนมันไว้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะมีความแข็งแกร่งขอบเขตสวรรค์ขั้นที่ 8 ทว่าเขาก็ยังรู้สึกถึงกลิ่นอายคุกคามจากหลินชิงจู้ได้

พลังที่เยือกเย็นจนเสียดแทงวิญญาณนั้นแปลกประหลาดเกินไป

แปลกประหลาดยิ่งนัก เกิดอันใดขึ้น ระดับการบ่มเพาะของสตรีคนนี้สูงกว่าของข้างั้นหรือ ฉีฮ่าวส่ายศีรษะ รู้สึกว่าความเป็นไปได้นี้แทบจะเป็นศูนย์

หลินชิงจู้เพิ่งเริ่มบ่มเพาะในช่วงเวลาสั้น ๆ ทว่าเขาบ่มเพาะมาห้าถึงหกปีแล้ว เร็วกว่านางหลายเท่าน

เป็นเวลากว่าสามเดือนเท่านั้นที่นางเข้ามาในสำนัก ไม่ว่านางจะเก่งกาจเพียงใด ก็เป็นไปไม่ได้ที่นางจะเหนือกว่าเขา แม้แต่อัจฉริยะที่มีกระดูกศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดจาก ขุนเขากระบี่เร้นลับที่เข้าร่วมสำนักพร้อมกันกบนางก็อยู่ในของขอบเขตนิ้วทมิฬชั้นที่ 2 เพียงเท่านั้น

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ดวงตาของฉีฮ่าวก็เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ทว่าเขาไม่ได้เลือกที่จะลงมือ ก่อนที่การประลองจะเริ่มขึ้น เขาไม่ต้องการเปิดเผยความแข็งแกร่งออกมา เป้าหมายของเขาในครั้งนี้คือการเป็นผู้ชนะเลิศของการประลองยุทธ

ยิ่งไปกว่านั้น มันไม่มีประโยชน์ที่จะเอาชนะคนเหล่านนี้ที่นี่

ฉีฮ่าวต้องการทรมานพวกเขาอย่างโหดเหี้ยมบนลานประลอง เขาจะทำให้ขุนเขาเมฆาม่วงอับอายต่อหน้าเหล่าศิษย์ทั้งหมดทั้งมวล

“ฮึ่ม รอก่อนเถอะ ตอนนี้ข้าจะละเว้นพวกเจ้าไว้ หากพวกเจ้าพบข้าบนลานประลองก็จงสวดอ้อนวอนไว้เสีย” ฉีฮ่าวกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชาและหันหลังกลับเตรียมจะจากไป

ในขณะนี้ เสียงเย้ยหยันก็ดังขึ้นอีกคราทำให้ฉีฮ่าวเซจนเกือบจะสะดุดล้ม

“ชิ เจ้าคนขี้ขลาด ใครบ้างจะไม่รู้การพูดข่มเช่นนี้”

จ้าวว่านเอ๋อรู้สึกขบขันไม่น้อย ดวงตาที่สดใสของนางหรี่ลงราวกับจันทร์เสี้ยว

ราวกับว่านางเป็นเซียนที่โดดเด่น สามารถทำให้เมืองล่มสลายได้อย่างง่ายดาย ราวกับว่าเป็นเทพธิดาที่บังเอิญหลงเข้ามาในโลกมนุษย์และถูกชะตากรรมของโลกมนุษย์ทำให้แปดเปื้อนก็ว่าได้

คำพูดของเซียวอี้เกือบทำให้หลินชิงจู้ที่เย็นชาหัวเราะออกมา ไม่นานนางก็สงบลงและยังคงมองไปยังฉีฮ่าวอย่างเย็นชา

ในขณะนี้ฉีฮ่าวต้องการบีบคอเซียวอี้ทันที มารดามันเถอะ มันบอกว่าข้าเป็นคนขี้ขลาดหรือ

ฉีฮ่าวระงับความโกรธในใจของเขา ความใจร้อนเพียงเล็กน้อยจะทำให้แผนการอันยิ่งใหญ่พังได้ ข้าจะต้องอดทน…

ฉีฮ่าวขบฟันและจากไปด้วยความโกรธ

สำหรับศิษย์คนอื่น ๆ ของ ขุนเขากระบี่เร้นลับ พวกเขาก็ทนรับความอัปยศอดสูเช่นนี้ไม่ได้และติดตามฉีฮ่าวไป

หลังจากที่คนเหล่านั้นจากไป จ้าวว่านเอ๋อดึงเสื้อคลุมสีแดงของนางและตบไหล่ของเซียวอี้ “เจ้าทำได้ดีมาก ในอนาคตก็จงเป็นเช่นนี้ต่อไป”

“ฮิฮิ ศิษย์พี่ว่านเอ๋อ ข้าไม่ได้โอ้อวด แม้ว่าข้าจะสู้เขาไม่ได้ ทว่าในเรื่องวาจาไม่เคยเจอคู่แข่งเลยแม้แต่ผู้เดียว ไม่ต้องพูดถึงคนเหล่านั้น ต่อให้พวกเขาโจมตีมาพร้อมกัน ข้าจะต้องกลัวอะไรอีก” เซียวอี้ตบหน้าอกของเขาและกล่าวอย่างมั่นใจ

ทุกคนมองมาที่เขาราวกับกำลังดูเชื้อร้ายก็ว่าได้ พวกเขาไม่ต้องการเข้าใกล้เซียวอี้มากเกินไป

ในขณะที่รออย่างเงียบ ๆ หลิวชิงเฟิงก็เดินออกมาจากห้องโถง

เหตุการณ์ที่วุ่นวายได้เงียบลงทันที

“ศิษย์น้องทั้งหลาย โปรดย้ายไปยังลานประลองยุทธ” หลิวชิงเฟิงกล่าวเสียงดังและเดินไปยังลานประลองยุทธ

ลานประลองนั้นเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมที่ว่างเปล่าเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นสถานที่ที่ศิษย์ของขุนเขาแรกฝึกฝนเคล็ดวิชาการต่อสู้อยู่ทุกวัน

ทุกคนตามหลิวชิงเฟิงไปยังลานประลองยุทธ ปรมาจารย์ขุนเขาทั้งเจ็ดได้รอคอยอยู่ก่อนแล้ว

ขุนเขาเมฆาม่วงมีทั้งหมดสามคนเท่านั้น และในสามคนนี้ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ

มันอาจฟังดูเล็กน้อย… ทว่ากลับเด่นชัดในฝูงชน ท้ายที่สุดมีศิษย์หลายสิบคนที่เข้าร่วมจากขุนเขาต่าง ๆ

มีเพียงสามคนจากขุนเขาเมฆาม่วง เมื่อเทียบกับขุนเขาอื่น ๆ พวกเขาด้อยกว่ามาก

เมิ่งเทียนเจิ้งลูบเคราของเขาด้วยความพอใจในขณะที่เขามองไปยังแถวด้านล่างที่เรียบร้อย

เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ข้ารู้สึกสับสนยิ่งนักเมื่อข้ามองไปยังใบหน้าที่อ่อนเยาว์เหล่านี้ กาลครั้งหนึ่ง เราก็เป็นหนึ่งในนั้น ครั้งหนึ่งเราเคยเลือดร้อนและเหลาะแหละ ทว่าน่าเสียดายที่เส้นทางสู่ความเป็นเซียนนั้นไม่แน่นอน หลายปีผันผ่านไปในพริบตา เหลือศิษย์พี่ศิษย์น้องที่อยู่ข้างกันเพียงไม่กี่คน”

“บางครั้ง ข้าก็สงสัยว่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้จะสามารถสืบทอดมรดกที่ผู้อาวุโสของสำนักทิ้งไว้หลังจากที่พวกเราจากไปในวันใดวันหนึ่งได้หรือไม่”

“ท้ายที่สุดข้าก็โล่งใจที่เห็นว่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ล้วนมีความหวังและไม่ธรรมดา”

เสียงกล่าวอย่างกะทันหันของเมิ่งเทียนเจิ้งทำให้ทุกคนสับสน

ฉีอู๋ฮุ่ยถามอย่างสงสัย “ศิษย์พี่มีอารมณ์อ่อนไหวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”

“ฮ่าฮ่า ข้าแก่แล้ว ข้าก็ต้องคิดถึงอดีตเป็นธรรมดา” เมิ่งเทียนเจิ้งยิ้ม เขามีชีวิตอยู่มานานแล้ว ผ่านเหตุการณ์มามากมาย เช่นเดียวกับที่เขาได้เห็นการตายของซวนเทียนเจินเหรินเมื่อสิบปีก่อนเป็นการส่วนตัว

“เป็นเช่นนั้น…”

ฉีอู๋ฮุ่ยต้องการพูดอะไรบางอย่าง ทว่าเมิ่งเทียนเจิ้งโบกมือและเดินจากไป

เสียงชราของเขานั้นเหมือนกับเสียงของมหาเต๋าที่ดังก้อง

“ข้าขอประกาศว่าการประลองยุทธเจ็ดขุนเขาได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว มีทั้งหมดแปดลำดับในการประลองยุทธครั้งนี้ ตราบเท่าที่เจ้าเข้าสู่แปดลำดับแรก เจ้าจะได้รับรางวัล ขุนเขาที่ได้รับลำดับหนึ่งจะได้รับรางวัลเป็นเม็ดยาวิญญาณขั้นสูงสุด ผลไม้แห่งการตรัสรู้หนึ่งผลและเม็ดยาอีกจำนวนหนึ่ง”

ฝูงชนต่างตกอยู่ในความโกลาทันทีที่เขากล่าวจบ

“ผลตรัสรู้ นี่… เจ้าสำนักช่างทุ่มเทเหลือเกิน”

ครู่หนึ่ง ทุกคนพูดคุยกันอย่างมีชีวิตชีวา ดวงตาของพวกเขาต่างเป็นประกาย

ไม่มีใครคาดคิดว่าเมิ่งเทียนเจิ้งจะยินดีมอบเม็ดยาวิญญาณขั้นสูงสุดและผลไม้แห่งการตรัสรู้เป็นรางวัลสำหรับการประลองยุทธครั้งนี้

เม็ดยาวิญญาณขั้นสูงสุดสามารถเพิ่มความเข้าใจได้ แม้มัจะด้อยกว่าเม็ดยาเซียน ทว่ามันก็หายากมากในโลกดินแดนรกร้าง

นอกเหนือจากการเพิ่มความเข้าใจแล้ว ยังช่วยให้เข้าใจเต๋าได้ง่ายขึ้นอีกด้วย มันมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ติดอยู่ที่คอขวดเป็นเวลาหลายปีและไม่สามารถทะลวงขอบเขตอื่นได้

แม้แต่ดวงตาของเย่ชิวก็สว่างขึ้นเมื่อเขาได้ยินรางวัลนี้

“ผลไม้แห่งการตรัสรู้ ดูเหมือนว้าข้าจะขาดแคลนสิ่งนี้ในขณะนี้” เขาแอบดีใจไม่น้อย

แม้ว่าผลไม้แห่งการตรัสรู้จะยอดเยี่ยม ทว่าก็ค่อนข้างไม่สำคัญสำหรับเขา อย่างไรก็ตาม เย่ชิวมีระบบตอบแทนหมื่นเท่า การใช้ประโยชน์จากมันจะคุ้มค่ากว่ามาก

ด้านล่างลานประลอง หลินชิงจู้มองไปยังเย่ชิวโดยไม่รู้ตัวเมื่อนางได้ยินรางวัลลำดับที่หนึ่ง

เมื่อนางรับรู้ว่าเย่ชิวดูเหมือนจะให้ความสนใจเกี่ยวกับรางวัลนี้ไม่น้อย นางก็กระชับกระบี่ในมืออย่างเงียบงัน

“สิ่งนี้ควรมีความสำคัญต่อท่านอาจารย์อย่างยิ่ง ภาระของท่านอาจารย์หนักเท่าภูเขา ถึงเวลาที่ข้าต้องตอบแทนท่านอาจารย์แล้ว”

หลินชิงจู้จ้องมองอย่างแน่วแน่ นางมีเป้าหมายแล้ว

ในอีกด้านหนึ่ง ใบหน้าของฉีฮ่าวมืดลงในขณะที่เขาเผยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวออกมา “อย่างที่ท่าพ่อกล่าว รางวัลครั้งนี้คือเม็ดยาวิญญาณขั้นสูงสุดและผลไม้แห่งการตรัสรู้”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าจะต้องได้รับมันและมอบให้ท่านพ่อเพื่อช่วยให้เขาบรรลุขอบเขตยอดยุทธ”

5 1 โหวต
Article Rating
3 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด