ตอนที่แล้วยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 18 คล็ดวิชากระบี่พงไพร
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 20 เย่ชิวผู้เจ้าเล่ห์

ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 19 ตระกูลเซียวแห่งลี่หยาง


ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 19 ตระกูลเซียวแห่งลี่หยาง

เช้าวันรุ่งขึ้น ในลานโล่งหน้ากระท่อมไม้ของขุนเขาเมฆาม่วง หลินชิงจู้ได้ยืนคอยอยู่ที่นี่มานานแล้ว เมื่อเห็นว่าเย่ชิวได้ออกมานางก็ได้รีบคำนับในทันที

“อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะท่านอาจารย์…”

“เช่นกัน…”

เย่ชิวแต่งกายด้วยชุดสีขาว มีจี้หยกห้อยอยู่ที่เอวพร้อมกับพัดอยู่ในมือ ดูสง่างามเป็นอย่างยิ่ง

เย่ชิวถอดจี้หยกออกมาไว้ในมือแล้วกล่าวว่า “นี่คือหยกสำหรับจัดเก็บสิ่งของ มีพื้นที่มากมายเหลือภายในที่สามารถช่วยสัมภาระได้ พวกเราเป็นผู้ฝึกตนที่ต้องเดินทางอยู่ในดินแดนรกร้าง การที่นำกระเป๋าเดินทางจำนวนมากติดตัวนั้นไม่ได้สะดวกนัก ส่วนใหญ่แล้วพวกเรามีสมบัติในการจัดเก็บสิ่งของเช่นนี้ วันนี้เป็นครั้งแรกที่เจ้าลงเขา ข้าไม่มีสมบัติวิเศษที่จะมอบให้เจ้า ดังนั้นข้าจะมอบจี้หยกนี้แก่เจ้า…”

หลังจากส่งจี้หยกให้หลินชิงจู้แล้ว เย่ชิวก็บอกหลินชิงจู้เกี่ยวกับวิธีใช้จี้หยก

หลินชิงจู้กล่าวขอบคุณ “ขอบคุณสำหรับสมบัติเจ้าค่ะท่านอาจารย์ ข้าชอบมันยิ่งนัก…” อาจารย์ผู้นี้ช่างใจกว้างเกินไป อาจารย์ได้มอบสมบัติวิเศษให้นางอยู่ทุกวันและไม่ได้ปิดบังสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย

เย่ชิวยิ้มและตะโกนอยู่ภายในใจอย่างเงียบ ๆ

“ระบบ…”

[ติ๊ง…]

[ ท่านมอบได้จี้หยกเก็บสมบัติชั้นยอดแก่ลูกศิษย์ของท่าน ได้กระตุ้นระบบตอบแทนหมื่นเท่า ]

[ ท่านต้องการเปิดใช้งานระบบตอบแทนหมื่นเท่าหรือไม่ ]

“เปิดใช้งาน…”

[ ขอแสดงความยินดี ท่านกระตุ้นการตอบแทน 100 เท่า ท่านได้รับ ชิ้นส่วนหยกวิญญาณเร้นลับขั้นสูงสุด

เย่ชิวหงายฝ่ามือขวาขึ้นมาและจี้หยกอันใหม่ก็ได้ปรากฏขึ้นในมือของเขา หลังจากศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่าจี้หยกนี้มีพื้นที่กว้างขวางกว่าจี้หยกที่ตนได้มอบให้หลินชิงจู้มากนัก นอกจากนี้จี้หยกนี้ยังมีผลมหัศจรรย์กว่าเดิม กระทั่งสามารถเก็บสิ่งมีชีวิตได้

“อืม… นี่เป็นสมบัติที่ดี” เย่ชิวหัวเราะอย่างชั่วร้าย แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับการตอบแทนพันหรือหมื่นเท่าโดยตรงก็ตาม แต่เย่ชิวก็พอใจมากแล้ว ท้ายที่สุดเขาคงไม่โชคดีเสมอไป ร้อยเท่าก็สูงมากแล้ว

หลินชิงจู้แขวนจี้หยกไว้ที่เอวของนางอย่างระมัดระวังและถามว่า “ท่านอาจารย์ เราจะไปเมื่อไหร่หรือ”

เย่ชิวยังได้ไม่ตอบ ทว่าเขามองไปยังขุนเขาอื่น ๆ ทันใดนั้น ลำแสงหลายดวงก็ได้พุ่งออกมาจากขุนเขาต่าง ๆ รวมตัวกันหนาแน่น

เย่ชิวยิ้มอย่างแผ่วเบาและกล่าวว่า  “ไปกันเถอะ…”

คราวนี้ ทั้งเจ็ดขุนเขาได้ส่งศิษย์จำนวนมากออกไป ซึ่งนำโดยปรมาจารย์ขุนเขาเอง

ผู้คนในขุนเขาเมฆาม่วงทั้งหมดต่างถูกระดมกำลังไป แม้ว่าจะมีเพียงสองคนก็ตาม แต่การใช้คำว่า ‘ทั้งหมด’ ก็ทำให้รู้สึกว่ามีคนมากมายแก้เขินได้อยู่บ้าง

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์และสำนักเซียนต่าง ๆ ถูกระดมกำลังเพื่อกำจัดสัตว์อสูรในครั้งนี้ นี่เป็นเหมือนการปะทะกันขนาดใหญ่ระหว่างผู้ฝึกตนและสัตว์อสูร

เย่ชิวหยิบกระบี่ออกมาและกล่าวเบา ๆ ว่า “ไปกันเถอะ…”

เขาไม่ได้ใช้กระบี่เซียนเมฆา เพราะกระบี่เซียนนี้ทรงอำนาจเกินไป มันอาจจะทำให้เขาโดดเด่นเกินไป ซึ่งไม่ตรงกับนิสัยของเขาแม้แต่น้อย เขาควรจะเก็บตัวเข้าไว้

หลินชิงจู้ก็เรียกกระบี่เมฆาม่วงและทำตามเย่ชิวทันที

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเย่ชิวได้สอนเคล็ดวิชากระบี่จักรพรรดิ์ให้นางด้วยเช่นกัน ความเข้าใจของนางนั้นสูงมาก ดังนั้นนางจึงสามารถเรียนรู้อย่างรวดเร็ว ไม่เหมือนกับเย่ชิวที่ต้องศึกษาถึงหนึ่งปี

สิบนาทีต่อมา บนดินแดนรกร้างสามร้อยลี้ร่างสองร่างค่อย ๆ ร่อนลงมาจากท้องฟ้า

เมื่อมองดูซากปรักหักพังที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นดิน เมืองที่รกร้างว่างเปล่าซึ่งครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองก็ถูกสัตว์อสูรทำลายจนพังพินาศ ควันจากซากปรักหักพังยังไม่ได้สลายหมดไป แม้แต่ซากศพก็ยังกองอยู่บนพื้น หลินชิงจู้รู้สึกคลื่นไส้และเกือบจะอาเจียนหลังจากเห็นสิ่งนี้

“จากลักษณะแล้วผลกระทบของการอาละวาดของสัตว์อสูรนี้เกิดขึ้นในบริเวณที่ใหญ่มาก เมืองเล็ก ๆ ก็ถูกทำลายไปเช่นนั้น มีใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรืออาจมีเหตุผลอื่นแฝงอยู่หรือไม่…” เย่ชิวครุ่นคิดอยู่ภายในใจ นี่คือดินแดนรกร้างทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นอาณาเขตของเผ่าพันธุ์มนุษย์หากสิ่งนี้เกิดขึ้นจริงภายใต้การปกครองของดินแดนศักดิ์สิทธิ์และราชวงศ์ต่าง ๆ ก็เป็นการยากที่จะเชื่อลง

ตึก ตัก ตึก…

เสียงฝีท้าวไม่กี่ก้าวได้ดังมาจากด้านหลัง หลินชิงจู้ได้หันกลับมาและเห็นกลุ่มคนบนซากปรักหักพัง

หัวหน้ากลุ่มเป็นชายชุดเขียว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง

“ชิ ชิ ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก! ช่างน่าเศร้าจริง ๆ พวกเขาตายกันหมด เฮ้อ… น่าเสียดาย สาวงามตัวน้อยเหล่านี้ไม่ได้รับเกียตริจากข้าและต้องเสียชีวิตภายใต้ฝ่าเท้าของสัตว์อสูร”

เมื่อกล่าวจบเขาก็เดินไปหาศพของสตรี เซียวอี้ได้ใช้ไม้ในมือหยิบเสื้อผ้าของศพด้วยท่าทางขี้เล่นเพื่อแสดงความสงสาร

“นายน้อย ดูเถิด ยังมีสาวงามอีก” เซียวอี้ยังคงรู้สึกเสียใจต่อศพที่เสียชีวิตอยู่บนพื้นขณะที่ลูกน้องที่อยู่ข้างหลังเขาชี้ไปยังหลินชิงจูและกล่าว

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซียวอี้จึงเงยหน้าขึ้นและมองเห็นร่างที่เย็นชาและห่างเหินของหลินชิงจู้ในชุดสีขาวที่กำลังโบกสะบัด ทำให้เขาถูกดึงดูดไปในทันที

ในฐานะทายาทสายตรงของตระกูลเซียว เขาได้เห็นสาวงามมามากมายเนื่องจากสถานะอันสูงส่งของเขา อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยเห็นเทพธิดาที่เย็นชาและสง่างามเช่น หลินชิงจู้ ดังนั้นเขาจึงให้ความสนใจกับนางในทันที

“อืม น่าสนใจ ข้าไม่ได้คาดหวังว่าจะได้พบกับสาวงามที่ไม่มีใครเทียบได้ในย่านเมืองเก่าเล็ก ๆ ที่ดินแดนรกร้างแห่งนี้ ดูเหมือนว่าข้าค่อนข้างจะมีโชคกับสตรีไม่น้อย” เซียวอี้พูดอย่างสนุกสนาน มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อยขณะที่เขาเดินผ่านไปอย่างสบาย ๆ “เทพธิดา ข้าคือเซียวอี้จากตระกูลเซียวแห่งลี่หยาง ข้าขอทราบนามของท่านได้หรือไม่ ท่านสนใจที่จะทำความรู้จักกับข้าหรือไม่”

หลินชิงจู้ขมวดคิ้วและรู้สึกรังเกียจ นางพูดอย่างเย็นชาว่า “ไสหัวไป!”

นางได้เห็นการกระทำของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ นางเคยคิดว่าผู้ชายที่หล่อเหลาทุกคนในโลกนี้ควรจะเป็นเหมือนท่านอาจารย์ของนาง ไม่เย่อหยิ่ง เจียมตัว เมตตา และตรงไปตรงมา ทว่าเมื่อมองดูตอนนี้ มันแตกต่างไปจากที่นางคาดไว้อย่างสิ้นเชิง การกระทำของอีกฝ่ายทำให้นางรู้สึกรังเกียจเป็นอย่างยิ่ง นี่คือสัตว์เดรัจฉานอย่างแท้จริง

เซียวอี้ขมวดคิ้วและสีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาหลังจากที่ได้ยินคำพูดของหลินชิงจู้ นางเป็นคนแรกที่กล้าพูดกับเขาเช่นนี้หลังจากที่ไม่เคยได้ยินมาหลายปี อย่างไรก็ตาม เขาก็ชื่นชมเช่นกัน เขาชอบความรู้สึกที่ถูกปฏิเสธ สิ่งนี้ทำให้เขาปรารถนาที่จะพิชิตนางให้ได้มากกว่าเดิม

“สาวน้อย เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากำลังพูดอยู่กับใคร กล้าดีอย่างไรมากล่าววาจาสามหาวกับนายน้อยของข้าเช่นนั้น เจ้ากำลังมองหาความตาย” เซียวอี้ไม่ได้ติดใจมากนัก แต่ลูกน้องที่อยู่ข้างหลังเขาไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยเรื่องนี้ไป ต้องการที่จะจู่โจมในทันที

“เฮ้อ…” เซียวอี้ยิ้มและโบกมือเพื่อบอกลูกน้องตนว่าอย่าเพิ่งเคลื่อนไหว มันคงไม่ดีนักหากพวกเขาจะต้องลงมือทำร้ายสาวงามที่น่าสนใจเช่นนี้ “หยุดก่อน มันคงจะไม่ดีนักหากเจ้าทำร้ายสาวงามเช่นนี้”

“ฮิฮิ นายน้อยมันเป็นความผิดของข้าเอง ข้าผิดเองที่ไม่ได้ไตร่ตรอง” เหล่าลูกน้องต่างหัวเราะ พวกเขาเพิกเฉยต่อเย่ชิวที่ยืนอยู่ตรงหน้าไปโดยสิ้นเชิง ราวกับว่าหลินชิงจู้ตกอยู่ในกำมือของพวกเขาแล้วก็ว่าได้

หลินชิงจู้รู้สึกโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก แต่เมื่อนางได้ยินว่าอีกฝ่ายมาจากตระกูล เซียวแห่งลี่หยาง พวกเขาจะต้องเป็นตระกูลใหญ่อย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงระงับเจตนาสังหารที่อยู่ในใจทันที นางไม่ได้มีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง การสนับสนุนเพียงอย่างเดียวของนางคือท่านอาจารย์ นางไม่ต้องการสร้างปัญหาให้กับท่านอาจารย์และทำได้เพียงอดทนอดกลั้นไว้ในใจ

ในขณะนั้นเองเย่ชิวก็ได้หันกลับมา “ตระกูลเซียวแห่งลี่หยาง”

เซียวอี้ตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นเย่ชิวที่อยู่ต่อหน้าเขา เขาเห็นว่า หลินชิงจู้ยืนอยู่ข้างหลังเย่ชิวอย่างเชื่อฟัง หัวใจมืดมนยิ่งกว่าเดิม นี่คือสตรีที่เขาเฝ้ามอง เขาจะปล่อยให้คนอื่นแย่งนางไปได้อย่างไร

หลังจากตรวจสอบเย่ชิวอย่างรอบคอบแล้ว เขาก็พบว่าคน ๆ นี้อายุน้อยมากและดูไม่ได้แข็งแกร่งเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้เขาไม่รู้จักชายคนนี้ ‘เขาอาจจะไม่ใช่ทายาทของตระกูลขุนนาง เซียวอี้คิดว่าบางทีการข่มขู่เพียงเล็กน้อยคงให้เย่ชิวตกใจและหลบหนีไป ท้ายที่สุด… ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถรุกรานตระกูลเซียวของเขาได้ นอกจากนี้ ยังมียอดฝีมือเป็นผู้หนุนหลังเขาเช่นกัน

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เซียวอี้ก็กล่าว่า “โอ้ เจ้าเคยได้ยินชื่อเสียงของตระกูลเซียวของข้าบ้างหรือไม่”

เย่ชิวคิดครู่หนึ่งและพูดอย่างจริงจัง “อืม… ข้าไม่รู้”

การแสดงออกของเซียวอี้เปลี่ยนไปในทันที เจ้าเด็กคนนี้ยั่วยุข้าหรือ หรือเขากำลังยั่วยุตระกูลเซียวของข้า

5 2 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด