ตอนที่แล้วบทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 23 ความแค้นของอาเร่นา (El Arena Vindicta)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 25 วัฒนธรรมแห่งนวัตกรรม (Culture of Innovation)

บทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 24 ศัตรูของศัตรู (Enemy of my enemy)


ศัตรูของศัตรู

(Enemy of my enemy)

สงครามประกาศอิสรภาพ บ้างก็ถูกเรียกว่าสงครามเพื่อเสรีภาพ ไม่ว่าจะเรียกเช่นไร มันล้วนแล้วคือเป้าหมายหลักของชาวโลกใหม่ การปฏิวัติในทุกอย่างของอองโทราล เหตุการณ์และเหตุผลที่ทำให้ประชากรชั้นสองของมหาจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ ได้ลุกขึ้นมาทำสงครามต่อต้านเจ้านายเก่า พวกเขาได้ลุกขึ้นมาสู้เพื่อตัวของตัวเอง เพื่อรัฐชาติใหม่ที่เป็นบ้านของพวกเขา

อย่างไรก็ตามทางสหจักรวรรดิลีโอเนียกลับเรียกสงครามที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ว่าเป็นเพียงแค่การก่อกบฏ พวกเขาจะเขียนลงในหน้ากระดาษ และบันทึกเก็บเอาไว้ภายในคลังประวัติศาสตร์ของชาวลีโอเนีย เพียงแต่ความจริงบนสนามรบนั้นช่างแตกต่างกับหน้าหนังสือที่ถูกเขียนเอาไว้ สงครามบนทวีปอาริกาเซียมีจำนวนการความสูญเสียของทั้งสองฝั่งสูงเป็นยอดภูเขาใหญ่

แม้แต่ผู้บัญชาของสหจักรวรรดิลีโอเนียที่อยู่ในแนวหน้าอาริกาเซียเองก็ไม่อาจจะคาดถึงได้ นอกจากนายทหารระดับสูงที่อยู่บนทวีปอาริกาเซีย และฝ่ายยุทธวิธีแล้ว ขุนนางในสภาสูงลีโอเนียก็ต่างไม่ทราบความจริงที่ว่า… พวกเขากำลังอยู่ในสงครามกับรัฐชาติใหม่ หาใช่การก่อการร้ายเล็กๆน้อยๆแต่อย่างใด

เหล่านายทหารที่ถูกส่งมาปราบปรามกบฏก็ต่างรู้กันดี การปราบกบฏอาจจะเป็นคำพูดที่สวยหรู แต่มันก็มิใช่คำพูดที่ถูกมากนัก เพราะมันได้กลายเป็นสงครามไปนานเสียแล้ว นอกจากนั้นก็ยังเป็นพร่ากำลังอีกด้วย แม้แต่ยุทธวิธีการศึกสงครามของพวกอาริกาเซียเอง ก็ยังคล้ายคลึงเหมือนกับสหจักรวรรดิแทบทุกตารางนิ้ว ความแข็งแกร่งด้านยุทธวิธีของลีโอเนียที่สามารถครอบครองทุกสนามรบสำคัญ ได้กลายมาเป็นความสูญเปล่าทันทีเมื่อฝั่งตรงข้ามก็มีความรู้ในการศึกเฉกเช่นเดียวกัน มันทำให้การสู้รบกับพวกกบฏเหล่านี้เต็มไปได้วยความยากลำบากยากเย็น

ไฟแห่งสงครามบนทวีปโลกใหม่ได้ดำเนินมา 2 ปี กว่าๆ แต่ก็ยังไม่มีท่าทีของความสำเร็จบนอาริกาเซียแม้แต่น้อย ขนาดที่ว่าการยอมแพ้ก็ไม่มีแม้แต่จะแสดงออกมาให้ทหารลีโอเนียได้เห็นกับตาทั้งสองข้าง นอกเสียจากการต่อต้านสู้จนตัวตายของพวกอาริกาเซีย

แน่นอนว่าลีโอเนียเองก็ยังคงหวังว่า ผู้จงรักภักดีที่สนับสนุนลีโอภายในอาริกาเซียจะมีให้เห็น แต่เมื่อพวกเขายิ่งต่อสู้นานเท่าไร ผู้จงรักภักดีที่ควรมีอยู่บนอาริกาเซียกลับน้อยลงทุกวัน จนบัดนี้บ้านทุกหลังก็มีแต่ผู้ไม่ให้ความร่วมมือเต็มไปหมด

ทางตอนเหนือของอาริกาเซีย มีจำนวนผูเสียชีวิตมากกว่าหมื่นคนจากทั้งสองฝ่าย มันเป็นยุทธการที่น่องเลือดที่สุดบนทวีปโลกใหม่ กองทัพลีโอเนียตอนเหนือสามารถยึดรัฐโจเซได้ทั้งหมด แต่ก็ต้องสูญเสียทหารไปเป็นจำนวนมาก ไม่พอแค่นั้น พวกเขาคาดการว่าจะยึดได้ภายใน 1 เดือนกับกลายเป็น 1 ปีแทน

ความล่าช้าเช่นนี้เป็นผลมาจากการต่อต้านที่รุนแรงของชาวอาริกาเซียที่ก่อตั้งประเทศขึ้นมาใหม่ ความหมายของการต่อสู้ที่ในตอนแรกที่ดูเหมือนเป็นการแสดงออกเกี่ยวกับภาษี กลายเป็นการต่อต้านเพื่อแยกตัวออกจากการปกครองของสหจักรวรรดิ ความหมายของการต่อสู้ที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ อาจจะเป็นผลที่ทำให้ชาวอาณานิคมทั้งหมดหันมารวมแรงรวมใจกันต่อสู้กับเจ้าอาณานิคมก็เป็นไปได้

จากตอนเหนือของยังคงร้อนเป็นไฟไหม้ ทางตอนใต้เองก็หากใช่จะนิ่งเฉย มันได้กลายมาเป็นความอัปยศของกองทัพสหจักรวรรดิลีโอเนีย เนื่องจากพวกเขาต้องการแบ่งกำลังและแนวรบที่หนักอยู่แล้วจากตอนเหนือให้เบาลง แล้วจะทำอย่างไรให้กองกำลังกบฏได้เปลี่ยนทิศทางกันล่ะ?

ไม่นานนัก สหจักรวรรดิลีโอเนียก็ได้ทำการเปิดแนวรบใหม่จากทางตอนใต้ของทวีปอาริกาเซียซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองหลวงของอาริกาเซีย การยกพลขึ้นบกที่มลรัฐเดอลากูร์ และ เบอร์เกน เป็นผลสำเร็จในเวลาอันสั้น สามารถเข้ายึดเมืองท่าสำคัญได้หมด

และมันก็ควรจะเป็นแนวรบใหม่ของสหจักรวรรดิ ที่จะสามารถพลิกสงครามระหว่างสองทวีป

หากแต่ว่า กำลังลีโอเนียกลับถูกดันให้กลับลงทะเลภายในที่กี่เดือน…

เป็นหนึ่งในความพ่ายแพ้ของสหจักรวรรดิที่ไม่สามารถที่จะลบหายจากไปได้ หากพวกเข้าไม่สามารถเอาชนะกบฏเหล่านี้ได้

นำโดยพลตรี ไฮดี้ เวลลิงตัน และกองพลใหม่ที่พึ่งถูกจัดตั้งโดยดักลาส กองกำลังพิทักษ์สาธารณรัฐที่ 1 (1st Republican Guard) ซึ่งเป็นการรวมตัวของทาสที่ไม่สามารถหางานและเริ่มต้นชีวิตหลังการเลิกทาสได้ในช่วงสงคราม การเลิกทาสก็มีราคาที่เหล่าทาสเองก็ต้องจ่ายเหมือนกับทุกคน เหมือนกับคำพูดที่ว่า อิสรภาพราคาแพงสำหรับคนจน การสู้เพื่อมันก็เป็นทางเลือกที่ดักลาสเปิดให้พวกอดีตทาสเหล่านี้

แต่ทว่านอกจากทาสแล้ว ผู้พบเห็นกองกำลังพบเห็นกองกำลังพิทักษ์สาธารณรัฐที่ 1 ก็คงสังเกตเห็นถึงใบหน้าของนายทหารที่เด็กกว่าที่จะมาอยู่ในสงครามของผู้ใหญ่ ไม่ใช่ว่าลาสเองก็ปฏิเสธที่จะให้เด็กหรือทาสที่มีอายุต่ำกว่า 20 เข้ามาเป็นทหารมิใช่หรือ? เหตุเช่นใดถึงได้มีเด็กมาอยู่ในกองทัพกัน

เหตุผลก็คงเดียวที่หลายคนคิดก็คงเป็นการหลุดเข้ามาในกองพลมากกว่า การถูกเกณฑ์เข้ามาเสียมากกว่า เพราะอย่างไรก็ตามชาวอาริกาเซียผู้รักชาติที่พร้อมจะขับไล่ผู้รุกรานด้วยทุกอย่างที่มีอยู่… และ การ์ดเหล่านี้ก็เป็นทหารชั้นยอดของประเทศที่เยาว์วัยแห่งนี้ พวกเขาพร้อมที่จะอุทิศตนเพื่ออุดมการณ์ที่เรียกว่าอิสรภาพ พร้อมกับจิตใจที่แน่วแน่ในการปกป้องเสรีภาพที่ได้มาอย่างยากลำบาก

……

.

.

.

.

.

.

บริเวณชายแดน มลรัฐชาร์ลส-วัลเทอร์ วันที่ 7 กันยายน ศักราชอองโทราลที่ 3928

ในวันที่ 1 กันยายน ศักราชอองโทราลที่ 3928 สาธารณรัฐที่เยาว์วัยอาริกาเซียได้ระดมพลที่มลรัฐชาร์ลส หลังจากแน่ใจแล้วว่าจะไม่มีการยกพลขึ้นบกเพิ่ม พวกเขาต้องเชื่อมต่อกับตอนเหนือให้ได้โดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นแล้ว แนวรบตอนเหนือคงได้พังทลายลง

ค่ายทหารสีขาวตั้งเรียงรายเป็นสี่เหลี่ยม จำนวนชาวอาริกาเซียเท่ากับ 1 กองพลอยู่ในค่ายพักแห่งนี้ และอีก 4 กองพลที่เตรียมเข้าสู้รบซึ่งอยู่ห่างจากค่ายแห่งนี้ไม่ไกลมากนัก

หม้อทำอาหารถูกตั้ง ควันสีขาวลอยออกจากหม้อ พร้อมกับกลิ่นหอมของซุปเห็ดที่สามารถทำได้ง่ายและประหยัดสำหรับอาหารของกองทัพที่ไม่มีรายได้ ค้อนและเลื่อยถูกใช้งานไม่มีพักตลอดที่มีแสงจากดวงอาทิตย์ ต้นไม้ใหญ่ถูกตัดโค่นลงมาก่อนจะถูกนำมาไปแปรรูปและสร้างเป็นอุปกรณ์ต่างๆ

เสียงม้าศึกที่กำลังวิ่งซ้อมอยู่หลังค่าย เป็นม้าศึกที่ถูกยึดหลังการต่อสู้ เนื่องจากอาริกาเซียไม่เป็นดินแดนที่ผลิตม้าและฝึก แต่เป็นการนำเข้าเสียมากกว่า นอกจากม้าศึกก็เป็นเกวียนลากที่ส่งเสบียงจากรัฐที่ยังไม่ถูกรุกราน

ทหารภาคพื้นทวีปนั่งพักผ่อน และทำหน้าที่ของตนอย่างการดูแลอาวุธและผลิตลูกปืน และศึกซ้อมในบางเวลา แต่ก็มีการเล่นดนตรีกันอย่างสงบ ในช่วงเวลาสงครามที่ไร้ความหวังเช่นนี้ กองกำลังภาพื้นทวีปถือว่ามีกำลังใจอย่างมาก

เมื่อมองไปตรงกลางค่ายก็จะพบกับกระโจมสีขาวใหญ่ที่เด่นชัด

เหล่าผู้บัญชาการกองกำลังภาคพื้นทวีปต่างมารวมตัวกันที่กระโจมสีขาวใหญ่ กองกำลังหลักของอาริกาเซียเตรียมตัวเปิดฉากการโจมตีในฤดูใบไม้ร่วง ด้วยจำนวนมากกว่าครึ่งแสนและเต็มไปด้วยประสบการณ์สู้รบที่โชกโชนไม่ว่าจะเป็น ก่อนหรือเริ่มต้นสงครามประกาศอิสรภาพ เป็นการเตรียมการที่หลายคนรอไม่เนิ่นนาน หลังจากนี้เป็นต้นไปมันจะเป็นการตอบโต้ครั้งแรกของอาริกาเซีย หลังจากที่พวกเขาเป็นฝ่ายป้องกันมาโดยตลอด

มันถึงเวลาที่พวกเขาจะทำการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ และทำให้ทรราชแห่งที่ราบลุ่มลีโอได้รู้จักกับนรกบนดินที่แท้จริง

เสียงพูดคุยกันในกระโจมสีขาวใหญ่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เมื่อเห็นครั้งแรกก็คงคิดว่าเป็นกระโจมของทหารชั้นปลายแถว เพราะว่ารอบข้างก็เต็มไปด้วยทหารที่ไร้ซึ่งระเบียบวินัยยื่นฟังกันอย่างไม่อายใคร ขณะที่ภายในกระโจมขาวเป็นผู้บัญชาการที่มีตำแหน่งสำคัญของกองกำลังภาคพื้นทวีปอยู่มากมาย

หนึ่งในนั้นคือนายพลสูงสุดของกองกำลังภาคพื้นทวีป ดักลาส แมรี่แลนด์ ชายหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ข้างหน้าสุด ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด ผู้ที่นั่งที่อยู่ตรงข้ามสายตาของชายหนุ่มมีอยู่ด้วยกัน 4 คน โดยมีทหารที่ยศรองลงมายื่นอยู่รอบๆ

“ท่านดักลาส! นี้เป็นโอกาสที่เราจะได้เริ่มต้นขับไล่พวกลีโอให้วิ่งหนีลงทะเลไป!! เรารอนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว” ชายผิวสีร่างใหญ่ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 โฟลิโอ พลตรี อัมลัก นั่งอยู่หน้าสุดฝั่งขวากล่าวขึ้น หากเป็นปกติลาสก็คงบอกให้ใจเย็นๆเสียก่อน แต่ถ้าพูดคำเดิมซํ่าไปมาทุกวัน เขาเองก็หมดแรงที่จะตอบกลับชายผู้มีสมองเป็นกล้ามเนื้อ ขนาดที่ว่าที่ปรึกษาที่ยื่นอยู่ข้างหลังชายร่างใหญ่ยังมีใบหน้าเอือมระอา

“เราต้องการพันธมิตรมาช่วย เราก็ได้พันธมิตรมาช่วย แต่ถ้าหากเราไม่ไว้ใจพวกเขา พันธมิตรที่มาช่วยก็ไม่ต่างจากกระดาษที่ว่างเปล่า” ลาสชะงัก “เราต้องรออีกหน่อย…”

ดักลาสต้องกล่าวอธิบายให้กับผู้ใต้บัญชาการของเขาตลอดหลายวันที่ผ่านมาก เรียกได้ว่าพูดซํ่าหลายรอบจนจำคำพูดของตัวได้หมดเปลือก มันก็เหนื่อยน่ะที่ต้องพูดคำเดิมตลอด! ลาสอยากที่จะตะโกนออกมาให้เหล่าชายตรงหน้าได้ยินเต็มๆ ทั้งสองหู แต่หากเขาทำมีหวังได้เสียชื่อเสียงหมด

ดักลาสอยากจะถอนหายใจอีกครั้ง นี้เป็นรอบที่เท่าไรที่ต้องพูด เขาเองก็ไม่ทราบ ไม่อยากที่จะนับมันอีกแล้วด้วย

การที่กองกำลังภาคพื้นทวีปเตรียมตัวโจมตีกองทัพลีโอเนียในวัลเทอร์ หลายคนคงอยากจะดำเนินการโดยทันที แต่ดักลาสกลับเลือกที่จะนิ่งเฉยมาหลายสัปดาห์ ทำให้หลายคนไม่พอใจกับการกระทำของชายหนุ่ม พวกเขาไม่อยากให้เวลากับศัตรู หากปล่อยไว้นานพวกลีโอก็คงเริ่มสร้างแนวป้องกันที่แน่นหนามากกว่าเดิมเป็นแน่

“แต่ท่านนายพล…” ผู้บัญชาการกองพลที่ 2 เอคริสเปีย พลตรี มานเนส โอเวอร์ไดจ์ค

“ข้าไม่ได้มีเจตนามุ่งร้ายแก่ท่านแต่อย่างใด เพียงแต่ว่า ท่านแน่ใจรึว่าพวกคลั่งศาสนาพวกนั้น จะยอมมาอย่างที่กล่าว?” เขานั่งอยู่ข้างหลังอักลัก มานเนสยังคงไม่ไว้วางใจผู้มาจากอีกทวีป เขาเชื่อว่าอาริกาเซียผู้มีแรงใจในการต่อสู้เพียงคนเดียวก็สามารถโค่นลีโอเนียได้อย่างแน่นอน ไม่จำเป็นต้องมีคนจากทวีปอื่นมายุ่งเกี่ยวข้อง คำพูดของเขาเป็นให้อัมลักพยักหน้าขึ้นลงเห็นด้วยอย่างยิ่ง

‘ เรียกพวกคลั่งศาสนา หากเจ้าตัวมาได้ยินเขาก็คงจะเคืองเป็นแน่ ’ เพราะว่าคลั่งศาสนาที่มานเนสกล่าวมานั้น หมายถึงอาณาจักรแฟแลงซ์อันศักดิ์สิทธิ์ อดีตศัตรูของดักลาส ดักลาสไม่ได้กล่าวตอบอะไร เขาเพียงแค่คิดภายในใจเท่านั้น

มันคือความเสี่ยงที่ชายหนุ่มหน้าหนาวเป็นคนเลือก ลีโอเนียเป็นจักรวรรดิที่ขยายอำนาจอย่างก้าวร้าวและรวดเร็ว แน่นอนว่าการขยายที่รวดเร็วและไร้ซึ่งผู้ต่อต้านจะกลายมาเป็นจุดอ่อนของลีโอเนีย เหมือนเหตุการณ์ในโลกเดิมของเขา ที่ผู้รุกรานต้องสูญเสียความชอบธรรมทั้งหมด ไม่มีเพื่อนที่จะมายื่นข้างเคียง แน่นอนว่าลีโอเนียนั้นเองก็ไม่ได้มีเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรมากนัก

เพราะงั้นดักลาสจึงเลือกที่จะใช้การทูตในการหยิบยืม ‘มือที่สอง’ มาช่วยในสงครามยากจะเอาชนะ ไม่สิ ต้องบอกว่าอาริกาเซียไม่มีทางที่จะเอาชนะได้อยู่แล้ว ซึ่งมันก็คือความเป็นจริงที่ดักลาสคิดเอาไว้ แต่หากสามารถที่จะเอาชนะในเป้าหมายใดเป้าหมายได้ มันก็มากพอที่จะทำให้บ้างมหาอำนาจต้องหันมามอง

“หากพวกเจ้าที่ไร้อารยะพ่ายแพ้ตั้งแต่ 1 สัปดาห์แรกของสงคราม พวกข้าเองก็คงมิต้องมาเสียแรงเสียเวลามาช่วยเหลือผู้ที่ไร้ซึ่งศรัทธาในพระเจ้าที่แท้จริงเสียหรอก หึ!!” เสียงของผู้ชายจากทางเข้ากระโจม ทำให้หลายคนต้องหันหัวไปมองด้วยความรวดเร็ว

ชายวัยกลางคนในเครื่องนักบวชสีดำเดิน พร้อมกับหนังสือสีขาวบนมือของเขา เดินเข้ามาในกระโจมอย่างหยิ่งยโส  ใบหน้าที่มากอายุ ไม่หลงเหลือเส้นผมบนหัว มีเพียงแค่แว่นตากลมที่ทำให้เขาดูเหมือนนักบวชที่เคร่งครัด

สิ่งที่ชายนักบวชผู้เข้ามาใหม่ได้กล่าวออกมานั้น ก็อาจเป็นเพราะบางคนได้พูดล่วงเกินบ้านเกิด และศาสนาความเชื่อของเขา นั้นจึงทำให้นักบวชผู้นี้ต้องกล่าวด้วยนํ้าเสียงที่ดูถูกดูแคลน

มานเนสที่จะตอบกลับนักบวชผู้มาส่าย แต่ก็ต้องถูกลาสดักเอาไว้ เพราะนักบวชผู้นี้ก็ไม่ได้มาเพียงแค่คนเดียว…

ปีกสีขาวที่เป็นเอกลักษณ์เหมือนกับเทวทูตที่ในตำนาน สายตาของลาสยังคงไม่ชินกับการที่เห็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีอยู่จริงแต่กลับปรากฏกายอยู่ตรงหน้าเขา หญิงสาวเผ่าซองทูอาเดินเข้ามาพร้อมไม้เท้าเวทมนตร์อันเป็นอาวุธประจำกาย

“ผู้ไต่สวน…. พวกเราไม่ได้มาเพื่อสร้างศัตรูเพิ่มเสียกะหน่อย” เธอกล่าวอย่างเหนื่อยใจ

“ชายผู้นี้มาจากจักรวรรดิอาเรน่า เขาค่อนข้างเครียดกับภาวะสงครามในตอนนี้ ต้องขออภัยให้ผู้ไต่สวนผู้นี้ด้วย” เธอเผยมือไปทางนักบวชคนแรก ก่อนจะมองมายังผู้บัญชาการสูงสุดของกองกำลังอาริกาเซีย ดักลาส แมรี่แลนร์ ก่อนที่จะเริ่มแนะนำตัว

“เราคือ ซิสเตอร์ ซิลเวียน มาในฐานะผู้เจริญสัมพันธไมตรีของชาวแฟแลงซ์ ขอพระองค์คุ้มครอง การมาถึงของพวกเรานั้นช่างยากเย็นอย่างยิ่ง จึงเป็นเหตุที่ทำให้การเดินข้ามอาจิเต้ล่าช้า” นํ้าเสียงอ่อนน้อมฟังเลื่อนหู หากไม่ติดว่าสายตาของหญิงสาวนั้นดูน่ากลัว ลาสเองก็คงอยากจะได้ยินเธอพูดอีกครั้ง

“ผมเองก็หวังว่าใต้ท้องเรือของสมาพันธ์การค้าจะสามารถหลบซ่อนจากโจรสลัดใบเรือดำได้นะครับ” ลาสลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็น

โจรสลัดใบเรือดำ และ กองเรือลีโอเนีย เป็นสิ่งเดียวที่สามารถต่อต้านการข้ามมหาสมุทรอาจิเต้ แน่นอนว่าเป็นไปได้ยากที่จะมีศัตรูผ่านนํ้าผ่านทะเลมาได้โดยไม่ถูกจมลงใต้นํ้า เว้นเสียว่าพวกเขาจะโดยสารมาโดยเรือพ่อค้าสมาพันธ์ที่เป็นกลาง(?)

“ฮึม… นั้นก็เป็นเรื่องจริง เจ้าพวกโจรสลัดปีศาจเหล่านั้นมีอายุมากพอๆกับยุคทองของจักรวรรดิที่พวกเรา” นักบวชเอเรน่ากล่าวอย่างหัวเสี

แน่นอนว่าคำกล่าวของนักบวชทำให้ลาสรู้สึกสงสัยมากกว่าเดิม เท่าที่เขาจำได้ โจรสลัดใบเรือดำมีอายุประมาณกำเนิดเลโอเนียไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมอาเรน่าถึงได้บอกกันมาพวกโจรสลัดถึงได้มีอายุเท่ากับยุคเดินเรือของอาเรน่ากัน…

ลาสสะบัดความคิดที่ไม่มีประโยชน์ออก แล้วเอ่ยกับชาวโลกเก่าทั้งสอง

“พวกเรากำลังจะเข้าปลดปล่อยมลรัฐวัลเทอร์ การที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์เป็นสิ่งที่พวกเรายินดีอย่างยิ่ง”

“เช่นนั้น…. เรื่องข้อตกลงเราจะขอเอาไว้หลังสิ้นสุดศึกในคราวนี้” ซองทูอาสาวชะงัก “ทางเราเองมีความต้องการที่จะดูฝีมือความกล้าของพวกท่านที่สามารถสู้กับพวกลีโอเนียได้อย่างสูสี ทว่าเราขอยอมรับในเรื่องที่ท่านอดทนได้นาน 2 ปี โดยไม่ถูกปราบปราม หากเราสู้กับพวกลีโอ พวกเราคงจะสูญเสียเป็นหลายแสนคนไปแล้ว”

นั้นคิือสิ่งที่แฟงแลงซ์มองเห็น หากเป็นการกบฏปกติก็คงไม่สามารถที่จะเข้าชนะสหจักรวรรดิลีโอเนียที่เป็นมหาอำนาจอองโทราลได้อย่างแน่นอน แต่ชาวอาริกาเซีย ชาวอาณานิคมที่มีจำนวนน้อยและไร้ซึ่งการพัฒนา กลับได้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

พวกเขาสามารถปกป้องตัวเองได้ยาวนานถึง 2 ปี นอกจากจะป้องกันได้ พวกเขายังรบชนะในศึกเล็กบางศึก นั้นอาจจะเป็นเหตุผลที่อัครมุขนายกได้จัดประชุมระหว่างองค์ราชาและขุนนาง และเริ่มทำการเข้าแทรกแซงสงครามระหว่างสองทวีป

การแทรกแซงในครั้งจะมีผลประโยชน์อะไรกันแน่ หยุดการเติบโตของลีโอเนีย ทำให้เกียรติของราชสีห์แดนเหนือต้องตกตํ่า จะอย่างไรก็ตาม เอกอัครราชทูตซองทูอาสาวผู้นี้เองก็มีใจและคิดว่าสงครามที่ห่างไกลเช่นนี้ จะทำให้แฟแลงซ์เปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงมากกว่าเดิม

เหล่านายกองและผู้บัญชาการต่างแยกย้ายกันไปตามกองพลของตัวเอง กองกำลังภาคพื้นทวีปเก็บข้าวของ ขนอาวุธปืนใหญ่เข้าสู่แนวป้องกันลีโอเนีย การตอบโต้ได้มาถึงแล้ว และมันจะเป็น

การต่อสู้ที่นองเลือดที่สุดบนประวัติศาสตร์ทวีปอาริกาเซีย

ศัตรูของอาริกาเซียเป็นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ แต่พวกเขาไม่ได้สู้ตัวคนเดียว ดักลาสหันไปมองกลุ่มนักบวชและกลุ่มขุนนางจากสองมหาอำนาจบนอัลชลาฟไวส์ แฟแลงซ์ อาเรน่า เป้าหมายของลาสไม่ใช่การเอาชนะศึกสงครามด้วยตัวคนเดียว แต่เป็นการเจรจาทางการทูตแบบลับๆ เพราะชาวอัลชลาฟไวส์นั้นรู้ตัวกันดี มหาอำนาจที่แท้จริงก็ควรเป็นของชนชาติตัวเอง

การชิงดีชิงเด่นจึงกลายเป็นตัวช่วยให้กับดักลาส

ชายหนุ่มมองการเคลื่อนกองกำลังผ่านแม่นํ้าที่ตัดผ่านมลรัฐวัลเทอร์ ไม่มีทหารลีโอในตอนนี้ แต่ไม่ช้าพวกเขาก็จะเจอแนวป้องกันถัดไปอีก ระหว่างที่จ้องมองหนุ่มสาวที่กำลังจะไปตายเพื่อบางอย่างที่พวกเขาโหยหามาตลอดการอยู่ใต้การปกครองของสหจักรวรรดิ เขาเริ่มที่จะเห็นภาพอดีตโลกเดิมของเขาอีกครั้ง

“หากไม่มีสงคราม ความสูญเสียก็คงน้อยกว่านี้ ผมคิดแบบนั้นมาตลอด” ลาสชะงักและหันไปหาซองทูอาที่อยู่ข้างๆ ตัวเขา “แต่เมื่อสงครามมาถึง หากไม่ลุกขึ้นสู้ก็คงสูญสิ้นทุกอย่าง เคยมีชายผู้รักสันติคนหนึ่งกล่าวเอาไว้ หลังจากที่บ้านเกิดของเขาถูกรุกรานโดยไม่ชอบธรรม…”


โปรเจกต์หมดแล้ว งานเองก็หมดแล้ว สวัสดีค่ะท่านนักอ่านที่ยังติดตามอยู่ ตอนนี้กลับมาคลีนเนื้อเรื่องให้จบแล้วเจ้าค่ะ! ไม่ได้อัปเดตมาเป็นเดือน ในที่สุดก็ได้มีเวลากับวันหยุดพักแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาเรื่องเงินกับหาที่ทำงานใหม่- แฮ่ก เอาเป็นว่า กลับมาแล้วเจ้าค่ะ!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด