ตอนที่แล้วบทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 24 ศัตรูของศัตรู (Enemy of my enemy)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 26 สมดุลของสงครามกำลังเปลี่ยน (Balance Shifting)

บทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 25 วัฒนธรรมแห่งนวัตกรรม (Culture of Innovation)


วัฒนธรรมแห่งนวัตกรรม

(Culture of Innovation)

มลรัฐโฟลิโอ อาริกาเซีย

ห่างออกจากเมืองบอสตัน 300 กิโล เป็นเมืองขนาดกลางตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ที่น่าแปลกก็คงเป็นควันสีดำและกองทหารที่คุมกันเมืองแห่งนี้อย่างแน่นหนา ปกติแล้วอาริกาเซียจะเป็นเมืองที่เน้นเกษตรกรรมเป็นซะส่วนใหญ่ แต่เมืองแห่งนี้กลับตั้งอยู่ใกล้ภูเขา ซึ่งก็อาจจะเป็นเมืองที่มีการขุดเหมืองแร่ก็เป็นไปได้ ตัวเมืองมีแม่นํ้าขนาดใหญ่ไหลผ่านไปทางเมืองบอสตัน ซึ่งแม่นํ้าสายนี้ก็ไหลออกไปยังทะเลอาจิเต้ ถือเป็นแม่นํ้าที่สำคัญต่อเมืองขนาดกลางแห่งนี้อย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ควันสีดำที่ลอยเหนือตัวเมืองหาใช่ไฟไหม้เมืองไม่ แต่เป็นควันจากสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่าเครื่องจักรไอนํ้า เสียงค้อนที่ทุบกับเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้า กังหันลมที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองไม่ไกลมานักสูบนํ้ามาใช้ภายในเมือง เครนที่ทำจากเหล็กสุดแปลกขยับเคลื่อนขนส่งทรัพยากรไปมาไม่หยุดพัก เสียงของแรงดันนํ้าที่ดังจนสามารถกลบเสียงพูดคุยได้ มันเป็นเมืองที่แปลกที่สุดบนอาริกาเซีย

คนในเมืองกลายมาเป็นแรงงานอุตสาหกรรมที่ลืมตามาบนอาริกาเซีย ดินแดนที่ล้าหลังแห่งนี้เป็นครั้งแรก และผู้ที่ให้กำเนิดเครื่องจักรที่เหมือนกับเวทมนตร์นี้ ก็คืออดีตนักโทษจากทัณฑนิคม เหล่าผู้เคยอยู่อาศัยในสหจักรวรรดิก่อนจะถูกส่งมาตายบนโลกใหม่

แต่แทนที่พวกเขาจะถูกใช้แรงงานหรืออดยากจนสิ้นชีพ พวกเขากลับได้รับสิ่งที่ยอดเยียมยิ่งกว่าการเอาชีวิตรอด มันคือการเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นใหม่บนทวีปใหม่แห่งนี้ ทิ้งอดีตอันโหดร้ายและเริ่มชีวิตในฐานะชาวโลกใหม่ อาริกาเซีย ตั้งแต่การทำลายทัณฑนิคมแห่งความตาย อดีตชาวลีโอเนียเหล่านี้ก็ได้หันมาร่วมมือร่วมใจเพื่อสร้างดินแดนอาริกาเซียขึ้นมาจากพื้นดินเปล่าๆ

“ค่อยๆ เฮ้!! ฉันบอกค่อยๆ พวกนายหูหนวกหรือไง!” เป็นอีกวันที่วุ่นวายของเมือง ผู้ชายจำนวนมากช่วยกันยกก้อนเหล็กประหลาดมายังพื้นที่ทดลองบางอย่าง แน่นอนว่าเสียงของเมืองที่ขยับไปมาทำให้บางคนไม่ได้ยินที่ชายผู้เป็นหัวหน้ากล่าว

“วางลงๆ” เขาตะโกนสั่งก่อนที่เหล่าแรงงานจะค่อยๆวางเหล็กลง ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มติดตั้งตัวก้อนเหล็กที่ไม่เข้าใจกับตัวล้อเหล็กขนาดกลางและเล็ก อยู่กลางพื้นที่โดยมีรางเหล็กเชื่อมต่ออีกที เมื่อติดตั้งเสร็จเหล่าแรงงานก็เดินออกห่างจากจุดที่วางด้วยความกลัวว่าจะทำให้การทดลองพังลง

ขณะที่พวกเขากำลังยื่นพักเหนื่อยกันอยู่นั้น เสียงวิ่งของหญิงสาวเผ่าหมีนํ้าตาลในเครื่องแบบสีขาวก็ได้เดินเข้ามาหาพวกเขาพร้อมกับเอกสารในมือ เธอพูดกับหัวหน้าแรงงานด้วยนํ้าเสียงที่กังวล

“หัวหน้า! เรามีถ่านหินไม่พอสำหรับครึ่งเดือนนี้ แถมเรายังต้องฝึกชนพื้นเมืองและชาวอาริกาเซีย ฉันว่าเราเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นเถอะค่ะ เราต้องขยายฐานความรู้สมัยใหม่ให้พวกเขานะคะ!”

“ อยากได้งานก็ต้องทำงาน เอ้า! หยุดบ่นแล้วไปหยิบคริสตัลอสูรมาได้แล้ว!

ความก้าวหน้า ก็เป็นส่วนหนึ่งของการขยายฐานความรู้สมัยใหม่!

หญิงสาวเผ่าอมนุษย์หมีรีบร้อนวิ่งไปหยิบก้อนหินที่สวยงาม ก่อนจะเดินไปยังก้อนเหล็กตรงหน้าเธอ ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าสิ่งตรงหน้าคืออะไรกันแน่ แต่ที่ที่พวกเขารู้ก็คือ ชายผู้เป็นหัวหน้าสั่งงานเป็นถูกจับมาตายในโลกใหม่ก็เพราะว่า

เขาเป็นคนบ้า! และเป็นมนุษย์ที่บ้าพอจะวิจัยและทดลองใช้ศาสตร์ผสม

“เดินเครื่องแล้วเติมเชื้อเพลิง รอให้เครื่องทำงานแล้วใส่คริสตัลอสูรหิมะลงในช่องใส่” เขาสั่งและรอดูผลการทดลองของตัวเองหลายคนเริ่มหันมามองการทดลองของหัวหน้าแรงงานผู้นี้ กันอย่างสนอกสนใจ

ซู่--- เสียงเครื่องจักรไอนํ้าเริ่มทำงาน มันดันลูกสูบและคายไอเสียทิ้งเป็นควันสีขาวสลับกันกับการเติมเชื้อเพลิงเป็นจังหวะที่หลงตัว แน่นอนว่าผู้เติมก็ต้องมีการฝึกมาพอสมควร

ไม่นานนักเสียงของไอนํ้าก็ดังขึ้นจนแสบแก้วหู เครื่องจักรค่อยๆมีควันออกมาจากตัว ไม่ใช่เพียงแค่ปล่องควัน แน่นอนว่าหัวหน้าแรงงานตะโกนเร่งรีบให้หญิงสาวรีบใส่คริสตัลอสูรทันที

เสียงซ่าหลังหลังจากที่คริสตัลถูกใส่เข้าไปในช่องส่ง ไม่นานก็หยุดลงพร้อมกับไอความร้อนของเครื่องจักรที่ตอนแรกเหมือนเหล็กจะละลายกลับมาเป็นปกติ เครื่องจักรไอนํ้าทำงานโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สิ่งที่น่าตื่นตกใจก็คงเป็นตัวเชื่อมกับล้อเริ่มที่จะขยับทีละนิด ทีละนิด

“สำเร็จ !! ฉันทำมันได้แล้ว ในที่สุดก็ทำเครื่องจักรที่เคลื่อนที่โดยไม่พังลงเพราะความร้อนแล้ว!” หัวหน้าแรงงานตะโกนลั่น นํ้าเสียงของเขาเต็มไปด้วยความยินดีและโล่งใจเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก

เครื่องจักรไอนํ้าพร้อมกับตัวล้อ เคลื่อนตัวตามรางที่ถูกวางเอาไว้ ชาวเมืองบางคนหันมามองเส้นทางที่เคยถูกวางเอาไว้ถูกใช้งานเป็นครั้งแรก เครื่องจักรเหล็กขึ้นตัวอย่างช้าๆ ก่อนจะเร็วขึ้น และเร็วขึ้นไปอีก มันทำความเร็ววิ่งจนคนวิ่งตามไม่ทัน

ตัวรางเหล็กถูกสร้างล้อมรอบตัวเมืองและกลับมาที่เดิมในเขตทดลอง ชาวเมืองทุกคนรวมไปถึงทหารก็สามารถเห็นตัวเครื่องจักรวิ่งตามรางด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ หากมีสิ่งมีชีวิตไม่ดูทางแล้วก็คงถูกชนก็เป็นไปได้ เสียงเครื่องจักรนั้นดังไปพร้อมกับเสียงพูดคุยถึงตัวมัน

เครื่องจักรไอนํ้าเคลื่อนตัวช้าลงเมื่อเข้าใกล้เขตทดลอง ก่อนจะหยุดนิ่ง ณจุดๆเดิม หัวหน้างานและแรงงานของเขารีบวิ่งเข้าไปตรวจสภาพ ทุกคนมีใบหน้าแห่งความสุข การทดลองเป็นผลสำเร็จ พวกเขาเชื่อว่าสิ่งที่สร้างมามันจะเป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนโลกได้!

เสียงตบมือดังขัดความสุขของเจ้าของผลงาน เขาหันไปหาชายที่เดินเข้ามาดูเครื่องจักรที่เขาเป็นคนสร้าง พร้อมกับเสียกล่าวยินดีของผู้มาใหม่ “ขอแสดงความดีใจด้วย คุณสตีเฟน ไทน์” ไม่มีใครไม่รู้จักชายผู้เข้ามาใหม่ เขาเป็นอมนุษย์ครึ่งสัตว์ เส้นผมที่ยุ่งเยินนั้นมีหูของกระต่ายอยู่ ร่างกายที่เล็กเหมือนเด็กน้อย ชุดคลุมสีขาว

โบอิง ฟิลิยา” หัวหน้าแรงงานสตีเฟน พูดขึ้นด้วยนํ้าเสียงที่ไม่สบอารมณ์ “โอ้!? แล้วผลงานของคุณมันไปถึงไหนแล้วล่ะ ไอ้เจ้าเรือที่สามารถบินได้ ฉันไม่เห็นจะมีเรือที่ไหนลอยอยู่บนท้องฟ้าเลยนะ?”

“!? มันยังอยู่ในการทดลอง และมันต้องใช้เวลาที่ยาวนาน คุณไม่เข้าใจหรอก หากเราสามารถสร้างเรือบินได้ มันจะสามารถทำให้การเดินทางเร็วยิ่งกว่าเรือข้ามทะเลเสียอีก ต่อให้เป็นเผ่นฮาร์พี ก็คงบอกว่ามันสามารถลดความเหนื่อยระหว่างเดินทางได้เยอะกว่าบินด้วยแรง!” กระต่ายโบอิงชะงัก “เครื่องจักรไอนํ้าอยู่ได้ไม่นานหรอก!”

“หาาา แกว่าไงนะ พูดใหม่เดียวนี้เลย! หึเอาเถอะ… อย่างน้อยฉันจะได้ รับประทานอาหารค่ำกับท่านดักลาสเป็นคนแรกของเมืองเนเวอร์เฮด(Nijverheid) และฉันจะขอให้ท่านดักลาสช่วยเพิ่มทุนในการพัฒนาโครงการ รถจักรไอน้ำ ของฉัน!”

“ไม่มีทางเฟ้ย ฉันโบอิงผู้นี้ต่างหากที่จะได้เป็นคนคุยกับท่านดักลาส! เรือบินที่ใช้พลังเวทมนตร์ต่างหากถึงจะเป็นนวัตกรรมแห่งยุคใหม่”

“รถจักรไอนั้า!”

“เรือเหาะอากาศ!”

ทั้งสองเริ่มการตอบโต้และด่าทอกันอย่างเสียๆหายๆ แต่ก็ไม่มีใครไปห้าม ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่อยาก แต่ทั้งสองไม่เคยถูกกันตั้งแต่พวกเขาได้รับงานทดลองมา เรียกได้ว่าเป็นคู่แข่งที่สำคัญของเมืองแห่งนี้ก็เป็นไปได้ แต่จะอย่างไรก็ตามทั้งสองก็ดูไม่สมประกอบอยู่ดี

เหล่าชาวเมืองไม่เข้าใจ เหตุใดดักลาสถึงได้ยอมให้คนบ้าสองคนนี้ได้สร้างสิ่งแปลกๆเหล่านี้ แล้วสิ่งประดิษฐ์จะสามารถทำให้อาริกเซียเปลี่ยนไปจริงๆหรือ แทนที่จะให้ทั้งสองมารวมงานกัน ผู้บัญชาการผู้สุดของกองกำลังภาคพื้นทวีปกลับเลือกทางให้ทั้งสองแข่งขันกันแทน

……

.

.

.

.

.

.

มกราคม ศักราชอองโทราลที่ 3929

กองกำลังภาคพื้นทวีปรุกขึ้นเหนือ การต่อสู้ระหว่างกองกำลังสหจักรวรรดิและ กองกำลังอาริกาเซีย ยาวนานถึง 4 เดือน จากฤดูใบไม้ร่วงถึงฤดูใบหนาว จาก 3928 ถึง 3929 หมู่บ้านน้อยใหญ่ต่างถูกปลดปล่อยจากมือของลีโอเนีย เมืองขนาดกลางถูกปิดล้อมและเข้าตีโดยกองทัพภาคพื้นทวีป สนามรบถูกเปลี่ยนไปเป็นหลุมศพ ลูกชายและลูกสาวกลายเป็นเด็กกำพร้า

การต่อสู้ที่ยาวนานเช่นนี้ มีทั้งชัยชนะและพ่ายแพ้ในการรบขนาดเล็ก อย่างไรก็ตามเมื่อเป็นการรบขนาดใหญ่ กองกำลังภาพื้นทวีปกลับแสดงความกล้าและนำชัยกลับมาสู่ชาวโลกใหม่ เขตปฏิบัติการสงครามทางตอนกลางถึงเหนือ เป็นจุดที่มีเสียงปืนดังที่สุดบนโลกในขณะนี้ ทั้งสองฝั่งสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย

ธันวาคมก่อนขึ้นปีใหม่ ทั้งสองกองกำลังหยุดพักรบเพื่อลดการตายของผู้คนฝั่งตนเอง แน่นอนในยุคสมัยแห่งสงครามเช่นนี้ โรคระบาดและการตายโดยธรรมชาตินั้นจะมีสูงกว่าการตายในสงคราม นักเวทแสงหรือนักเวทรักษาถูกจ่ายมาช่วย อย่างไรก็ตาม นักเวทฝั่งลีโอเนียก็มีมากกว่า ในส่วนของอาริกาเซียเป็นอาสานักเวทหรือผู้ใช้เวทมนตร์ที่มีความรู้ในการรักษา

16 มกราคม เขตสงคราม รัฐอิสระวัลเทอร์

ชายหนุ่มในชุดคลุมกันหนาวสีฟ้าเข้มของทหารภาคพื้นทวีป หมวกไทรคอร์นสีดำเต็มไปด้วยลองรอยของฉีกขาดเหมือนกับมันถูกลูกปืนพุ่งทะลุผ่าน ในตาสีฟ้าอ่อนมองหิมะที่ร่วงลงมาบนฝ่ามือกลิ่นของดินปืนถูกสายลมที่ผัดหิมะผ่านร่างกายของเขา

ดักลาส ชายผู้เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ไม่แน่เขาอาจจะเป็นชายที่เหนื่อยที่สุดในโลกก็เป็นไปได้ ชายหนุ่มหันร่างกายเดินกลับไปยังค่ายของตัวเอง เขาเดินผ่านร่างของทหารที่นอนพักตามกองไฟเพื่อความอบอุ่น ฤดูหนาวครั้งนี้ยังคงหนักเช่นเคย มีคนที่ตายเพราะความหนาวไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาสาจากต่างทวีปที่ยังไม่ชินกับอากาศของอาริกาเซีย

ขณะที่ชายหนุ่มกำลังเดินผ่านทหารของเขา เสียงอาชาก็ดังเข้าใกล้ จนเขาต้องหันไป ก่อนจะพบกับนายทหารม้าเร็วพร้อมกับกล่องจดหมาย “ท่านนายพล… จดหมายจากบริษัทรถจักรไอนํ้าสตีเฟน เขายื่นเอกสารจำนวนมากให้กับลาส

“ขอบคุณมาก ทำงานต่อไปอย่าลืมไปพักด้วยล่ะ” ดักลาสหยิบเอกสารและรีบกลับไปยังที่พักของเขา

ดักลาสนอนในกระโจมบัญชาการ เพราะว่าต้องนั่งวางแผนและจัดเอกสาร การนอนตรงโต๊ะคงเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้ แม้ว่าจะลาสจะเกลียดมันก็ตาม… ใครมันจะไปอยากนอนเก้าอี้ทุกวันกัน?

ภายในกระโจมมีชายคนสนิทเผ่าซองทูอาผู้ตกตํ่าของเขากำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่ ดักซ์ที่ควรอยู่กองพลของตัวเองตอนนี้มาช่วยดักลาสชั่วคราว เขาหันมามองลาสและกล่าว

“ยินดีต้อนรับกลับครับท่านดักลาส” ดักซ์ชะงัก “อ่า- ท่านกลับมาเร็วพอสมควร หน่วยข่าวกรองบอกรายงานมาว่า ลีโอเนียหยุดการรุกรานรัฐตอนเหนือทั้งหมดแล้ว คาดว่ากำลังเปลี่ยนทิศมาหยุดพวกเราแทน”

“ว่าแต่ ที่ท่านถือเป็นสารจากสภานิติบัญญัติ หรือ คุณหญิงเฟลิเซียหรือครับ?”

“อ๊ะ! ไม่จดหมายของพวกเขาหรอก พอดีนักวิทยาศาสตร์ที่อยู่ในทัณฑนิคม ที่คุณหญิงเฟลิเซียปลดปล่อย เขาส่งจดหมายมาน่ะ เราเลยคิดว่าชายผู้นั้นน่าจะทำสำเร็จเรียบร้อย” ลาสกล่าวด้วยนํ้าสีที่มีความหวัง เขานั่งลงบนเก้าอี้ตัวโปรดและเปิดเอกสารออกมาวาง ดักซ์ลุกขึ้นมาช่วยดูอีกคน

[ ถึงท่านนายพลดักลาส แมรี่แลนด์

เราเชื่อว่าท่านเคยได้ยินคำว่า เครื่องจักรไอนํ้า ซึ่งกำเนิดบนลีโอเนีย บ้านเกิดของเรา แน่นอนว่า ทางเราสามารถอย่างหนักที่จะนำมันมายังทวีปอาริกาเซียแห่งนี้ แม้ว่าเราจะไม่อาจจะทำให้ทั่วทุกเมืองกลายเป็นอุตสาหกรรมเหมือนลีโอได้ แต่พวกเราได้สร้างสิ่งที่แปลกใหม่กว่านั้น

เราขอแนะนำ นวัตกรรมที่จะเปลี่ยนแปลงอองโทราล เราเรียกมันว่า ‘รถจักรไอน้ำ’ (1)

แน่นอนว่าทางเราได้เขียนจดหมายนี้ขึ้นมาเพื่อที่ท่านจะได้กล่าวบอกสภานิติบัญญัติให้สนับสนุนเงินทุนเพื่อโครงการของเรา เพื่อทำให้รถจักรไอนํ้าของเราได้ถูกใช้งานเป็นครั้งแรก แม้ว่าทางเราไม่อยากให้ใช้ในสงคราม แต่หากมันทำให้อาริกาเซียได้รับอิสรภาพ บริษัทรถจักรไอนํ้าสตีเฟนจะทำการสร้างและพัฒนาให้กับสมาพันธรัฐอาริกาเซีย

จาก สตีเฟน ไทน์ (บริษัทรถจักรไอนํ้าสตีเฟน) ]

หลังจากที่ลาสเห็นข้อความข้างใน ชายหนุ่มก็เบิกตากว้าง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจ ไม่มีใครในโลกเก่าของลาสไม่รู้จัก คำว่ารถจักรไอนํ้า ซึ่งเป็นต้นแบบรถไฟในยุคแรกๆ

“ใครจะไปคิดว่าคนจากลีโอเนียที่ถูกจับมาตายในอาริกาเซียจะสามารถคิดค้น เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้กัน?” ลาสเอ่ยกับตัวเองเบาๆ ในหัวของดักลาสเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เขาตื่นเต้นกับการพัฒนาเทคโนโลยีที่รวดเร็วเช่นนี้

“สตีเฟน… ใช่คนที่ท่านส่งไปแข่งกับประดิษกับ โบอิง ฟิลิยา ที่เป็นนักวิจัยเวทมนตร์เผ่ากระต่ายสินะครับ?” ดักซ์กล่าวขึ้น เขาได้ยินที่ลาสพูดออกมาแต่ก็ไม่ได้กล่าวถาม เขาไม่อยากเสียมารยาทกับผู้บัญชาการสูงสุด

เมื่อก่อนที่สงครามบนทวีปอาริกาเซียจะได้เริ่มขึ้น ช่วงการก่อการกำเริบซึ่งเต็มไปด้วยการก่อการร้าย ทัณฑนิคมแห่งใหญ่บนอาริกาเซียได้ถูกทำลายลง พร้อมกับนักโทษจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวลีโอเนียที่มีการศึกษา แม้ว่าดักลาสจะไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่มีอดีตนักโทษที่ต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่บางคนต้องการวิจัยสิ่งที่ในสหจักรวรรดิทำไม่ได้อยู่

ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ ยื่นเรื่องไปยังพวกคนในสภาหรือกลุ่มผู้ปกครองมลรัฐต่างๆ แต่ก็ไม่มีใครยอมรับพวกเขา เพราะว่าความขัดแย้งระหว่างชาวลีโอเนีย และชาวอาริกาเซียกำลังรุนแรง จนกระทั่งดักลาสได้รับข้อมูลเข้า ชายหนุ่มรีบแจ้งกับเพื่อนบนอาริกาเซียในสภาให้รีบอาแขนรับคนพวกนี้ทันที

อาริกาเซียเป็นประเทศเกิดใหม่ ไม่มีประวัติศาสตร์ให้ยึดติด เพราะงั้นแล้วการเติบโตของอาริกาเซียจะเป็นกลายเป็นเส้นทางของไอเดียใหม่ๆ ที่หนีจากอดีต ลาสเชื่อว่าหากอาริกาเซียได้เกิดขึ้นแล้ว จะมีผู้ที่ต้องการทิ้งบ้านเก่าเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น จะต้องเดินทางมายังอาริกาเซียอย่างแน่นอน

แน่นอนว่าชายหนุ่มยังมีความเชื่อที่ว่า

นวัตกรรมและไอเดียใหม่ๆ มีค่ามากกว่าประเพณีเดิม


(1) รถจักรไอน้ำ (Steam locomotive) : รถจักรไอน้ำ คือ รถที่ใช้เครื่องจักรไอน้ำเป็นแรงขับเคลื่อน ซึ่งเป็นกลไกของแรงดันไอ (น้ำ) ในการผลักดันให้ล้อรถหมุน รถจักรไอน้ำได้รับการพัฒนาขึ้นครั้งแรกในสหราชอาณาจักรในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ถือเป็นต้นแบบของรถไฟ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด