ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 19 ตระกูลเซียวแห่งลี่หยาง
ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 19 ตระกูลเซียวแห่งลี่หยาง
เช้าวันรุ่งขึ้น ในลานโล่งหน้ากระท่อมไม้ของขุนเขาเมฆาม่วง หลินชิงจู้ได้ยืนคอยอยู่ที่นี่มานานแล้ว เมื่อเห็นว่าเย่ชิวได้ออกมานางก็ได้รีบคำนับในทันที
“อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะท่านอาจารย์…”
“เช่นกัน…”
เย่ชิวแต่งกายด้วยชุดสีขาว มีจี้หยกห้อยอยู่ที่เอวพร้อมกับพัดอยู่ในมือ ดูสง่างามเป็นอย่างยิ่ง
เย่ชิวถอดจี้หยกออกมาไว้ในมือแล้วกล่าวว่า “นี่คือหยกสำหรับจัดเก็บสิ่งของ มีพื้นที่มากมายเหลือภายในที่สามารถช่วยสัมภาระได้ พวกเราเป็นผู้ฝึกตนที่ต้องเดินทางอยู่ในดินแดนรกร้าง การที่นำกระเป๋าเดินทางจำนวนมากติดตัวนั้นไม่ได้สะดวกนัก ส่วนใหญ่แล้วพวกเรามีสมบัติในการจัดเก็บสิ่งของเช่นนี้ วันนี้เป็นครั้งแรกที่เจ้าลงเขา ข้าไม่มีสมบัติวิเศษที่จะมอบให้เจ้า ดังนั้นข้าจะมอบจี้หยกนี้แก่เจ้า…”
หลังจากส่งจี้หยกให้หลินชิงจู้แล้ว เย่ชิวก็บอกหลินชิงจู้เกี่ยวกับวิธีใช้จี้หยก
หลินชิงจู้กล่าวขอบคุณ “ขอบคุณสำหรับสมบัติเจ้าค่ะท่านอาจารย์ ข้าชอบมันยิ่งนัก…” อาจารย์ผู้นี้ช่างใจกว้างเกินไป อาจารย์ได้มอบสมบัติวิเศษให้นางอยู่ทุกวันและไม่ได้ปิดบังสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย
เย่ชิวยิ้มและตะโกนอยู่ภายในใจอย่างเงียบ ๆ
“ระบบ…”
[ติ๊ง…]
[ ท่านมอบได้จี้หยกเก็บสมบัติชั้นยอดแก่ลูกศิษย์ของท่าน ได้กระตุ้นระบบตอบแทนหมื่นเท่า ]
[ ท่านต้องการเปิดใช้งานระบบตอบแทนหมื่นเท่าหรือไม่ ]
“เปิดใช้งาน…”
[ ขอแสดงความยินดี ท่านกระตุ้นการตอบแทน 100 เท่า ท่านได้รับ ชิ้นส่วนหยกวิญญาณเร้นลับขั้นสูงสุด
เย่ชิวหงายฝ่ามือขวาขึ้นมาและจี้หยกอันใหม่ก็ได้ปรากฏขึ้นในมือของเขา หลังจากศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่าจี้หยกนี้มีพื้นที่กว้างขวางกว่าจี้หยกที่ตนได้มอบให้หลินชิงจู้มากนัก นอกจากนี้จี้หยกนี้ยังมีผลมหัศจรรย์กว่าเดิม กระทั่งสามารถเก็บสิ่งมีชีวิตได้
“อืม… นี่เป็นสมบัติที่ดี” เย่ชิวหัวเราะอย่างชั่วร้าย แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับการตอบแทนพันหรือหมื่นเท่าโดยตรงก็ตาม แต่เย่ชิวก็พอใจมากแล้ว ท้ายที่สุดเขาคงไม่โชคดีเสมอไป ร้อยเท่าก็สูงมากแล้ว
หลินชิงจู้แขวนจี้หยกไว้ที่เอวของนางอย่างระมัดระวังและถามว่า “ท่านอาจารย์ เราจะไปเมื่อไหร่หรือ”
เย่ชิวยังได้ไม่ตอบ ทว่าเขามองไปยังขุนเขาอื่น ๆ ทันใดนั้น ลำแสงหลายดวงก็ได้พุ่งออกมาจากขุนเขาต่าง ๆ รวมตัวกันหนาแน่น
เย่ชิวยิ้มอย่างแผ่วเบาและกล่าวว่า “ไปกันเถอะ…”
คราวนี้ ทั้งเจ็ดขุนเขาได้ส่งศิษย์จำนวนมากออกไป ซึ่งนำโดยปรมาจารย์ขุนเขาเอง
ผู้คนในขุนเขาเมฆาม่วงทั้งหมดต่างถูกระดมกำลังไป แม้ว่าจะมีเพียงสองคนก็ตาม แต่การใช้คำว่า ‘ทั้งหมด’ ก็ทำให้รู้สึกว่ามีคนมากมายแก้เขินได้อยู่บ้าง
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์และสำนักเซียนต่าง ๆ ถูกระดมกำลังเพื่อกำจัดสัตว์อสูรในครั้งนี้ นี่เป็นเหมือนการปะทะกันขนาดใหญ่ระหว่างผู้ฝึกตนและสัตว์อสูร
เย่ชิวหยิบกระบี่ออกมาและกล่าวเบา ๆ ว่า “ไปกันเถอะ…”
เขาไม่ได้ใช้กระบี่เซียนเมฆา เพราะกระบี่เซียนนี้ทรงอำนาจเกินไป มันอาจจะทำให้เขาโดดเด่นเกินไป ซึ่งไม่ตรงกับนิสัยของเขาแม้แต่น้อย เขาควรจะเก็บตัวเข้าไว้
หลินชิงจู้ก็เรียกกระบี่เมฆาม่วงและทำตามเย่ชิวทันที
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเย่ชิวได้สอนเคล็ดวิชากระบี่จักรพรรดิ์ให้นางด้วยเช่นกัน ความเข้าใจของนางนั้นสูงมาก ดังนั้นนางจึงสามารถเรียนรู้อย่างรวดเร็ว ไม่เหมือนกับเย่ชิวที่ต้องศึกษาถึงหนึ่งปี
สิบนาทีต่อมา บนดินแดนรกร้างสามร้อยลี้ร่างสองร่างค่อย ๆ ร่อนลงมาจากท้องฟ้า
เมื่อมองดูซากปรักหักพังที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นดิน เมืองที่รกร้างว่างเปล่าซึ่งครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองก็ถูกสัตว์อสูรทำลายจนพังพินาศ ควันจากซากปรักหักพังยังไม่ได้สลายหมดไป แม้แต่ซากศพก็ยังกองอยู่บนพื้น หลินชิงจู้รู้สึกคลื่นไส้และเกือบจะอาเจียนหลังจากเห็นสิ่งนี้
“จากลักษณะแล้วผลกระทบของการอาละวาดของสัตว์อสูรนี้เกิดขึ้นในบริเวณที่ใหญ่มาก เมืองเล็ก ๆ ก็ถูกทำลายไปเช่นนั้น มีใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรืออาจมีเหตุผลอื่นแฝงอยู่หรือไม่…” เย่ชิวครุ่นคิดอยู่ภายในใจ นี่คือดินแดนรกร้างทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นอาณาเขตของเผ่าพันธุ์มนุษย์หากสิ่งนี้เกิดขึ้นจริงภายใต้การปกครองของดินแดนศักดิ์สิทธิ์และราชวงศ์ต่าง ๆ ก็เป็นการยากที่จะเชื่อลง
ตึก ตัก ตึก…
เสียงฝีท้าวไม่กี่ก้าวได้ดังมาจากด้านหลัง หลินชิงจู้ได้หันกลับมาและเห็นกลุ่มคนบนซากปรักหักพัง
หัวหน้ากลุ่มเป็นชายชุดเขียว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
“ชิ ชิ ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก! ช่างน่าเศร้าจริง ๆ พวกเขาตายกันหมด เฮ้อ… น่าเสียดาย สาวงามตัวน้อยเหล่านี้ไม่ได้รับเกียตริจากข้าและต้องเสียชีวิตภายใต้ฝ่าเท้าของสัตว์อสูร”
เมื่อกล่าวจบเขาก็เดินไปหาศพของสตรี เซียวอี้ได้ใช้ไม้ในมือหยิบเสื้อผ้าของศพด้วยท่าทางขี้เล่นเพื่อแสดงความสงสาร
“นายน้อย ดูเถิด ยังมีสาวงามอีก” เซียวอี้ยังคงรู้สึกเสียใจต่อศพที่เสียชีวิตอยู่บนพื้นขณะที่ลูกน้องที่อยู่ข้างหลังเขาชี้ไปยังหลินชิงจูและกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซียวอี้จึงเงยหน้าขึ้นและมองเห็นร่างที่เย็นชาและห่างเหินของหลินชิงจู้ในชุดสีขาวที่กำลังโบกสะบัด ทำให้เขาถูกดึงดูดไปในทันที
ในฐานะทายาทสายตรงของตระกูลเซียว เขาได้เห็นสาวงามมามากมายเนื่องจากสถานะอันสูงส่งของเขา อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยเห็นเทพธิดาที่เย็นชาและสง่างามเช่น หลินชิงจู้ ดังนั้นเขาจึงให้ความสนใจกับนางในทันที
“อืม น่าสนใจ ข้าไม่ได้คาดหวังว่าจะได้พบกับสาวงามที่ไม่มีใครเทียบได้ในย่านเมืองเก่าเล็ก ๆ ที่ดินแดนรกร้างแห่งนี้ ดูเหมือนว่าข้าค่อนข้างจะมีโชคกับสตรีไม่น้อย” เซียวอี้พูดอย่างสนุกสนาน มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อยขณะที่เขาเดินผ่านไปอย่างสบาย ๆ “เทพธิดา ข้าคือเซียวอี้จากตระกูลเซียวแห่งลี่หยาง ข้าขอทราบนามของท่านได้หรือไม่ ท่านสนใจที่จะทำความรู้จักกับข้าหรือไม่”
หลินชิงจู้ขมวดคิ้วและรู้สึกรังเกียจ นางพูดอย่างเย็นชาว่า “ไสหัวไป!”
นางได้เห็นการกระทำของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ นางเคยคิดว่าผู้ชายที่หล่อเหลาทุกคนในโลกนี้ควรจะเป็นเหมือนท่านอาจารย์ของนาง ไม่เย่อหยิ่ง เจียมตัว เมตตา และตรงไปตรงมา ทว่าเมื่อมองดูตอนนี้ มันแตกต่างไปจากที่นางคาดไว้อย่างสิ้นเชิง การกระทำของอีกฝ่ายทำให้นางรู้สึกรังเกียจเป็นอย่างยิ่ง นี่คือสัตว์เดรัจฉานอย่างแท้จริง
เซียวอี้ขมวดคิ้วและสีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาหลังจากที่ได้ยินคำพูดของหลินชิงจู้ นางเป็นคนแรกที่กล้าพูดกับเขาเช่นนี้หลังจากที่ไม่เคยได้ยินมาหลายปี อย่างไรก็ตาม เขาก็ชื่นชมเช่นกัน เขาชอบความรู้สึกที่ถูกปฏิเสธ สิ่งนี้ทำให้เขาปรารถนาที่จะพิชิตนางให้ได้มากกว่าเดิม
“สาวน้อย เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากำลังพูดอยู่กับใคร กล้าดีอย่างไรมากล่าววาจาสามหาวกับนายน้อยของข้าเช่นนั้น เจ้ากำลังมองหาความตาย” เซียวอี้ไม่ได้ติดใจมากนัก แต่ลูกน้องที่อยู่ข้างหลังเขาไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยเรื่องนี้ไป ต้องการที่จะจู่โจมในทันที
“เฮ้อ…” เซียวอี้ยิ้มและโบกมือเพื่อบอกลูกน้องตนว่าอย่าเพิ่งเคลื่อนไหว มันคงไม่ดีนักหากพวกเขาจะต้องลงมือทำร้ายสาวงามที่น่าสนใจเช่นนี้ “หยุดก่อน มันคงจะไม่ดีนักหากเจ้าทำร้ายสาวงามเช่นนี้”
“ฮิฮิ นายน้อยมันเป็นความผิดของข้าเอง ข้าผิดเองที่ไม่ได้ไตร่ตรอง” เหล่าลูกน้องต่างหัวเราะ พวกเขาเพิกเฉยต่อเย่ชิวที่ยืนอยู่ตรงหน้าไปโดยสิ้นเชิง ราวกับว่าหลินชิงจู้ตกอยู่ในกำมือของพวกเขาแล้วก็ว่าได้
หลินชิงจู้รู้สึกโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก แต่เมื่อนางได้ยินว่าอีกฝ่ายมาจากตระกูล เซียวแห่งลี่หยาง พวกเขาจะต้องเป็นตระกูลใหญ่อย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงระงับเจตนาสังหารที่อยู่ในใจทันที นางไม่ได้มีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง การสนับสนุนเพียงอย่างเดียวของนางคือท่านอาจารย์ นางไม่ต้องการสร้างปัญหาให้กับท่านอาจารย์และทำได้เพียงอดทนอดกลั้นไว้ในใจ
ในขณะนั้นเองเย่ชิวก็ได้หันกลับมา “ตระกูลเซียวแห่งลี่หยาง”
เซียวอี้ตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นเย่ชิวที่อยู่ต่อหน้าเขา เขาเห็นว่า หลินชิงจู้ยืนอยู่ข้างหลังเย่ชิวอย่างเชื่อฟัง หัวใจมืดมนยิ่งกว่าเดิม นี่คือสตรีที่เขาเฝ้ามอง เขาจะปล่อยให้คนอื่นแย่งนางไปได้อย่างไร
หลังจากตรวจสอบเย่ชิวอย่างรอบคอบแล้ว เขาก็พบว่าคน ๆ นี้อายุน้อยมากและดูไม่ได้แข็งแกร่งเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้เขาไม่รู้จักชายคนนี้ ‘เขาอาจจะไม่ใช่ทายาทของตระกูลขุนนาง เซียวอี้คิดว่าบางทีการข่มขู่เพียงเล็กน้อยคงให้เย่ชิวตกใจและหลบหนีไป ท้ายที่สุด… ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถรุกรานตระกูลเซียวของเขาได้ นอกจากนี้ ยังมียอดฝีมือเป็นผู้หนุนหลังเขาเช่นกัน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เซียวอี้ก็กล่าว่า “โอ้ เจ้าเคยได้ยินชื่อเสียงของตระกูลเซียวของข้าบ้างหรือไม่”
เย่ชิวคิดครู่หนึ่งและพูดอย่างจริงจัง “อืม… ข้าไม่รู้”
การแสดงออกของเซียวอี้เปลี่ยนไปในทันที เจ้าเด็กคนนี้ยั่วยุข้าหรือ หรือเขากำลังยั่วยุตระกูลเซียวของข้า