ตอนที่แล้วEp.415 - ก่อนสงครามใหญ่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปEp.417 418 - โจมตีเมือง

Ep.416 - กองทัพเข้าใกล้เมือง


3/3

Ep.416 - กองทัพเข้าใกล้เมือง

สงครามสามารถสร้างความร่ำรวย

แต่ขณะเดียวกันก็สามารถนำไปสู่ความยากจนเช่นกัน

ฮังอวี่ใช้หินคริสตัลสำรองของทั้งมังกรครามและกลุ่มมังกรฟ้าจนว่างเปล่า อีกทั้งยังหยิบยืมหินคริสตัลจำนวนมากจากสกายเน็ตและสมาคมโลกวิญญาณ เพื่อใช้ซื้ออุปกรณ์เหนี่ยวนำมนตราและอัพเกรดพวกมันในเวลาเดียวกันเขาซื้อโพชั่นมนตรา โพชั่นฟื้นฟูขั้นสูง คัมภีร์สกิลขั้นสูง ฯลฯ อีกเป็นจำนวนมาก

ลงทุนไปมหาศาล

ลงทุนด้วยเม็ดเงินที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา

เรียกได้เลยว่าสร้างภาระอันใหญ่หลวงต่อกลุ่มและองค์กรของเขาเป็นประวัติการณ์!

ประชาชนกว่า 5,000 คน ในแคว้นเดียวดายก็เริ่มรวมตัวกันเพื่อเตรียมการ อุปกรณ์ที่ควรอัพเกรดก็อัพ เลเวลสกิลที่ควรอัพก็อัพ

สงครามใหญ่เป็นสิ่งที่ต้องใช้แรงงานและเม็ดเงินจำนวนมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่ด้วยการลงทุนจำนวนมหาศาล ทำให้ทุกคนแก่กล้าขึ้น นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไม ทั้งหมดจึงคุ้มค่าต่อเงินที่เสียไป

...

การประชุมเชิงกลยุทธ์ขนาดเล็กจัดขึ้นในเมืองหุบเขาเดียวดาย

จ้าวหมิงกางแผนที่ภูมิประเทศของทั้งสี่เมือง “ถ้าพวกเราต้องปกป้องทั้งสี่เมืองพร้อมกัน ยังไงเราก็เสียเปรียบ แถมนี่ยังเป็นการกระจายขุมกำลังออกไป”

ฉูเทียนหัวยังกล่าวอีกว่า “ถูกต้อง สมุนทหารของพวกเราเมื่อรวมกัน มีจำนวนไม่เกินหมื่น ต่อให้เพิ่มประชากรมนุษย์อีก 5,000 คน ก็ยังไม่มากพอที่จะปกป้องทั้งสี่เมืองพร้อมกัน ฉันแนะนำให้ทิ้งการป้องกันของสามเมือง แล้วยกพลทั้งหมดมาที่เมืองหุบเขาเดียวดาย”

“ทิ้งการป้องกัน?” ลุคจากสำนักกระบี่วิญญาณไม่พอใจขึ้นมาทันที “พวกเราใช้ทรัพยากรและต้นทุนจำนวนมากในการดำเนินการและสร้างเมืองทรายดำ แค่บอกให้ทิ้งพวกเราจะทิ้งได้ยังไง?”

คริสเองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน “ถ้าเมืองทรายดำถูกทำลาย ทุกอย่างที่พยายามสร้าง การลงทุนที่ผ่านมาก็จะสูญเปล่า เรื่องนี้พวกเรารับไม่ไหว”

“ทั้งสี่เมืองตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบ ถ้าพวกเราไม่รวมตัวกันยังไงก็สู้ไม่ได้ สุดท้ายก็ถูกทำลายโดยคาลิมัวทีละเมืองอยู่ดี” ฮังอวี่ปลอบ “ผมเข้าใจความรู้สึกของพวกคุณ แต่หวังว่าพวกคุณจะใส่ใจภาพรวมก่อน”

ฮังอวี่กล่าวต่อว่า “และผมสัญญา ถ้าเมืองทรายดำประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ในศึกนี้ พวกเราทุกคนจะรับประกันความสูญเสียนั้นเอง จะไม่ปล่อยให้ฝ่ายคุณต้องทุกข์ทรมาน”

จ้าวหมิงก็เอ่ยขึ้นว่า

“พวกคุณคงเข้าใจถึงความสำคัญของการต่อสู้ครั้งนี้”

“ฉันจะไม่ปิดบังพวกคุณ ทางเราได้ติดต่อกับขุนนางเล็กหลายตนก่อนบุกทลายเมืองรังอินทรีย์ และเหตุผลที่พวกเขาไม่กล้ายืดหยัดสนับสนุนเผ่าพันธุ์มนุษย์ สาเหตุหลักๆไม่มีอะไรมากไปกว่าการขาดความมั่นใจในพลังรบของเผ่าพันธุ์มนุษย์”

เขาหยุดแล้วพูดต่อว่า “เพราะอย่างนี้ เราจึงต้องสู้เพื่อพิสูจน์ตัวเอง ผลลัพธ์จากการจู่โจมเมืองรังอินทรีย์ยังไม่มากพอ ตราบใดที่เราสามารถเอาชนะเมืองธารทะเลทรายได้ ขอแค่ครั้งเดียว ฉันมั่นใจว่าสามารถข่มพวกขุนนางเล็กกว่าครึ่งให้เลิกต่อต้านพวกเรา”

ทุกคนพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของจ้าวหมิง

ขุนนางเล็กครึ่งหนึ่งเลิกต่อต้านหมายความว่าอย่างไร?

หมายความว่าแทนที่พวกเขาจะร่วมมือกับเมืองธารทะเลทรายเพื่อต่อต้านเผ่าพันธุ์มนุษย์ ก็มีแนวโน้มว่าจะแปรพักตร์ กลับมาเป็นพันธมตรกับมนุษย์แทน

และนั่นเท่ากับเป็นขุมกำลังมากพอที่จะสั่นคลอนเมืองธารทะเลทราย!

เมื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ยึดครองเมืองธารทะเลทรายอย่างสมบูรณ์

การสูญเสียซักเมืองสองเมืองจะนับเป็นสิ่งใด?

เทียบไม่ได้เลยกับผลประโยชน์มหาศาล!

“อันที่จริงแล้วทั้งสามเมืองเตาหลอมศิลา ขุนเขาเหล็ก และทรายดำอาจไม่ถูกโจมตีก็ได้” ฉูเทียนหัวชี้ไปบนแผนที่และเสริมว่า “เพราะเมืองหุบเขาเดียวดายถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ เป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับเมืองธารทะเลทรายที่สุด ถ้าอีกฝ่ายจะโจมตีเผ่ามนุษย์ พวกมันจะต้องผ่านหน้าเมืองหุบเขาเดียวดายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และถ้าไม่ยอมตีเมืองหุบเขาเดียวดาย ก็จำเป็นต้องเดินอ้อมเพิ่มอีกสองวัน ถึงจะไปถึงอีกสามเมืองที่เหลือ”

ทุกคนพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า

จากมุมมองที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ เมืองหุบเขาเดียวดายนั้นสำคัญที่สุดอย่างแน่นอน!

คาลิมัวเวลานี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความอดทน ในฐานะขุนนางใหญ่มันย่อมไม่มีทางยอมถูกขุนนางเล็กข่มขู่ได้ ดังนั้นไม่น่าจะอ้อมไปตีสามเมืองก่อน และบุกใส่เมืองหุบเขาเดียวดายโดยตรง

อีกอย่าง การตีสามเมืองแตกมันจะมีอะไรดีสำหรับคาลิมัว?

เพราะท้ายที่สุดแล้ว

เมืองเหล่านั้น ทั้งหมดอยู่ในดินแดนของเมืองธารทะเลทราย เป็นแหล่งรายได้หนึ่งของพวกมัน

เทียบกับการตอกตะปูฝาโลงเผ่ามนุษย์ที่น่าขยะแขยงแล้ว การทำลายสามเมืองแทบไม่มีประโยชน์ใดๆ ตรงกันข้าม มันจะกลายเป็นการทำร้ายตัวเองซะมากกว่า!

เป้าหมายของเมืองธารทะเลทรายคือการทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์ แทนที่จะทำลายเมือง วิเคราะห์จากสิ่งนี้ เป็นไปได้ว่าเมืองหุบเขาเดียวดายมีโอกาสถูกโจมตีก่อน!

ในการประชุมยุทธการ หลายคนได้ให้ข้อเสนออย่างรอบคอบ จัดเตรียมทัพและป้องกันเมืองอย่างรอบคอบ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าปืนใหญ่เหนี่ยวนำมนตราทุกกระบอกสามารถใช้ได้อย่างเต็มที่

สมุนทหารแต่ละหน่วยสามารถปฏิบัติการได้อย่างอิสระ

ข้อได้เปรียบที่ดีที่สุดของสี่เมืองมนุษย์คือมีประชากรถึง 5,000 คน!

พลังรบของคนส่วนใหญ่อาจไม่แก่กล้าไปกว่าสมุนทหารมากนัก จนถึงตอนนี้ยังมีหลายคนติดอยู่ในเลเวล 8 9

กระนั้น คนเหล่านี้สามารถใช้โพชั่น คัมภีร์ และอุปกรณ์เหนี่ยวนำมนตราได้ และมองหาศัตรูที่ทัดเทียม จากนั้นกระจายไปตามแต่ละหน่วย เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถออกปฏิบัติการในสนามรบได้ ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ตามที่เห็นสมควร

นี่คือสิ่งที่เมืองธารทะเลทรายไม่สามารถทำได้

ต่อให้เป็นดินแดนของขุนนางใหญ่ แต่จำนวนสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาอย่างมากมีไม่เกินสามร้อยตน

คาลิมัวสามารถนำออกมาจากเมืองได้มากสุดครึ่งหนึ่ง และกระจายไปในสนามรบ ซึ่งด้วยจำนวนที่น้อย ทำให้ไม่สามารถควบคุมกองทัพได้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่

เมื่อการต่อสู้ถึงทางตัน สมุนทหารเหล่านั้นจะประสานงานกันอย่างสับสน เกะกะกันเอง

“กองทัพสามเมืองเข้าประจำที่!”

“ปรับโครงสร้างกองทัพเสร็จสิ้น!”

“ระบุหน้าที่เสร็จสิ้น!”

“ปืนใหญ่เหนี่ยวนำมนตรา ปืนเหนี่ยวนำมนตรา หน้าไม้ยักษ์ ... จัดตั้งเสร็จสิ้น!”

“กับดัก เขตแดน และค่ายกล เช็คเสร็จสิ้น! ทุกอย่างปกติ”

ฮังอวี่ลงทุนตรวจสอบด้วยตัวเอง ทุกอย่างเป็นระเบียบ เมื่อไม่พบสิ่งใดผิดปกติ เขาพอใจมาก

“เหล่าฉู!” ฮังอวี่พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “คุณจะได้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ส่วนจ้าวหมิงกับผมจะเป็นรองผู้บัญชาการ!”

ฉูเทียนหัวพยักหน้า “รับทราบ!”

สำหรับการจัดวางตำแหน่งเช่นนี้ ไม่มีใครรู้สึกว่ามันแปลก

เพราะฮังอวี่จำเป็นต้องมุ่งสู่สนามรบด้วยตัวเอง!

เขาไม่เพียงแต่เป็นธงประจำสี่เมืองมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเป็นพลังรบที่แก่กล้าที่สุดของมนุษย์ในแคว้นเดียวดายอีกด้วย!

และที่สำคัญที่สุด เขาคือคนเดียวที่สามารถเผชิญหน้ากับคาลิมัวได้!

ศึกครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ฮังอวี่เองก็ไม่มั่นใจในความปลอดภัยของตัวเอง มีโอกาสที่จะฟุ้งซ่านหากเป็นผู้บัญชาการ

ในการต่อสู้ครั้งนี้ เขาจึงตัดสินใจรับบทเป็นนักสู้ในสนามรบ

“รายงาน!”

“หน่วยลาดตระเวนส่งข่าวกลับมาแล้ว!”

“ตรวจพบกองทัพขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงใต้!”

“จากการตรวจสอบเบื้องต้น : จำนวนกองทัพทั้งหมดประมาณ 10,000 นาย มีเซนทอร์เป็นหลัก คาดว่าเป็นกองทัพใหญ่จากเมืองธารทะเลทราย ระยะห่างปัจจุบันคือแปดร้อยไมล์”

หลังจากฮังอวี่บุกทำลายเมืองรังอินทรีย์ เขาได้ทิ้งหน่วยสอดแนมไว้บางจุดพื้นที่สำคัญระหว่างทาง และทุกคนพกโพชั่นมนตรา ‘อินทรีจ้าวสายลม’ มีความสามารถในการลาดตระเวนสูง

หากคนใดพบศัตรู ก็จะดื่มมันแล้วกลับมารายงานทันที

สีหน้าของทุกคนกลายเป็นจริงจัง

ระยะห่างระหว่างสองฝ่ายเพียง 800 ไมล์!

ระยะห่างนี้หากเป็นในคุกโบราณถือว่าไกลมาก ไม่จำเป็นต้องกังวลใดๆ

แต่ในโลกวิญญาณ

ด้วยความเร็วในการเดินขบวนที่ไม่อาจคาดเดาได้เป๊ะๆ

บวกกับเรื่องที่เซนทอร์มีร่างกายและความเร็วในการเคลื่อนที่สูง

ทำให้ต่อให้เดินทั้งวันเป็น 2000 ไมล์พวกมันก็ไม่เหนื่อย  อีกทั้งยังไวกว่ารถยนต์

แม้รอบๆเมืองหุบเขาเดียวดายจะมีภูเขามากมาย แต่ด้วยความเร็วในการเคลื่อนทัพของเมืองธารทะเลทราย แค่วันเดียวก็น่าจะถึงแล้ว

ไอ้พวกเวรนี่มันมาเร็วจริงๆ

มีอุปกรณ์เหนี่ยวนำมนตรามากมายที่ยังไม่ได้อัพเกรดเลย!

ฮังอวี่ส่ายหัว “ถ่ายทอดคำสั่งออกไป เตรียมพร้อมสู้ศึก!”