ตอนที่แล้วยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 4 ข้าจะปิดด่านสักพัก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 6 ข้าได้ยินว่าท่านต้องการสั่งสอนศิษย์ของข้า?

ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 5 ฉีอู๋ฮุ่ยตกใจ


ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 5 ฉีอู๋ฮุ่ยตกใจ

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาหลินชิงจู้ได้ค่อย ๆ คุ้นเคยกับความเงียบสงบของขุนเขาเมฆาม่วง เนื่องจากไม่มีใครให้พูดคุยด้วยในศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ สิ่งเดียวที่นางทำได้คือการบ่มเพาะ และยังเป็นเพราะเหตุนี้จึงทำให้ระดับการบ่มเพาะของนางพุ่งสูงขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ในเวลาไม่ถึงสามวันนางได้ทะลวงผ่านไปยังขอบเขตฝึกปราณขั้น 3 แล้ว ราวกับว่านางทะลวงผ่านได้ทุกวันก็ว่าไดเ

เช้านี้ในช่วงรุ่งอรุณซึ่งดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น

ร่างสีขาวของหลินชิงจู้ได้ปรากฏบนหน้าผาและทบทวนบทเรียนสามอย่างที่เย่ชิวมอบให้นาง

การตรัสรู้ การฝึกฝนพลังปราณ และการตั้งคําถามหัวใจ

สตรีที่เย็นชาและสง่างามผู้นี้ดูราวกับเซียนยิ่งขึ้นไปอีกหลังจากที่นางได้ละทางโลกและก้าวเข้าสู่เส้นทางการบ่มเพาะอย่างแท้จริง ใบหน้าที่สวยงามนั้นปล่อยกลิ่นอายเย็นยะเยือกออกมา ดูเย็นชาจนไม่มีใครสามารถเข้าใกล้นางได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ครอบครัวของนางถูกทำลาย สายตาของนางแฝงด้วยความไร้ชีวิตชีวาและไร้อารมณ์ ราวกับเป็นเทพธิดาจากสวรรค์ทั้งเก้าที่ทำได้เพียงเหลือบมองจากระยะไกลเท่านั้น

เมื่อมาถึงหน้าผา หลินชิงจู้หันหัวของนางไปหลังภูเขาและพึมพําว่า “ข้าไม่รู้ว่าท่านอาจารย์จะออกมาเมื่อไหร่ ข้าไม่ได้เห็นเขามาหลายวันแล้ว ข้าก็คิดถึงเขายิ่งนัก แต่ข้าจะชักช้าไม่ได้ วันนี้ข้ายังไม่ได้ทบทวนบทเรียน ข้าควรจะรีบทำให้เสร็จ”

หลินชิงจู้มองไปยังหลังภูเขาอยู่คราหนึ่ง แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นางนั่งขัดสมาธิบนก้อนหินมองลงเบื้องล่างขุนเขาและเข้าสู่สมาธิ

นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเมื่อถึงตอนเที่ยง “ขอบเขตฝึกปราณขั้น 4! ข้าเกือบจะทะลวงขอบเขตย่อยทุกวัน ด้วยความเร็วเช่นนี้ภายในเวลาไม่ถึงสามเดือนข้าก็จะสามารถทะลวงเข้าไปในขอบเขตนิ้วทมิฬได้อย่างแน่นอน” หลินชิงจู้มีความมั่นใจอย่างยิ่ง แม้ว่านางจะรู้ดีว่าการบ่มเพาะของจนจะช้าลงหากก้าวหน้าไปไกลขึ้น

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ความสามารถและพรสวรรค์ของนางเหนือกว่าศิษย์อัจฉริยะของสำนักเยียวยาสวรรค์แล้ว แน่นอนว่านางรู้ดีว่าทุกสิ่งที่นางมีนั้นเป็นเพราะเย่ชิวมอบให้นางทั้งหมด

ในขณะนี้เมฆได้บินตัดมาจากขอบฟ้าและร่างที่ดูคล้ายกับนักปราชญ์ก็ได้ปรากฏขึ้นขึ้นบนหน้าผา

หัวใจของหลินชิงจู้สั่นไหวเมื่อนางเห็นชายชราและนางก็รีบโค้งคํานับและพูดว่า “ศิษย์หลินชิงจู้คำนับเจ้สสำนัก”

ผู้ที่มาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเมิ่งเทียนเจิ้ง พร้อมกับฉีอู๋ฮุ่ยที่มากับเขา

เมิ่งเทียนเจิ้งราวกับครุ่นคิดบางอย่าง เขาโบกมือโดยพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องมากพิธีการ”

ในทางกลับกัน ฉีอู๋ฮุ่ยกลับตั้งคําถามว่า “อาจารย์ของเจ้าอยู่ที่ไหนกัน? เหตุใดเขาจึงไม่มาทักทายท่านเจ้าสำนัก”

หลินชิงจู้มองเขาอย่างลึกซึ้ง นางยังไม่ลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในโถงหยกพิสุทธิ์เมื่อไม่กี่วันก่อน นางตอบอย่างใจเย็นว่า “ท่านอาจารย์ลุงฉี อาจารย์ของข้าปิดด่านชั่วครู่”

“ปิดด่าน? ฮ่า ๆ...” เมื่อได้ยินว่าเย่ชิวอกำลังปิดด่าน ฉีอู๋ฮุ่ยก็หัวเราะออกมาทันที นี่เป็นเรื่องตลกที่สุดที่เขาได้ยินในวันนี้ “เขาต้องปิดด่านอีกหรือ? ด้วยศักยภาพของเขาแม้ว่าจะปิดด่านเวลาสิบปีก็คงไม่สามารถทะลวงขอบเขตย่อยได้”

ไม่ใช่ว่ามีแค่ฉีอู๋ฮุ่ยที่ทําให้เย่ชิวอับอายขายหน้า ในสำนักเยียวยาสวรรค์ทั้งหมด ผู้ใดกันจะไม่ทราบว่ามีปรมาจารย์ขุนเขาเมฆาม่วงนั้นเป็นขยะ? แม้จะบ่มเพาะมามาสิบปีก็ทำได้เพียงอยู่ในขอบเขตนิ้วทมิฬขั้น 2 ด้วยระยะเวลาสิบปี แม้แต่หมูก็คงไปถึงขั้น 9 แล้ว

จิตใจของหลินชิงจู้จมจิ่มเมื่อนางได้ยินฉีอู๋ฮุ่ยกล่าวดูถูกอาจารย์ของนาง กระดูกศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายของนางปล่อยความเย็นชาออกมาอย่างเงียบ ๆ นี่คือการตอบสนองโดยไม่ได้ตั้งใจของนาง ไม่ได้มีเจตนาทำเช่นนี้แม้แต่น้อย

เมิ่งเทียนเจิ้งกำลังจะตำหนิฉีอู๋ฮุ่ยไม่ให้เกินกว่าพอดี ฉับพลัน เขาก็รู้สึกถึงพลังความเย็นนี้ เขาหันหลังกลับและมองไปยังหลินชิงจู้ด้วยความประหลาดใจ

“กระดูกเหมันต์เร้นลับโดยกำเนิด!”

“อะไรกัน!” ฉีอู๋ฮุ่ยตกใจยิ่ง เขามองไปยังเมิ่งเทียนเจิ้งด้วยสีหน้างุนงงแล้วเลื่อนสายตาไปยังหลินชิงจู้

มีสัญลักษณ์ปรากฏอยู่บนหน้าผากของนาง มันคือสัญลักษณ์ของกระดูกศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิด

“เป็นไปไม่ได้ ตอนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่พวกเราต่างตรวจสอบว่านางไม่ได้มีกระดูกศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้” ฉีอู๋ฮุ่ยปฏิเสธทันทีเพราะเขาไม่เชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง ท้ายที่สุดเขาเห็นอย่างชัดเจนว่าในบรรดาศิษย์ทั้งหมดที่มีอยู่คนเดียวเท่านั้นที่มีกระดูกศักดิ์สิทธิ์และยังได้รับเขาเป็นอาจารย์แล้ว

คุณสมบัติของหลินชิงจู้ไม่สามารถเทียบได้แม้แต่คนที่มีพรสวรรค์ระดับต่ำด้วยซ้ำ  ปรมาจารย์ขุนเขาทุกคนไม่ได้ใส่ใจที่จะเลือกนาง มีเพียงเย่ชิเท่านั้นที่เลือกนาง แล้วนางจะมีกระดูกศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไรกัน?

ฉีอู๋ฮุ่ยไม่สามารถอยู่นิ่งเฉยได้อีกต่ไป เขากําลังจะตรวจสอบแต่เมิ่งเทียนเจิ้งได้เข้ามาหยุดเขา

“มันคือกระดูกศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง! ยิ่งไปกว่านั้นยังบริสุทธิ์ยิ่งและมีโอกาสเติบโตเป็นกระดูกเซียน ฮ่า ๆ... ดียิ่ง! ข้าไม่เคยคิดเลยว่าสำนักเยียวยาสวรรค์ของข้าจะมีอัจฉริยะปรากฏขึ้นมาอีกคน นี่คือโชคลาภอันยิ่งใหญ่ของสำนักของเราอย่างแท้จริง”

แต่น่าเสียดาย เหตุใดนางต้องเป็นศิษย์ของขุนเขาเมฆาม่วง? เมิ่งเทียนเจิ้งทนไม่ได้ ที่จะต้องทนดูอัจฉริยะเช่นนี้ถูกสั่งสอนโดยเย่ชิว นี่คือความสูญเปล่าอย่างแท้จริง

สําหรับฉีอู๋ฮุ่ย สีหน้าของเขาเลวร้ายยิ่งกว่าการกินอุจจาระ เขาไม่สามารถยอมรับได้ ผู้ที่ฉลาดมาตลอดอย่างตนจะกระทำผิดพลาดเช่นนี้ได้อย่างไร?

“เด็กน้อย เจ้ายินดีที่จะติดตามข้ากลับไปยังโถงหยกพิสุทธิ์และกลายเป็นศิษย์ของข้าหรือไม่? ไม่ต้องกังวล ด้วยความสามารถของเจ้า หากเจ้าเป็นศิษย์ของข้า ข้าจะให้ทรัพยากรที่ดีที่สุดแก่เจ้า ความสำเร็จในอนาคตของเจ้าจะต้องไร้ขีดจำกัดอย่างแน่นอน”

เมิ่งเทียนเจิ้งโยนกิ่งมะกอกพร้อมล่อลวงทันที แต่หลินชิงจู้เยาะเย้ยอยู่ภายในใจของนางเมื่อนางได้ยินสิ่งนี้ แต่นางไม่กล้าแสดงมันออกมา

ในตอนนั้นไม่มีใครเต็มใจที่จะยอมรับนางเป็นศิษย์ด้วยซ้ำ มีเพียงเย่ชิวเท่านั้นที่เต็มใจยอมรับนาง ตอนนี้นางได้ปลุกกระดูกศักดิ์สิทธิ์ของตนด้วยความช่วยเหลือจากอาจารย์ พวกเขาก็ได้เปลี่ยนทัศนคติทันทีและขอรับนางเป็นศิษย์อย่างไร้ยางอาย พยายามพรากนางจากอาจารย์ของตนงั้นหรือ?

“ข้าขอขอบคุณสำหรับความตั้งใจเมตตาของท่านเจ้าสำนัก อย่างไรก็ตามอาจารย์ของข้าอาศัยอยู่คนเดียวในขุนเขาเมฆาม่วง และไม่สามารถอยู่ได้หากไม่มีคนคอยดูแล เพราะฉะนั้นข้าจึงขอปฏิเสธ”

หลินชิงจู้ปฏิเสธทันที เมิ่งเทียนเจิ้งก็ถอนมืออย่างไม่พอใจ คนที่มองการณ์ไกลเช่นเขาจะมองไม่เห็นความหมายที่ซ่อนอยู่ของหลินชิงจู้ได้อย่างไร? เย่ชิวไม่ได้พิการและได้อาศัยอยู่บนขุนเขาเมฆาม่วงเป็นเวลาสิบปี ไม่มีอะไรผิดปกติกับเขาแม้แต่น้อย เหตุเขาจึงต้องการให้หลินชิงจู้ดูแลตน?

“เอาล่ะ ไม่เป็นไร เนื่องจากr;dเจ้าสองคนมีความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์อย่างลึกซึ้ง ชายชราผู้นี้ก็จะไม่บังคับเจ้า ใช่แล้ว ก่อนที่อาจารย์ของเจ้าจะปิดด่านเขาได้สอนเคล็ดวิชาการบ่มเพาะให้เจ้าหรือไม่? ผู้ฝึกตนมักจะปิดด่านเป็นเวลาหลายเดือนถึงครึ่งปี เจ้าอาจสูญเสียความสามารถของกระดูกศักดิ์สิทธิ์นี้ไปได้” เมิ่งเทียนเจิ้งถาม หากเย่ชิวไม่สอนนาง เขาก็ไม่ติดที่จะสอนนางแทน

ท้ายที่สุดนางยังคงเป็นศิษย์ของสำนักเยียวยาสวรรค์ เขาทนไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเห็นนางไร้ความสามารถเพราะเย่ชิว

“ท่านเจ้าสำนัก ท่านอาจารย์ได้สอนเคล็ดวิชาการบ่มเพาะแก่ข้าแล้ว”

“ฮ่าฮ่า...” เมื่อได้ยินเช่นนี้ฉีอู๋ฮุ่ยก็เยาะเย้ยด้วยความดูถูกและกล่าวว่า “เขาสามารถสอนเคล็ดวิชาเซียนอะไรได้บ้างหรือ? ช่างน่าเสียดายที่กระดูกศักดิ์สิทธิ์นี้กําลังจะสูญเปล่าเพราะคนผู้หนึ่ง”

เมิ่งเทียนเจิ้งมองไปยังหลินชิงจู้และกล่าวว่า “เด็กน้อย ให้ข้าตรวจสอบระดับการบ่มเพาะในปัจจุบันของเจ้าได้หรือไม่”

หลินชิงจู้ไม่ได้ขัดขืนและพยักหน้าเท่านั้น นางเอื้อมมือออกไปเพียงข้างเดียว แต่เมื่อเมิ่งเทียนเจิ้งรับรู้ถึงชีพจรของนาง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที

ฉีอู๋ฮุ่ยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและถามด้วยความสงสัย “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก มีอะไรผิดปกติหรือไม่?”

“ขอบเขตฝึกปราณขั้น 4!”

“เป็นไปได้อย่างไรกัน? ในเวลาเพียงสี่วันนางกระโดดจากการเป็นปถุชน ไปสู่ผู้ฝึกตนขอบเขตฝึกปราณขั้น 4 หรืองั้น?”

ใบหน้าของเมิ่งเทียนเจิ้งเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ แต่ใบหน้าของฉีอู๋ฮุ่ยกลับบูดบึ้งอย่างถึงที่สุด ก่อนหน้านี้ในห้องโถงใหญ่เขาได้ต่อสู้กับหยางอู๋ตี๋อย่างสุดชีวิตเพื่อแย่งชิงศิษย์ที่มีกระดูกศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิด แต่มาวันนี้หลินชิงจู้ผู้ที่ตนไม่เคยเหลียวมองกลับทะลวงผ่านไปสู่ขอบเขตฝึกปราณขั้น 4?

“เป็นไปไม่ได้ ให้ข้าตรวจสอบ...” ฉีอู๋ฮุ่ยไม่เชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง เขารีบตรวจสอบทันที ไม่นานใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นซีดเซียว

“นี่... นี่ไม่ใช่เรื่องจริงอย่างแน่นอน ข้าต้องฝันอยู่” ฉีอู๋ฮุ่ยไม่กล้าเชื่อ เมื่อมองไปยังหลินชิงจู้ที่อยู่ตรงหน้า หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เขาทำตัวสูงส่งวางอำนาจอยู่ตลอดในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เพราะตนสามารถแย่งชิงลูกศิษย์ที่มีกระดูกศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดมาได้ มีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

แต่ไม่ได้คาดหวังเลยว่าหลังจากได้มาเยือนขุนเขาเมฆาม่วง เขาจะถูกเย่ชิวตบหน้าอย่างโหดเหี้ยม เนื่องจากลูกศิษย์ของอีกฝ่ายกลับมีกระดูกศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน

นี่เป็นสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้อย่างแท้จริง

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด