ตอนที่แล้วบทที่ 3 ตาทิพย์ซุนม่อต้องการแช่งชักหักกระดูก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 5 ฝึกแบบนั้นไม่ถูกต้อง

บทที่ 4 รัศมีมหาคุรุ


บุรุษหนุ่มอายุ 20 ปีเข้ามาในโซนอ่านหนังสือ มีนักเรียนจำนวนมากที่อยู่รอบๆลุกขึ้นยืนทันทีและโค้งคำนับเขา

“ครูผู้ช่วยฯฉิน”

ในแผ่นดินใหญ่บรรยากาศการเรียนการสอนเฟื่องฟู นักเรียนได้รับการสั่งสอนให้มีสัมมาคารวะครูจนติดเป็นนิสัยกันทุกคน   นอกจากนี้ครูผู้ช่วยฯ ฉินยังมีรัศมี ‘ผู้เรียนรู้กว้างขวาง’ทำให้ประสิทธิภาพการเรียนรู้ของทุกคนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าด้วยเหตุนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่นักเรียนทุกคนจะทักทายเขา

ฉินเฟิ่นแต่งตัวด้วยชุดยาวสีน้ำเงินซึ่งแสดงถึงสถานะครูผู้ช่วยสอนเขามีใบหน้าประดับรอยยิ้มขณะกดมือลงเพื่อให้นักเรียนสงบอารมณ์พร้อมที่จะเรียนรู้ต่อไป

รัศมีมหาคุรุของครูผู้ช่วยฉินนั้นใหญ่มากดูเหมือนว่าเขาเตรียมจะเปลี่ยนไปเป็นครูโดยตรงเสียแล้ว!”

“คำพูดของเจ้าไม่เกินเลยไปหน่อยเหรอ? เขาจบจากสถาบันจี้เซี่ยแห่งเมืองเซี่ยโจว หนึ่งในเก้าสถาบันลือชื่อเชียวนะ”

“เฮ่ย,ข้าได้ยินมาว่าสถาบันของเราคัดเอาผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันที่มีชื่อเสียงเพียง 3 คนเท่านั้น นั่นมันยากเย็นขนาดไหน”เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้นจากบริเวณโดยรอบ สถานภาพของผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันที่มีชื่อเสียงมักจะได้รับการพิจารณาทุกคน เหตุผลที่หัวใจนักเรียนเต็มเปี่ยมไปด้วยความเคารพก็เนื่องมาจากคำว่า“สถาบันจี้เซี่ย”

ซุนม่อกระตุกมุมปาก

ในแผ่นดินใหญ่ถ้ามีคนต้องการเป็นครู นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย อันดับแรกพวกเขาต้องรู้แจ้งและเข้าถึงรัศมีมหาคุรุ   นี่ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์และครูของแต่ละคนนั่นจะช่วยให้นักเรียนสร้างผลการเรียนที่ดีเป็นสองเท่าโดยใช้ความพยายามในการเรียนรู้เพียงครึ่งเดียว

ตัวอย่างเช่นหลังจากใช้รัศมี ‘เรียนรู้กว้างขวาง ความทรงจำกว้างไกล’ นักเรียนจะอยู่ในสภาวะการเรียนรู้ที่กว้างไกลและความทรงจำของพวกเขาในช่วงนี้จะแข็งแกร่งขึ้นความสามารถในการทำความเข้าใจของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นทำให้ประสิทธิภาพในการเรียนรู้เพิ่มขึ้นหลายเท่า

ไม่มีใครได้รับรัศมีมหาคุรุจากจากการใช้ความพยายามเรียนรู้  พวกเขาได้แต่พึ่งพาการรู้แจ้งก่อนจะได้รับรัศมีมหาคุรุ  ดังนั้นจำนวนมหาคุรุในแผ่นดินใหญ่จึงมีไม่มากนัก

ถ้ามีผู้ปรารถนาจะเป็นครูอุปสรรคประการแรกก็คือการรู้แจ้งด้วยตัวเองก่อนจะได้รับรัศมีมหาคุรุก่อนมีอายุ 18 ปี

ควรรู้ไว้ว่าการรู้แจ้งเป็นสภาวะที่อัศจรรย์ซึ่งลึกซึ้งและหาได้ยากอย่างยิ่ง  ความน่าจะเป็นที่คนผู้หนึ่งจะได้รับไม่ต่างกับหาคนผู้หนึ่งในท่ามกลางคนนับล้าน

การรู้แจ้งได้รับรัศมีแบบปัจเจกพุทธิแสดงว่าไม่มีปัญหาอะไรกับสติปัญญาของท่านท่านสามารถฝึกปรือและเข้าถึงสัจจะที่แท้จริงได้โดยมิต้องมีครูแนะนำ

ในขณะเดียวกันด้วยรัศมีปัจเจกพุทธิได้โอกาสที่ท่านจะได้รับการรู้แจ้งจะมีเพิ่มมากขึ้น  แม้ในตลอดอาชีพการสอน ท่านอาจได้รับรัศมีมหาคุรุใหม่เพิ่มก็ได้

ถ้าท่านต้องการวัดความโดดเด่นของผู้เป็นครู ท่านก็แค่ดูจำนวนรัศมีมหาคุรุของพวกเขา

ระดับของมหาคุรุวัดกันที่จำนวนดาว นอกจากรัศมีปัจเจกพุทธิ (รู้แจ้งด้วยตัวเอง) ถ้าผู้สอนได้รับรัศมีมหาคุรุและยังมีความเชี่ยวชาญในอาชีพรองลงมาด้วย  ผู้นั้นเป็นมหาคุรุระดับ 1 ดาว

ดาวของมหาคุรุคือจุดสูงสุด  เป็นที่รู้จักกันในฐานะรองจากระดับเซียน

“ข้าไม่ใช้ครูผู้ช่วยด้วยซ้ำ”

ซุนม่อเย้ยหยันตัวเองสถานะและความเคารพของมหาคุรุที่ได้รับจากสังคมไม่ใช่สิ่งที่ครูธรรมดาจะเปรียบเทียบกันได้หลังจากได้รับรัศมีปัจเจกพุทธิเมื่อตอนอายุ 16 ซุนม่อจากในอดีตก็ไม่เคยได้รับรัศมีใหม่อีกเลยจนกระทั่งเมื่อวานนี้ตอนที่เขาจมน้ำ  จากตรงนี้ก็ควรรู้ว่าเป็นเรื่องยากแค่ไหน

พูดถึงเรื่องนั้นซุนม่อแห่งโลกนี้ได้ไปพักผ่อนที่ชานเมือง เขาอยากว่ายน้ำเล่นสักครู่เพราะความเบื่อ ในที่สุดก็เป็นเหตุให้หลี่จื่อชีเข้าใจผิดว่าเขากำลังฆ่าตัวตาย  หลี่จื่อชีกระโดดน้ำลงไปช่วยเขา สุดท้ายเป็นซุนม่อแห่งโลกนี้จมน้ำตายเพื่อช่วยหลี่จื่อชี  นี่เองเป็นเหตุให้ซุนม่อในอีกโลกหนึ่งได้โอกาสผ่านเข้ามายังโลกนี้

“เฮ้อ,เจ้าเป็นคนดีจริงๆ!”

ซุนม่อถอนหายใจ รัศมีแห่งคำแนะนำอันล้ำค่าเป็นสิ่งที่ซุนม่อคนเดิมแห่งโลกนี้ได้รู้แจ้งก่อนตายเขาไม่ได้ใช้มันแม้แต่ครั้งเดียว แต่กลับเป็นประโยชน์กับซุนม่อที่ข้ามมาจากอีกโลก

บรรยากาศการเรียนในสถาบันจงโจวนั้นอุดมสมบูรณ์มาก ห้องสมุดเปิดตลอดทั้งปียกเว้นการปิดห้องสมุดชั่วคราวทุกเช้าครึ่งชั่วโมงเพื่อทำความสะอาด

“ติง!ผ่านเที่ยงคืนไปแล้ว หีบสมบัตินำโชคใช้งานได้อีกครั้ง”

เมื่อเสียงเตือนของระบบดังขึ้นหีบสีแดงและตัวอักษรขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ข้างหน้าซุนม่อ

“อะไรอีกวะนี่?”

ซุนม่อชำเลืองมองดู  แม้ว่าจะเป็นเวลาดึกแล้วแต่ก็ยังมีนักเรียนอีกมากที่กำลังคร่ำเคร่งเรียนรู้

“ทุกวันหลังเที่ยงคืนร่างหลักจะได้รับโอกาสจับรางวัล”

ระบบกล่าวต่อ“ถ้าท่านพบความยุ่งยากนี้ท่านสามารถเก็บหีบสมบัติไว้ก่อนแล้วค่อยเลือกเปิดเมื่อถึงเวลาที่ดีก็ได้”

“โอกาสได้รับรางวัลจะสูงขึ้นไหมถ้าข้าเผาเครื่องหอม อาบน้ำ คุกเข่าแล้วทำพิธีบูชาฟ้า?”

สำหรับคนโชคร้ายอย่างเขาเขาคงได้แต่ใช้วิธีการเลื่อนลอยบางอย่างเพื่อเพิ่มโอกาสได้รับรางวัลดีๆตัวอย่างเช่นจับสลากรวดเดียวสิบครั้ง

ระบบไม่ตอบกลับเห็นได้ชัดว่ามันไม่ต้องการตอบคำถามปัญญาอ่อนแบบนั้น

“เจ้ายังจะรออะไร?  เปิดเซ่”

มีหีบสมบัติอยู่ต่อหน้าต่อตาของเขาใครเล่าจะอดใจไหว?

ไม่มีเอ็ฟเฟ็คพิเศษหีบสมบัติเปิดออก มีก้อนดินเล็กๆ ปรากฏอยู่ต่อหน้าของเขา

“นี่มันอะไร?”

ซุนม่อมีความสุขเป็นไปได้ไหมว่าเขากำลังจะโชคดีอย่างที่สุด?

“ก็แค่ก้อนดินถือเป็นรางวัลปลอบใจให้ท่านพยายามใหม่ในครั้งต่อไป”

“นี่มันของมีค่าแบบไหนกันวะนี่?

“เจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไรกับเศษดินที่เป็นรางวัลนี้จะให้ทำเหมือนกับคูปองแลกอาหารหรือยังไง?”

ในใจของซุนม่อเขาอยากสาปแช่งแม่ของระบบฯ ยิ่งนัก ถ้าคูปองแลกอาหารได้จริงๆ แม้ว่าจะได้เพียงส่วนลด 20% ก็ตามที มันก็ยังช่วยให้เขามีไข่กินในอาหารมื้อเช้า และเขาก็คงพอใจกับมัน

ระบบยังคงเงียบนอกจากให้คำอธิบายที่จำเป็นแล้ว มันคงไม่ติดต่อกับร่างหลักด้วยเรื่องที่ไร้สาระ

เมื่อคิดถึงอาหารซุนม่อรู้สึกหิวขึ้นมาบ้าง ดังนั้นเขาจึงกลับไปที่หอพักของตนเอง

ทางโรงเรียนจัดที่พักของครูฝึกสอนไว้ในที่ไม่ไกลจากเขตนักเรียน  พวกเขาสามารถอยู่ได้สามเดือนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย  ก่อนหน้านี้ครูฝึกสอนเคยอยู่ได้หนึ่งปี  และถ้าพวกเขากินอาหารสามมื้อในโรงอาหารก็สามารถกินได้ไม่เสียค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม สถานะการเงินของสถาบันจงโจวย่ำแย่ตกต่ำ ดังนั้นสิทธิพิเศษเหล่านี้จึงถูกลดและตัดทอนออกไป

กล่าวกันว่าประโยชน์พิเศษบางอย่างตอนปีใหม่ยังมีเงื่อนไขที่ด้อยกว่านี้มาก  ด้วยเหตุนี้จึงมีครูแอบบ่นอยู่เสมอ

อาคารหอพักสร้างขึ้นใกล้ทะเลสาบเป็นอาคารห้าชั้นขนาดย่อม ซุนม่อพักอยู่บนชั้นสามฟากตะวันออก เมื่อเขากลับมา สหายร่วมห้องทั้งสามของเขายังไม่หลับ

จางเซิงกำลังนั่งสมาธิอยู่บนเตียงเขาลืมตามองดูซุนม่อที่กำลังเปิดประตูเขาหลับตาอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มดูถูกเหยียดหยาม

“เฮ้? กลับมาแล้วเหรอ?”

หลู่ตี๋บุรุษหนุ่มร่างกำยำมองดูเหมือนเป็นช่างตีเหล็กมากกว่าเป็นอาจารย์ยิ้มให้ขณะเดินผ่านไป เขายกกาน้ำชาที่อยู่ข้างๆ ส่งให้ “เจ้าอยากดื่มอะไรบ้างไหม?”

“ไม่จำเป็น, ขอบคุณ!”

เมื่อซุนม่อนั่งลงบนเตียงความทรงจำของสหายร่วมห้องทั้งสามคนก็หวนกลับมาเช่นกัน

ทุกคนจบการศึกษามาจากสถาบันซงหยาง  จางเซิงมีบุคลิกเย่อหยิ่งแต่พลังของเขาไม่อ่อนแอ เขาเป็นคนมีความมั่นใจที่สุดกว่าใครทั้งหมด สำหรับหลู่ตี๋มักจะยิ้มให้เสมอไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม เขามีความถ่อมตัวเสมอและสุดท้ายบุรุษหนุ่มผู้มีนัยน์ตาเหมือนกบ ชื่อของเขาคือหยวนฟง

“คู่หมั้นของเจ้าเคยนินทาเจ้าบ้างหรือเปล่า เล่าให้ฟังหน่อยสิ!”

หยวนฟงพอเอ่ยปากเสียงของเขาแหลมและฟังระคายหู

ซุนม่อขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อพวกเขามาถึงสถาบันจงโจวตอนแรกหลังจากที่รู้ว่าครูใหญ่อันซินฮุ่ยเป็นคู่หมั้นของเขาหยวนฟงกระตือรือร้นและเอาใจเขา ทั้งยังเคยเลี้ยงข้าวเขามาก่อนด้วยซ้ำ  อย่างไรก็ตาม ในขณะที่คนอื่นได้เป็นครูผู้ช่วยซุนม่อกลับถูกยัดเข้าแผนกรับส่งพัสดุ ทัศนคติของหยวนฟงก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

คำพูดนี้เต็มไปด้วยเจตนาเยาะเย้ยและสอบถามข้อมูลที่มิอาจเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างคร่าวๆ

“โอว ใช่แล้วเจ้ายังไม่ได้คืนเงินหลังจากอาหารมือล่าสุดของเรา เมื่อไหร่เจ้าจะใช้คืน?”

หยวนฟงไม่มีเจตนาจะละเว้นซุนม่อ“เมืองจินหลิงกำลังคึกคักรุ่งเรืองไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะอยู่ที่นี่ได้ยาวนาน ถ้าโรงเรียนจ้างข้า ข้ายังต้องเช่าบ้าน แล้วยังต้องมีค่าใช้จ่ายอื่นอีกมาก”

แปะ!

เงินจำนวนหนึ่งถูกโยนลงบนเตียงของหยวนฟง

ดวงตาของหยวนฟงเป็นประกายเขารีบตะครุบทันทีและกัดทดสอบให้แน่ใจว่าเป็นของแท้

ซุนม่อตรวจสอบทรัพย์สินของเขานอกจากเสื้อผ้าสามชุด รองเท้าผ้าสองคู่ นิยายสองสามเล่มและกระเป๋าเงินที่มีแต่เศษเงินแล้ว เขาไม่มีอะไรอย่างอื่น

รองเท้าผ้าเป็นของที่แม่ของเขาเย็บให้รอยตะเข็บชิดติดกันมาก

“ดาบไม้ของเจ้าไม่เลว  เจ้าซื้อมาจากไหน?”

หลู่ตี๋สูดกลิ่นและเบนสายตามาที่ดาบไม้มะเกลือสีดำไม่รู้ว่าเขาเห็นภาพลวงตาหรือไม่ แต่เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมจางที่กระทบจมูกของเขา

“ข้าเก็บได้”

คำพูดของซุนม่อเรียบง่ายและกระชับ

ตัวดาบสร้างโดยช่างตีเหล็กจากแคว้นเหลียงเขาใช้เวลาสร้างถึงสามปี  แม้จะถูกทิ้งร้างในโกดังปล่อยให้ฝุ่นเกาะมากว่าสิบปีแต่กลิ่นหอมยังคงมีอยู่บ้าง

“ข้าจะให้เงินเจ้า 100 ตำลึง ขายให้ข้า”  จางเซิงกล่าว

บิดาของจางเซิงเป็นเจ้าของที่ดินและตระกูลของเขาครอบครองที่ดินการเกษตรชั้นดีมากมาย เขาไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง

“ต่อให้เป็นล้านตำลึงทองข้าก็ไม่ขาย”

ซุนม่อไม่ค่อยพอใจนักน้ำเสียงจางเซิงค่อนข้างแข็งกระด้าง

“ฮึ! เจ้าโง่เจ้าสูญเสียโอกาสทำเงินไปแล้ว”

จางเซิงหลับตาต่อเขาแค่อยากรู้อยากเห็นเพียงชั่วครู่ เขารู้สึกว่าดาบไม้นั้นไม่เลว แต่แม้ว่าซุนม่อจะเปลี่ยนใจยอมขายแลกเงิน 100 ตำลึงในตอนนี้ เขาก็คงไม่ตกลงด้วย

“หึหึ!”

ซุนม่อกระตุกมุมปาก (ถ้าข้าบอกเจ้าว่าวิชาเซียนมหาจักรวาลไร้ลักษณ์ถูกสลักไว้บนดาบไม้นี้ ต่อให้เจ้าขายทั้งตัวเจ้าก็ไม่มีทางหาซื้อได้)

การฝึกปรือวิชาระดับเซียนที่ไม่มีใดเทียบได้อย่าว่าแต่ทองล้านตำลึงทองเลย ต่อให้เป็นหินวิญญาณล้านก้อน ซุนม่อก็ไม่ขาย

“งานในแผนกขนส่งพัสดุเป็นยังไงบ้าง?เหนื่อยไหม? อย่างไรก็ตาม งานครูผู้ช่วยนั้นเหนื่อยมากมันทำให้ข้าอยากนอนทันทีที่กลับมา”

คำพูดของหยวนฟงเต็มไปด้วยการเยาะเย้ยและดูถูก

“ครั้งล่าสุดที่เรากินอาหารเย็นด้วยกันเราใช้เงินไปมากกว่า 30 เหรียญ  เจ้าทำราวกับว่าข้าเชื้อเชิญเจ้า  เจ้าต้องคืนเงินส่วนเกินมาให้ข้าด้วย”  ซุนม่อกล่าวกับหยวนฟง

ซุนม่อไม่ยอมเสียเปรียบหนึ่งตำลึงเงิน เท่ากับ 100 เหรียญ

“ตอนนี้ข้าไม่มีเงินสำรองแล้วข้าจะคืนเงินเจ้าอีก 2-3 วันข้างหน้า

หยวนฟงหาข้ออ้างขณะเยาะเย้ยซุนม่อในใจอย่างเยือกเย็นเนื่องจากซุนม่อเป็นคู่หมั้นของอันซินฮุ่ย หลายคนจึงไม่พอใจเขา รู้สึกว่าเขาเป็นคางคกที่อยากกินเนื้อหงส์ดังนั้นพวกเขาจึงมองหาโอกาสที่จะกลั่นแกล้ง  เขาคงทนทำงานในแผนกส่งพัสดุได้ไม่นานยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเป็นครูผู้ช่วย

ถ้าเขาทอดเวลาออกไปอีก 2-3 วันรอให้ซุนม่อถูกไล่ออก เขาก็ไม่ต้องชดใช้เงิน 70 เหรียญ

ปึ้ก

ซุนม่อย่างเท้าเข้าหาสองก้าวก็ถึงหน้าเตียงของหยวนฟงเขาคว้าชุดของหยวนฟงแล้วดึงขึ้น

“จ่ายข้ามาเดี๋ยวนี้!”

ซุนม่อจ้องหยวนฟงน้ำเสียงของเขาเย็นชา

“เอ๋!”

ไม่เพียงแต่หยวนฟงและหลู่ตี๋ที่ตกตะลึงแต่แม้แต่จางเซิงที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าประหลาดใจทำไมซุนม่อผู้มีบุคลิกอ่อนโยนจึงเปลี่ยนไปแบบกลับตาลปัตรแบบนี้?

“ปล่อยข้านะ!”

หยวนฟงฟื้นคืนจากอาการตกใจและรู้สึกโมโห  เขาเคยถามเรื่องนี้ไปแล้ว เนื่องจากซุนม่อเพิ่งย่างเข้าสู่ขอบเขตเผาผลาญโลหิตเมื่อไม่นานนี้ซุนม่อมีระดับที่ต่ำกว่าเขาหนึ่งระดับ  ย่อมไม่ใช่คู่มือของเขาแน่นอน

“อย่าทะเลาะกัน!”

หลู่ตี๋ตกใจเขารีบเข้ามาแยกทั้งสองคนและยืนคั่นอยู่ตรงกลาง

“หลีกไปให้พ้น!”

หยวนฟงไม่ยอมรับเรื่องนี้

“ตอนนี้ยังเป็นช่วงฝึกงานอยู่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเจ้าถูกไล่ออกทั้งคู่เพราะต่อสู้กัน?”

ถ้าหลู่ตี๋ไม่กลัวว่าจะถูกพัวพันเข้าไปด้วยเขาจะสนับสนุนให้พวกเขาสู้กัน ถ้าสองคนถูกไล่ออก เขาจะมีคู่แข่งลดน้อยลงไปสองคน

ไม่แค่น้อยกว่าหนึ่งรายเท่านั้น ซุนม่อก็แค่สวะโดยพื้นฐานได้รับการยืนยันแล้วว่าเขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป”

“ถ้าพวกเจ้าต้องการสู้กันก็ออกไปสู้ข้างนอก!”

สีหน้าของจางเซิงเปลี่ยนไปเขากังวลถึงผลที่จะตามมา

แปะ

ซุนม่อยื่นมือไปคว้าเงินในมือของหยวนฟงกลับคืน  “โอว ค่อยกลับมาตามหาข้าเมื่อเจ้ามีเงินสำรองแล้ว”

“เจ้านึกจริงๆหรือว่าจะได้แต่งงานกับครูใหญ่อันซินฮุ่ย?”

หยวนฟงเย้ยหยัน“ขอบอกเรื่องนี้กับเจ้า, เจ้าไม่มีทางได้กิน ‘ข้าวนุ่ม’ อย่างที่เจ้าตั้งใจไว้ได้แน่”

“โอว,อย่างนั้นเหรอ? ถึงยังไงก็ยังดีกว่าคนอย่างเจ้าที่ไม่มีคุณสมบัติจะได้กิน ‘ข้าวนุ่ม’ด้วยซ้ำ”

ซุนม่อกระตุกยิ้มราวกับว่าแสงแดดแห่งฤดูใบไม้ผลิฉายลงมาที่เขา ฟันขาวของเขาเป็นประกายชวนให้ผู้คนเวียนหัว

“เจ้าผู้นี้ปากร้ายนัก”

หลู่ตี๋รำพึงเงียบๆ(คำพูดนี้มันน่าโมโห สร้างความประทับใจได้เพียงเพราะเจ้าหล่อเหรอ)

“เจ้า...เจ้า...”

หยวนฟงโกรธหัวใจเต้นแรง หน้าของเขาซีดเผือดยิ่งดูเหมือนกบมากขึ้นขณะที่กำหมัดแน่นจ้องมองซุนม่อ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด