ตอนที่แล้วยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 53 บรรลุความเชี่ยวชาญขั้นยิ่งใหญ่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 55 โกรธเกรี้ยวอีกครา

ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 54 เสียใจ


ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 54 เสียใจ

ไม่มีใครคิดว่าเย่ชิวจะโหดเหี้ยมขนาดนี้ เขาไม่ลืมที่จะเยาะเย้ยฉีอู๋ฮุ่ยก่อนจะจากไป พวกเขารู้สึกได้ว่าในเวลานี้ฉีอู๋ฮุ่ยอาจต้องการสังหารเย่ชิวก็ว่าได้

พวกเขาแอบหัวเราะอยู่ภายในใจ เจ้าสมควรจะได้รับมันแล้ว!

ในหมู่พวกเขา หยางอู๋ตี๋นั้นรู้สึกสบายใจเป็นที่สุด เพราะเขาเป็นผู้ที่ต่อสู้กับฉีอู๋ฮุ่ยในพิธีรับศิษย์ในโถงหยกพิสุทธิ์ เขาได้ประมือกับฉีอู๋ฮุ่ยเพื่อแย่งชิงศิษย์กัน ในท้ายที่สุด เนื่องจากขอบเขตของเขาไม่สามารถเทียบฉีอู๋ฮุ่ยได้ ศิษย์คนนั้นจึงถูกฉกฉวยไปอย่างเสียดาย หยางอู๋ตี๋ยังไม่ลืมความกล้ำกลืนของตนในช่วงเวลานั้นได้

“ฮ่าฮ่า ศิษย์น้อง! เจ้าทำได้ดีมาก…” หยางอู๋ตี๋แอบดีใจ เขาตบไหล่เย่ชิวและหัวเราะออกมา เขาไม่ได้ซ่อนความสุขเลยแม้แต่น้อย เขานั้นตรงไปตรงมา หากเขาอารมณ์ดีเขาก็จะกล่าวตามที่ตนปรารถนา

หมิงเยว่ปิดปากของนางและหัวเราะ “ศิษย์น้องเย่ เจ้าช่างเจ้าเล่ห์นัก ทว่าข้าชอบมันไม่น้อย ข้าคิดว่า… ศิษย์พี่ฉีอาจจะอาเจียนเป็นเลือดด้วยความโกรธเกรี้ยวเมื่อเขากลับไปยังภูเขา แม้แต่คนธรรมดาไม่รับมือการตบหน้าเช่นนี้ได้ นับประสาอะไรกับคนอย่างศิษย์พี่ฉีที่มีความภาคภูมิใจในตนเองสูง”

จู่ ๆ หมิงเยว่ก็รู้สึกเสียใจต่อฉีอู๋ฮุ่ยไม่น้อย ขณะที่นางส่ายหัว นางเองก็ดีใจมากที่คน ๆ นั้นไม่ใช่นาง มิฉะนั้นนางอาจจะไม่สามารถข่มตานอนหลับได้ ยิ่งก้าวถอยหลัง ก็ยิ่งโกรธ ยิ่งอดทนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสูญเสียมากขึ้นเท่านั้น

เย่ชิวยิ้มโดยไม่พูดอะไร ในขณะนี้เมิ่งเทียนเจิ้งได้เดินเข้ามา หัวใจของเขาเจ็บปวดเพราะฉีอู๋ฮุ่ยไม่น้อย ทว่าเขาไม่สามารถพูดอะไรได้

ท้ายที่สุดฉีอู๋ฮุ่ยเป็นคนริเริ่มที่จะยั่วยุเย่ชิวก่อน นอกจากนี้ ปรมาจารย์ขุนเขาคนก่อนของขุนเขาเมฆาม่วงและขุนเขากระบี่เร้นลับล้วนเป็นเช่นนี้ เขาคุ้นเคยกับมันแล้ว

“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก…” ทุกคนตะโกนพร้อมกันและหยุดพูดคุยเรื่องนี้หลังจากที่พวกเขาเห็นเมิ่งเทียนเจิ้งเดินผ่านไป อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงแอบหัวเราะอยู่ในใจ

“เอาล่ะทุกคน แยกย้ายได้แล้ว! การประลองยุทธกำลังใกล้เข้ามา ทุกคนจงกลับไปเตรียมตัว”

“ทราบแล้ว…” ทุกคนตอบพร้อมกันและแยกย้ายกันไป เมิ่งเทียนเจิ้งมองเย่ชิว อย่างลึกซึ้งและพึงพอใจเป็นอย่างมากมาก

จากสิ่งนี้เป็นการบ่งบอกว่ามรดกของขุนเขาเมฆาม่วงยังได้รับการสืบทอดมา

ไม่กี่เดือนที่ผ่านมาฉีอู๋ฮุ่ยได้แนะนำให้เย่ชิวทำการยุบขุนเขาเมฆาม่วง ท้ายที่สุดมีเพียงเย่ชิวเพียงคนเดียวที่อยู่บนขุนเขานี้นี้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีขุนเขาอีกต่อไป

เมิ่งเทียนเจิ้งดีใจมากที่เย่ชิวไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำของฉีอู๋ฮุ่ย

“ศิษย์น้อง ข้าไปก่อน! ไว้พบกันในการประลองยุทธ” หยางอู๋ตี๋ตบไหล่เย่ชิวและจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ อารมณ์ของเขาดูเหมือนจะดีเป็นพิเศษ

ในไม่ช้าก็มีเพียงเย่ชิวและศิษย์สองคนของเขา หมิงเยว่ หลิวรู่หยานและหลิวชิงเฟิง เท่านั้นที่ถูกทิ้งไว้ที่ขุนเขาเมฆาม่วง

เมื่อเห็นว่าทุกคนออกไปแล้ว หมิงเยว่ก็ล่าวอย่างไม่เต็มใจว่า “ศิษย์น้อง ข้าก็จะกลับเช่นกัน! ลาก่อน”

“เอาล่ะ ศิษย์พี่หญิงดูแลตนเองให้ดี ท่านสามารถมาเยี่ยมเยือนขุนเขาข้าได้เสมอ” เย่ชิวกล่าวอย่างใจเย็น หมิงเยว่ดูผิดหวังเล็กน้อย เขาจะไม่ขอให้นางอยู่หน่อยหรือ

ข้าหงุดหงิดยิ่งนัก ข้าเพียงแค่พูดลอย ๆ ข้าไม่ได้อยากจากไปจริง ๆ เจ้าบัดซบ ข้าขี้เหร่เพียงนั้นเลยหรือ หมิงเยว่เกิดความสงสัยในรูปลักษณ์ของตนอีกครั้ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางยังคงเป็นสาวงามลำดับหนึ่งของสำนักเยียวยาสวรรค์ นางมีความเป็นผู้ใหญ่ มีความรู้และใจกว้าง เป็นสตรีในฝันของชายหนุ่มหลายคน

ทว่าดูราวกับสิ่งนี้จะไม่มีประโยชน์กับเย่ชิวมากนัก

เป็นไปได้ไหมว่า… เขาชอบผู้ชายจริง ๆ แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว...

“รู่หยาน ไปกันเถอะ” หมิงเยว่กล่าวอย่างขมขื่นและหันไปจากไป

หลิวรู่หยานเดินตามหมิงเยว่ท่ามกลางความเงียบงัน จนถึงขณะนี้นางยังไม่ฟื้นคืนจากความตกตะลึงของนาง อาจารย์อาจารย์ลุงเย่ที่เคยถูกมองว่าเป็นขยะได้ทำให้พวกเขาตกตะลึงอีกครั้ง

หลังจากหมิงเยว่จากไปก็เหลือเพียงหลิวชิงเฟิง

“เอ๊ะ เจ้าไม่ไปหรือ เราไม่มีอาหารเลี้ยงเจ้าหรอกนะ…” เย่ชิวหันกลับมาและชำเลืองมองเขา เด็กคนนี้ต้องการอาศัยอยู่บนขุนเขาเมฆาม่วงหรือ

หลิวชิงเฟิงยิ้มและกล่าวว่า “อาจารย์อาจารย์ลุงเย่ ข้ายังไม่ได้ขอบคุณท่านอย่างถูกต้อง หากไม่ใช่เพราะคำแนะนำของท่านในวันนี้ ข้าคงไม่สามารถตรัสรู้ได้เช่นนี้”

เย่ชิวพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เด็กคนนี้ไม่เลวเลย ทั้งยังดูแลเขาเป็นอย่างดีตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าทุกคนในสำนักจะปฏิบัติต่อเขาอย่างเย็นชา ทว่ากลับมีเพียงหลิวชิงเฟิง เท่านั้นที่รักษาความเคารพที่เขาควรมีต่อเขาไว้เสมอมา

“เอาล่ะ ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า!” เย่ชิว พูดอีกครั้งว่า “ในฐานะหัวหน้าศิษย์เจ้ายังมีภาระมากมาย จงกลับไปก่อนเถอะ”

หลิวชิงเฟิงไม่ปฏิเสธและโค้งคำนับอย่างเคร่งขรึม “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”

“เอาล่ะ ไปเถอะ…”

ในไม่ช้าหลิวชิงเฟิงก็ออกจากขุนเขาเมฆาม่วง ทำให้ขุนเขาเมฆาม่วงกลับสู่ความสงบดังเดิม

เย่ชิวรู้ว่าเรื่องราวของวันนี้จะแพร่กระจายไปทั่วสำนักอย่างแน่นอน ทว่าเขาไม่สนใจ

หลังจากที่ทุกคนออกไป หลินชิงจู้และจ้าวว่านเอ๋อก็เดินขึ้นมา

จ้าวว่านเอ๋อเอียงศีรษะของนางและมองไปในทิศทางของขุนเขากระบี่เร้นลับ นางกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ เหตุใดอาจารย์อาจารย์ลุงฉีถึงต้องบาดหมางกับท่านหรือ”

นางไม่รู้ชัดเจนเกี่ยวกับความบาดหมางระหว่างขุนเขาเมฆาม่วงและขุนเขากระบี่เร้นลับ ดังนั้นนางจึงสงสัยเป็นอย่างมาก

ทั้งสองยืนมองจากด้านข้างโดยไม่พูดอะไร อย่างไรก็ตาม พวกเขารู้สึกได้ถึงความเย่อหยิ่งและดูถูกเหยียดหยามในสายตาของฉีอู๋ฮุ่ย

ทว่าน่าเสียดายที่เขาจากไปด้วยความเสียใจ

เย่ชิวยิ้มและอธิบายว่า “เพราะขุนเขาเมฆาม่วงและขุนเขากระบี่เร้นลับเป็นศัตรูกันมานานหลายชั่วอายุคน การต่อสู้เช่นนี้มีมาแต่ช้านาน ปรมาจารย์เกือบทุกคนจะต่อสู้กันเอง”

“ทว่าน่าเสียดาย ตั้งแต่ต้นจนจบ ขุนเขากระบี่เร้นลับถูกสะกดไว้โดยขุนเขาเมฆาม่วงของเรา”

“หลังจากสั่งสมความแค้นมาหลายปี ความขัดแย้งนี้ก็ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น นับตั้งแต่ฉีอู๋ฮุ่ยสืบทอดตำแหน่งปรมาจารย์ขุนเขา เขาถือว่าขุนเขาเมฆาม่วงเป็นศัตรูเพียงคนเดียวของเขา อย่างไรก็ตาม ปรมาจารย์ของเรายังคงมีชีวิตอยู่ในเวลานั้น ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่กระทำจะผลีผลามเกินไป

“ไม่นานปรมาจารย์ขุนเขาเมฆาม่วงรุ่นก่อนก็ได้เสียชีวิตไป ฉีอู๋ฮุ่ยจึงเริ่มเห็นความหวังที่จะปราบปรามขุนเขาเมฆาม่วงของเราอย่างบ้าคลั่ง นับเป็นเวลาสิบปีแล้วที่เขาคอยกดดันและทำให้ข้าลำบากอยู่เสมอ เขาต้องการพิสูจน์ว่าขุนเขากระบี่เร้นลับ ไม่ได้ด้อยไปกว่าขุนเขาเมฆาม่วงของเรา”

จ้าวว่านเอ๋อตระหนักได้หลังจากได้ยินคำอธิบายของเย่ชิว ปรากฎว่าขุนเขาเมฆาม่วงและขุนเขากระบี่เร้นลับมีอดีตที่ซับซ้อนเช่นนี้ นางเข้าใจดีว่าความบาดหมางระหว่าง ขุนเขาเมฆาม่วงและขุนเขากระบี่เร้นลับอาจมาตกอยู่ที่พวกนางในอนาคต นางรู้สึกกดดันอย่างมากในทันที ปรมาจารย์ขุนเขาคนก่อนของขุนเขาเมฆาม่วง ไม่เคยพ่ายแพ้ผู้ใด แม้แต่เย่ชิวก็ยังตอบโต้อย่างแข็งกร้าว

หากเวลานั้นมาถึง พวกนางจะสามารถรักษาขุนเขานี้ไว้ได้หรือไม่

“นั่นคือเหตุผลที่พวกเจ้าต้องขยันบ่มเพาะ เจ้าสามารถแพ้ใครก็ได้ที่ไม่ใช่คนจากขุนเขากระบี่เร้นลับ มิฉะนั้นฉีอู๋ฮุ่ยจะไม่ปล่อยโอกาสอันยอดเยี่ยมเช่นนี้ไป และเหยียบย่ำเราอย่างแน่นอน” เย่ชิวกล่าวอย่างจริงจัง ทั้งสองพยักหน้าตอบพร้อมแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

“ท่านอาจารย์ ไม่ต้องกังวล เราจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอน”

จ้าวว่านเอ๋อดูเหมือนจะมีเป้าหมายใหม่ นางมองไปยังขุนเขากระบี่เร้นลับอย่างมีเลศนัยและพึมพำว่า “น่าสนใจ… เช่นนั้นเราจะแพ้ไม่ได้”

นางสามารถควบคุมเคล็ดวิชาเพลิงกรรมบงกชแดงในร่างกายของนางได้เป็นอย่างดีหลังจากที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาฝ่ามือดอกเหมยควบคู่ ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของนางนั้นน่าทึ่งมาก นอกจากนี้ ในช่วงเวลานี้ นางได้ดูดซับพลังของกระดูกสมบัติอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระดับการบ่มเพาะของนางได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน

จากการคาดการณ์ของเย่ชิว นางควรจะบรรลุขอบเขตนิ้วทมิฬขั้นที่ 9 ก่อนถึงการลองยุทธเจ็ดขุนเขา

นี่เป็นแค่การคาดการณ์ทั่วไป หากนางขยันกว่านี้ นางอาจจะสามารถทะลวงไปสู่ขอบเขตสวรรค์ได้

ท้ายที่สุดแล้ว กระดูกสมบัตินั้นเป็นผู้สืบทอดของขอบเขตห้าชีวาเร้นลับ พลังที่บรรจุอยู่ในนั้นทรงพลังอย่างยิ่ง มันจะถูกดูดซึมได้ง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร

ในทางกลับกัน ระดับการฝึกฝนของหลินชิงจู้ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งอยู่ในขอบเขตสวรรค์ขั้นที่ 2 ความก้าวหน้าของนางก็รวดเร็วมากเช่นกัน

อาจเป็นเพราะจ้าวว่านเอ๋อกำลังไล่ตามนาง แรงกดดันในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ทำให้นางมีความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในขณะนี้ ฉีอู๋ฮุ่ยได้กลับไปยังห้องฝึกซ้อมและทุบโต๊ะด้วยความโกรธเกรี้ยว

“มารดามันเถอะ!” ฉับพลัน โต๊ะพังทลายลงกลายเป็นฝุ่นทันที

เมื่อศิษย์ข้างนอกได้ยินเสียงดัง พวกเขาต่างตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวทันที ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดเขาถึงโมโหเช่นนี้

แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าไปรบกวน เพราะกลัวว่าตนเองจะได้รับเคราะห์ร้ายโดนบันดาลโทสะใส่

5 1 โหวต
Article Rating
4 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด