ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 18 คล็ดวิชากระบี่พงไพร
ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 18 เคล็ดวิชากระบี่พงไพร
หลังจากนั้นเย่ชิวก็กลับไปยังห้องฝึกซ้อม
“ระบบ!”
[ ติ๊ง… ]
[ ท่านมอบเคล็ดวิชากระบี่เมฆาม่วงแก่ลูกศิษย์ของท่าน ได้กระตุ้นระบบตอบแทนหมื่นเท่า ]
[ ท่านต้องการเปิดใช้งานระบบตอบแทนหมื่นเท่าหรือไม่ ]
“เปิดใช้งาน…”
[ ขอแสดงความยินดี ท่านกระตุ้นการตอบแทน 10,000 เท่า ท่านได้รับเคล็ดวิชากระบี่ระดับเทพเจ้า เคล็ดวิชากระบี่พงไพร ]
“เคล็ดวิชากระบี่พงไพร”
เย่ชิวจ้องมองอย่างว่างเปล่า ชื่อนี้ฟังดูไม่ได้ทรงพลังนัก
[ ท่านต้องการที่จะเรียนรู้หรือไม่ ]
“ต้องการ…”
คัมภีร์สีทองได้ปรากฏเข้ามาในจิตใจของเย่ชิวทำให้เขาต้องสูดอากาศเข้าไปทันที
“ลมป่าพัดผ่าน พฤกษาทุกต้นล้วนเป็นศัตรู…”
“ฟู่…” เมื่อมองแวบเดียว เย่ชิวก็ปัดเป่าความคิดของเขาในทันที
วิชากระบี่นี้อาจฟังดูอ่อนแอ แต่ความจริงแล้วมันน่ากลัวกว่าที่เย่ชิวคิดไว้มาก
“คมกระบี่ของโลกนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าต้นไม้และพุ่มไม้! ในบทเหี่ยวเฉาและงอกงามปีละหนนั้นสามารถอยู่เหนือมิติและกาลเวลา และสังหารอย่างไร้ความปราณี…”
เย่ชิวเต็มไปด้วยเหงื่ออันเย็นเยียบจากเจตนาสังหารอันรุนแรงนี้ เคล็ดวิชากระบี่พงไพรมีเพียงสามกระบวนท่าเท่านั้น อนุภาพของแต่ละกระบวนท่านั้นไม่สามารถจินตนาการได้
กระบี่เล่มแรก พร่างพรายในพงหญ้า!
กระบี่เล่มที่สอง วิบัติร่ายรำสะบั้นนภา!
กระบี่เล่มที่สาม เหี่ยวเฉาและงอกงามปีละหน!
ทั้งสามกระบวนท่านี้เป็นกระบวนท่าที่สามารถสินใจความเป็นความตายได้ อนุภาพของมันนั้นช่างน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง และเคล็ดวิชากระบี่ก็เต็มไปด้วยพลังกดขี่ข่มเหงอย่างหาที่เปรียบมิได้ ทำให้ผู้อื่นยากที่จะต้านทาน
กระบี่เล่มที่สามเหี่ยวเฉาและงอกงามปีละหนเป็นเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ เขาสามารถอยู่เหนือมิติและกาลเวลาหรือแม้แต่ความแตกต่างของความแข็งแกร่ง จนถึงจุดที่เขาสามารถใช้กระบี่เล่มนี้ได้ตัวต่อตัวในสถานการณ์ที่คับขัน แม้แต่เซียนในสวรรค์ก็ยังต้องสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวเมื่อเห็นกระบี่เล่มนี้
กระบี่เล่มนี้เป็นไพ่ตายสุดท้ายของเย่ชิว จะต้องเป็นการต่อสู้ระหว่างความเป็นและความตายเท่านั้นถึงจะสามารถบังคับให้เย่ชิวใช้กระบี่เล่มนี้ได้ไม่ว่าคู่ต่อสู้ของเขาจะเป็นใครและแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม
“ช่างเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยม…” ครั้งนี้เย่ชิวตื่นเต้นเป็นอย่างมาก! เคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์สามได้อย่างปรากฏขึ้นพร้อมกัน นอกเหนือจากกระบี่เล่มที่สามซึ่งเขาใช้ไม่ได้เว้นแต่จำเป็นจริง ๆ แล้ว กระบี่อีกสองเล่มก็เพียงพอแล้วที่จะใช้จัดการเรื่องราวต่าง ๆ
ในสำนักสำนักเยียวยาสวรรค์ทั้งหมด แม้แต่ในดินแดนรกร้างทางทิศตะวันออก ไม่เคยมีใครเคยพบเห็นเคล็ดวิชากระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้
ในอีกไม่กี่วันต่อมา ขุนเขาเมฆาม่วงก็กลับสู่ความสงบดังเดิม
หลินชิงจู้กำลังฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่เมฆาม่วงและนางก็มีความชำนาญมากขึ้นเรื่อย ๆ ความแข็งแกร่งของนางก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเช่นกัน ระดับการบ่มเพาะของนางบรรลุไปขอบเขตนิ้วทมิฬขั้นที่ 2 ได้อย่างรวดเร็ว
เย่ชิวยังคงตกใจกับความเร็วในการฝึกฝนของนาง อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ครุ่นคิดเกี่ยวกับมันแล้ว เขาก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว เป็นเรื่องปกติที่ความก้าวหน้าของนางจะรวดเร็วเนื่องจากกระดูกศักดิ์สิทธิ์และจิตใจที่แน่วแน่ของนาง
สำหรับเย่ชิว เขายังคงหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่พงไพร เขาตรวจสอบการเคลื่อนไหวของเขาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ด้วยความช่วยเหลือของบุปผามหาเต๋า เขาเข้าใจความลึกลับของเคล็ดวิชากระบี่พงไพรได้อย่างรวดเร็วและมีความชำนาญยอดเยี่ยม
เย่ชิวรู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังลอยอยู่ท้องฟ้า ด้วยการมีเคล็ดวิชากระบี่นี้เป็นรากฐานของเขา ทำให้อนาคตของเขาข้างหน้านั้นง่ายขึ้นมาก…
มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ในขณะนี้ เนื่องจากเขามีเคล็ดวิชากระบี่พงไพรและกระบี่เซียนเมฆา
ในวันนี้เย่ชิวได้ออกจากขุนเขาเมฆาม่วงในตอนเช้าและมุ่งหน้าไปยังโถงหยกพิสุทธิ์
เมิ่งเทียนเจิ้งกำลังจะส่งต่อข่าวร้ายให้กับพวกเขาในโถงหยกพิสุทธิ์
แน่นอนว่ามันเกี่ยวกับการอาละวาดของสัตว์อสูรเมื่อครั้งก่อน เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อดินแดนรกร้างทางทิศตะวันออก ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เซียนเกือบทั้งหมดในดินแดนรกร้างตะวันออกต่างได้รับผลกระทบ ตอนนี้ สัตว์อสูรที่ตีนเขายังไม่ได้สงบลง สัตว์อสูรมีอยู่ทุกหนทุกแห่งบนดินแดนรกร้างสามร้อยลี้ ผู้คนไม่สามารถทำมาหากินและต้องใช้ชีวิตอย่างลำบาก
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ราชวงศ์ลี่หยาง ราชวงศ์อัคคี ราชวงศ์ฮั่นไห่ได้ส่งคำเชิญไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์และสำนักต่าง ๆ ในดินแดนรกร้างทางทิศตะวันออก พวกเขาเชิญเหล่าศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์และสำนักต่าง ๆ ให้ลงจากเขาร่วมมือกันเพื่อระงับความวุนวายที่กำลังเกิดขึ้น
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เซียนที่มีชื่อเสียงที่สุดในเขตการปกครองราชวงศ์ลี่หยาง สำนักเยียวยาสวรรค์ก็ได้รับคำเชิญเช่นกัน นั่นเป็นเหตุผลที่เมิ่งเทียนเจิ้งจัดประชุมกับปรมาจารย์ขุนเขาทั้งเจ็ดโดยต้องการถามพวกเขาว่ามีความคิดเช่นไร
ทุกคนต่างแสดงความเต็มใจที่จะลงจากภูเขาเพื่อระงับความวุ่นวายนี้ด้วยกัน
เย่ชิวไม่ได้คัดค้านโดยธรรมชาติ ตามแผนเดิมของเขา เขาต้องการลงจากภูเขาหลังจากเสร็จสิ้นการประลองยุทธ์เจ็ดขุนเขา แต่ดูจากตอนนี้แล้วเขาไม่ต้องรอนานเลย
เป็นโอกาสอันดีที่เขาจะฝึกฝนลูกศิษย์ขณะที่พวกเขาลงจากภูเขา ในเวลาเดียวกัน เขาสามารถตรวจสอบสาเหตุของการอาละวาดของสัตว์อสูรได้
ในห้องโถงหยกพิสุทธิ์
ในที่สุดเมิ่งเทียนเจิ้งก็ตัดสินใจและพูดว่า “เอาล่ะ! ในเมื่อไม่มีใครคัดค้าน ให้ทุกคนกลับไปเตรียมตัว ทางสำนักจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับฝ่ายต่าง ๆ ยังมีเวลาอีกสองเดือนก่อนที่การประลองยุทธ์เจ็ดขุนเขาจะเริ่มต้นขึ้น อย่าถลำลึกจนเกินไป และพยายามรีบกลับก่อนที่การประลองจะเริ่ม! แยกย้าย…”
เมื่อไม่มีใครคัดค้าน พวกเขาจึงเริ่มออกเดินทางและกลับไปเตรียมตัว
เย่ชิวกลับไปยังขุนเขาเมฆาม่วงอย่างรวดเร็ว หลินชิงจู้กำลังรอเขาอยู่ที่ห้องฝึกซ้อม
“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ลุงได้รู้ข่าวอะไรหรือไม่ตั้งแต่เขาเรียกท่านไปประชุมอย่างเร่งด่วน” หลินชิงจู้สอบถามอย่างใจร้อนเมื่อเห็นเย่ชิวกลับมา สิ่งที่นางใส่ใจมากที่สุดคือการแก้แค้นให้กับบุพการีของตน
เย่ชิวกลับไปยังที่นั่งของเขาและจิบชาอย่างใจเย็น เขาส่ายหัว “ไม่มี เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าจะแจ้งให้เจ้าทราบเมื่อมีข่าวนั้น”
หลินชิงจู้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย นางกระทั่งคิดว่าเมิ่งเทียนเจิ้งรีบเรียกเย่ชิวไปยังโถงหยกพิสุทธิ์เพราะเขาได้รับข้อมูลบางอย่าง
อย่างไรก็ตาม นางฟื้นความรู้สึกได้อย่างรวดเร็ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการฝึกฝน แม้ว่านางจะรู้สาเหตุตอนนี้ นางก็ไม่สามารถแก้แค้นได้ นางจะต้องอาศัยอยู่บนภูเขาและฝึกฝนกับอาจารย์ของนาง เมื่อนางแข็งแกร่งพอ นางจะตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตนเอง
เย่ชิวรับรู้ได้ว่านางรู้สึกหดหู่ เขายิ้มและกล่าวว่า “เอาล่ะ! เตรียมตัวให้ดี พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าลงจากภูเขาเพื่อตรวจสอบสาเหตุของการอาละวาดของสัตว์อสูร”
“ในขณะเดียวกัน ข้าก็อยากฝึกฝนเจ้าเช่นกัน เจ้าเป็นผู้ฝึกตนในขอบเขตนิ้วทมิฬขั้นที่ 2 แล้ว และทักษะการใช้เคล็ดวิชากระบี่ของเจ้าใกล้จะสมบูรณ์แล้ว ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องต่อสู้จริง ๆ แล้ว”
“ผลกระทบของการอาละวาดของสัตว์อสูรครั้งนี้ยิ่งใหญ่เกินไป ดินแดนรกร้างทางทิศตะวันออกทั้งหมดกำลังตกอยู่ในอันตราย เหล่าศิษย์อัจฉริยะจากสำนักเซียนและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ได้ลงจากภูเขาก่อนเราแล้ว
“เจ้าควรใช้โอกาสนี้เพื่อสังเกตอัจฉริยะจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ เจ้าควรเห็นความแตกต่างระหว่างเจ้ากับเขา เราจะกลับมาพูดคุยกันอีกครั้งหลังจากที่เจ้าเห็นความแตกต่างนั้น”
ดวงตาของหลินชิงจู้เป็นประกาย “จริงหรือ ท่านอาจารย์ไม่ได้โกหกข้าใช่หรือไม่”
“ข้าเคยโกหกเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…” เย่ชิวกลอกตาใส่นาง หลินชิงจู้รู้สึกประทับใจมากเมื่อได้ยินเรื่องนี้
“เจ้าค่ะ ข้าจะไปเตรียมตัวทันที”
“เอาล่ะ ไปเถอะ...”
หลินชิงจู้ มีความสุขมากเพราะนางสามารถลงไปยังภูเขากับอาจารย์ของนางได้ แม้ว่านางจะมีชีวิตที่สมบรูณ์แบบทุกวันตั้งแต่นางขึ้นมาอาศัยอยู่บนภูเขาและอาจารย์ของนางก็ปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี แต่ก็ยังมีปมอยู่ภายในใจนางอยู่เสมอ และนั่นคือการแก้แค้นให้บุพการีของนาง นางไม่รู้ว่าบ้านเก่าที่ตนเคยอยู่อาศัยและถูกทำลายโดยสัตว์อสูรจะมีสภาพเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
ดังนั้นนางจึงรู้สึกประทับใจอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าเย่ชิวจะพาตนลงจากภูเขาเพื่อฝึกฝนและช่วยนางตรวจสอบหาผู้กระทำผิด
เมื่อกลับมาที่ห้องหลินชิงจู้ก็เริ่มจัดเตรียมของทันที พร้อมที่จะลงจากภูเขาพร้อมกับเย่ชิวในเช้าวันพรุ่งนี้
อันที่จริง นางไม่ต้องเตรียมอะไรมากมาย มีแค่นางกับกระบี่ของนางเท่านั้น
[ปล. ผมเป็นไข้นะครับ เลยอัพช้า ที่เห็นนี่คือนอนแล้วถึงตื่นกลางดึกมาแปลเพิ่ม]