ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 106 จอมยุทธ์สิบขั้น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 108 ออกจากบ้านเกิด

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 107 แหวนมิติ


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 107 แหวนมิติ

แปลโดย iPAT  

หลิวหงกล่าว “ฉิงซานกำลังฝึกฝน อย่ารบกวนเขา”

หยางซ่งกล่าว “เสี่ยวหลง เจ้าต้องทำงานให้หนัก ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า เจ้าสามารถเปลี่ยนกำลังภายในให้เป็นพลังปราณ เจ้าจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจอมยุทธ์ขั้นสองได้อย่างไม่มีปัญหา เจ้าไม่ได้เลวร้ายกว่าผู้ใด”

หลี่ฉิงซานจัดการปัญหาเกี่ยวกับหัวหน้าหออู๋เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นหลิวหงจึงขอให้หยางซ่งพาหลี่หลงกลับสำนักกำปั้นเหล็กสาขาหลักพร้อมกับเขาเพื่อฝึกฝนทักษะการต่อสู้

หลี่หลงกล่าวด้วยความเคารพและระมัดระวัง “รับทราบ!”

ทั้งสามมองไปยังประตูห้องที่ปิดสนิทอย่างเงียบๆด้วยความคิดที่แตกต่างกัน

หลี่ฉิงซานเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้งหลังจากค่ำคืนผ่านพ้นไป เขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของตน ตอนนี้เขารู้สึกโล่งใจมาก ในที่สุดเขาก็บรรลุขั้นแรกบนเส้นทางการบ่มเพาะพลังปราณของมนุษย์

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาสามารถบ่มเพาะมันได้อย่างง่ายดาย เขาต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการบ่มเพาะ

น่าเสียดายที่เขากินเม็ดยาจิตวิญญาณของซวนเยว่ไปหมดแล้ว มิฉะนั้นเขามั่นใจว่าเม็ดยาจิตวิญญาณเพียงเม็ดเดียวก็เพียงพอให้เขาบรรลุสามขั้นแรกของเคล็ดวิชาการบ่มเพาะพลังปราณนี้ได้ทันที มันอาจเพียงพอให้เขากลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นสองเช่นกัน

เส้นทางการบ่มเพาะพลังปราณมีส่วนประกอบสำคัญสี่ส่วนเช่นเดียวกับการฝึกยุทธ์ซึ่งได้แก่ความมั่งคั่ง มิตรภาพ วิธีการ และสิ่งแวดล้อม ความมั่งคั่งไม่ได้หมายถึงเงินทองแต่คือยาหรือสมุนไพรทางจิตวิญญาณ หากเขาต้องการฝึกทักษะการต่อสู้ เขาต้องกินอาหารที่ดี หากเขาต้องการบ่มเพาะพลังปราณ เขาต้องกินพลังปราณ ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการเล่นแร่แปรธาตุจึงเป็นตัวช่วยที่จำเป็น

แม้พรสวรรค์และความสามารถในการทำความเข้าใจส่วนบุคคลจะมีความสำคัญ แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จในทันทีและก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว เว้นเพียงพวกเขาจะใช้เวลามากพอในการสร้างรากฐานล่วงหน้า

อย่างไรก็ตามแม้พลังปราณจะอ่อนแอ มันก็ยังมีความสำคัญต่อเขา เขาหยิบดาบดาวหางออกมาและส่งพลังปราณเข้าไป ดังคาด สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณยอมรับพลังปราณของเขา แม้มันจะล้มเหลวในจังหวะสุดท้ายแต่มันก็ยังเป็นแรงจูงใจที่ดีสำหรับเขา

นี่หมายความว่าเขาสามารถกระตุ้นใช้งานยันต์ได้เช่นกัน ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างมนุษย์กับปีศาจคือความสามารถในการสร้างและใช้เครื่องมือ ปีศาจใช้กำลังของพวกมันเองขณะที่มนุษย์พึ่งพาเครื่องมือ พวกเขาไม่สามารถดูดซับปราณจิตวิญญาณจากธรรมชาติได้โดยตรง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหลอมรวมเม็ดยาต่างๆ พวกเขาไม่มีร่างกายที่แข็งแกร่ง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องสร้างสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณและเครื่องรางของขลัง

นี่คือจุดที่น่าเกรงขามของมนุษย์ หลี่ฉิงซานต้องใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ให้มากที่สุด นอกจากนั้นหากเขาต้องการเปิดแหวนมิติของเฒ่ามังกรทะยาน เขาก็ต้องพึ่งพาพลังปราณ

หลังจากนั่งสมาธิและรวบรวมพลังปราณอีกครั้ง เขาก็สวมแหวนไว้บนนิ้วของและส่งพลังปราณเข้าไป แม้เขาจะรู้ว่าตนเองยังไม่สามารถเปิดมันได้ในเวลานี้แต่เขาก็ยังอยากลอง

พลังปราณไหลเข้าไปในแหวนราวกับน้ำหลากก่อนจะไหลวนกลับเข้าสู่ร่างกายของเขาอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่ามันไม่สามารถเปิดแหวน อย่างไรก็ตามเขาค่อนข้างประหลาดใจที่พลังปราณของเขาไม่ได้หมดไปเหมือนการใช้ดาบดาวหางจากก่อนหน้า ตรงข้าม มันยังทำให้เขามีความก้าวหน้าบางอย่าง

ในการบ่มเพาะ หากพลังปราณไม่บริสุทธิ์ มันจะทำให้การทะลวงขอบเขตเกิดปัญหา พวกเขาจะพบจุดคอขวด ผู้บ่มเพาะต้องค่อยๆปรับแต่งพลังปราณและทำให้มันบริสุทธิ์ อย่างไรก็ตามแหวนวงนี้สามารถชำระล้างพลังปราณของเขาให้บริสุทธิ์มากขึ้น มันช่วยให้เขาประหยัดเวลาและพลังงานไปได้มาก กล่าวได้ว่านี่เป็นสมบัติที่ผู้บ่มเพาะพลังปราณทุกคนใฝ่ฝันที่จะได้มา

หลี่ฉิงซานไม่เคยคิดว่าแหวนมิติวงนี้จะมีประโยชน์เช่นนี้นอกเหนือจากการเก็บของ

แต่นี่เป็นข่าวดีหรือไม่? หลี่ฉิงซานเผยรอยยิ้มขมขื่น แม้แหวนมิติจะช่วยปรับแต่งพลังปราณให้เขา แต่มันก็ยังถูกดูดกลืนโดยแก่นปีศาจของเขา นี่เป็นเรื่องที่น่ารำคาญที่สุด เขารู้สึกเหมือนทำงานหนักมาหลายทศวรรษเพียงพอที่จะย้อนกลับไปสู่ยุคก่อนสงครามปลดปล่อย

หลี่ฉิงซานถอนหายใจอย่างหนัก เขารู้ว่านี่เป็นทางเลือกที่ถูกต้อง หากเขาทำงานหนักในเวลานี้ เขาจะมีช่วงเวลาที่ง่ายดายในภายหลัง

คนส่วนใหญ่ไม่ได้ทุ่มเทความพยายามมากพอในการสร้างรากฐาน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถทะลวงผ่านจุดคอขวด

ตัวอย่างเช่นผู้อาวุโสหยางที่บรรลุระดับจอมยุทธ์ขั้นสองมานานแล้วแต่ไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ระดับระดับจอมยุทธ์ขั้นสาม เขาติดอยู่ที่นั่นมาตลอดหลายปีเนื่องจากพลังปราณของเขาไม่บริสุทธิ์มากพอ

หลี่ฉิงซานปิดเปลือกตาลงและเริ่มบ่มเพาะอีกครั้งแต่เขาไม่ได้ถอนแหวนออก

หยางซ่งเลือกศิษย์ไว้แล้วและพร้อมที่จะจากไป แต่หลังจากรอจนดึก เขาก็ยังไม่เห็นหลี่ฉิงซานออกจากห้อง

หลิวหงกล่าว “บางทีอาจมีบางอย่างเกิดขึ้น?” เขาสงสัยว่าผู้อาวุโสหยางจะมอบวิธีบ่มเพาะที่ไม่ถูกต้องให้หลี่ฉิงซานและทำให้เด็กหนุ่มพบปัญหา

หยางซ่งขมวดคิ้ว เขาไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น หากไม่ใช่เพราะเสียงหายใจที่สม่ำเสมอของหลี่ฉิงซาน เขาคงคิดว่าหลี่ฉิงซานเสียชีวิตไปแล้ว

การบ่มเพาะพลังปราณเหมือนกับงานอื่นๆ มันต้องรักษาสมดุลระหว่างการทำงานกับการพักผ่อน การทำงานหนักโดยไม่พักผ่อนไม่มีประโยชน์ มันจะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี

ชายชราไม่ได้เตือนหลี่ฉิงซานเพราะเขาคิดว่าเด็กหนุ่มควรจะเข้าใจเรื่องนี้อยู่แล้ว

หลี่ฉิงซานพบปัญหาดังกล่าวจริงแต่เขาพึ่งพาเคล็ดวิชาจิตวิญญาณเต่าในการดูดซับปราณจิตวิญญาณจากธรรมชาติ ดังนั้นการนั่งสมาธิอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานจึงไม่ทำให้เขาหมดแรงหรือสูญเสียพลังจิต ตรงข้าม มันเหมือนกับการนอนหรือการพักผ่อนสำหรับเขา

เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็สามารถบ่มเพาะพลังปราณและพักผ่อนได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยใช้วิธีการของมนุษย์และปีศาจควบคู่กัน

หลี่ฉิงซานพบว่าแก่นปีศาจของเขาสงบลงและไม่ตะกละตะกลามเหมือนก่อนหน้า นั่นทำให้เขาประหยัดพลังงานไปได้มาก

ความเร็วในการบ่มเพาะของเขาสูงขึ้น พลังชีวิตของเขาก็แข็งแกร่งมาก เขาสามารถบ่มเพาะอย่างต่อเนื่องโดยไม่กินดื่มเป็นเวลาหลายวัน

หลี่ฉิงซานไม่กินไม่ดื่ม ไม่นอน และไม่พักผ่อนเป็นเวลาสามวันสามคืน เขาจมอยู่ในการบ่มเพาะอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามในที่สุดเขาก็เปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง เขาสูดหายใจลึกและรู้สึกถึงความหิวโหย แต่เขายังนำดาบดาวหางออกมาอีกครั้งและถ่ายทอดพลังปราณเข้าไป ก่อนที่พลังปราณของเขาจะหมดลง ดาบดาวหางก็เรืองแสงและปล่อยปราณดาบพุ่งออกไป

ก่อนหน้านี้การกระทำดังกล่าวเหมือนการโยนไม้เข้าไปในเตา แต่สิ่งที่เขาใช้จุดไฟในเวลานี้มีคุณภาพสูงกว่าเดิม ดังนั้นไฟในเตาจึงลุกโชนขึ้นในที่สุด

ศิษย์สองคนของสำนักกำปั้นเหล็กที่เฝ้าอยู่หน้าประตูรู้สึกเย็นเยียบไปถึงแกนกระดูก พวกเขามองหน้ากัน “เจ้ารู้สึกหนาวหรือไม่?” อีกคนตอบ “ข้ารู้สึกเช่นกันแต่นี่เป็นฤดูร้อน”

หลี่ฉิงซานเก็บดาบดาวหางและแขวนแหวนมิติไว้ที่คออีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืน เขาเปิดประตูและปล่อยให้แสงแดดส่องเข้ามา

“วีรบุรุษหลี่ ในที่สุดท่านก็ออกมา!” ศิษย์ผู้หนึ่งกล่าว อีกคนรีบไปรายงาน

ไม่นานหลังจากนั้นหยางซ่งกับหลิวหงก็มาถึง

หลิวหงกล่าว “ฉิงซาน เจ้าออกมาในที่สุด ข้ายังคิดว่าอาจมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้าและเกือบบุกเข้าไปสองสามครั้งแล้ว”

ผู้อาวุโสหยางถาม “เจ้าบ่มเพาะพลังปราณไปถึงไหนแล้ว?”

หลี่ฉิงซาตตอบ “ข้าพึ่งบรรลุขั้นแรก”

หยางซ่งยกย่อง “นั่นไม่ช้าเลย” อย่างไรก็ตามมันไม่ถือว่าเร็ว ขั้นแรกของการบ่มเพาะพลังปราณคือพื้นฐานที่ง่ายที่สุด เขาเคยเห็นเด็กที่มีพรสวรรค์บรรลุระดับนี้ภายในเวลาเพียงสองชั่วโมงมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าการบ่มเพาะของหลี่ฉิงซานไม่ได้รวดเร็ว

แต่การใช้เวลาสามวันในการบ่มเพาะพลังปราณและบรรลุขั้นแรกในครั้งเดียวไม่เคยปรากฏมาก่อน อย่างน้อยผู้อาวุโสหยางก็ไม่เคยพบเห็น

หลี่ฉิงซานกล่าว “ข้าทำให้พวกท่านต้องรอ ตอนนี้เราไปกันเถอะ”

หลิวหงมอบตั๋วแลกเงินให้หลี่ฉิงซาน

หลี่ฉิงซานกล่าว “ท่านหลิว ท่านดูแลข้าเป็นอย่างดี ผู้อาวุโสหยางก็มีน้ำใจกับข้า แล้วข้าจะรับพวกมันไว้ได้อย่างไร อย่าพูดถึงเรื่องเงินอีกเลย” เขาไม่ต้องการติดหนี้บุญคุณผู้ใด แม้วิธีบ่มเพาะพลังปราณที่เขาได้รับจะไม่มีสิ่งใดโดดเด่น แต่มันก็มีความสำคัญสำหรับเขา

หลิวหงรู้สึกยินดี เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถทวงเงินที่มอบให้หยางซ่งคืน เงินก้อนนี้คือเงินออมสำหรับการเกษียณของเขา

หยางซ่งรู้สึกดีเช่นกัน การปฏิเสธเงินมากกว่าหมื่นตำลึงราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องปกติที่ทุกคนจะทำได้ มันอาจไม่แปลกหากเด็กหนุ่มเป็นบุตรหลานของตระกูลร่ำรวย แต่เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มจากหลังเขา ทัศนคติเช่นนี้หาได้ยากมาก นี่ทำให้หยางซ่งไม่แปลกใจอีกต่อไปที่หลี่ฉิงซานได้รับการยกย่องและชื่นชมจากผู้คน

หลี่ฉิงซานยอมรับเงินสองพันตำลึงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางหลังจากพยายามปฏิเสธหลายครั้ง

เมื่อหลี่ฉิงซานเดินออกมาถึงลานกว้าง สิ่งที่เขาเห็นและได้ยินคือเสียงกลองและประทัด มันมีกระทั่งขบวนเชิดสิงโตและมังกรอยู่รอบๆ

เด็กสี่คนยืนอยู่ต่อหน้าหยางซ่ง พวกเขาคือเด็กที่ได้รับการคัดเลือกและมีโอกาสออกเดินทางสู่โลกกว้าง

หลี่ฉิงซานยืนมองจากด้านหนึ่งด้วยมือไพล่หลัง ทันใดนั้นเขาพลันได้ยินเสียงของบางคนที่เรียกชื่อเขา เมื่อหลังกลับไป เขาก็พบหัวหน้าหมู่บ้านหลี่และพ่อบ้านหลิว ด้านข้างพวกเขาคือน้องชายสองคนของหลี่หลง หลี่หูและหลี่เปา ด้านหลังพวกเขายังมีคนจากหมู่บ้านกระทิงหมอบอีกหลายคน